ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 101
101: ตกเป็นเป้าโจมตี!
“กระบี่จงมา!”
ขณะมองกระบี่โลกา เซียวฮั่นก็คลี่ยิ้มบางเบาก่อนจะสะบัดมือหนึ่งครั้ง ครู่ต่อมากระบี่โลกาพลันสั่นสะเทือนส่งเสียงครืนครั่น สายโซ่สามเส้นที่ตรึงไว้ถูกตัดจนขาดสะบั้น แม้แต่แรงจะยับยั้งเพียงชั่วครู่ก็ไม่อาจทำได้
เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามต่างหัวเราะอย่างขมขื่น สิ่งนี้คือสมบัติสูงสุดที่พวกเขาชนเผ่าเจี้ยทุ่มเทแรงกายทั้งหมดเพื่อสร้างขึ้นมา ยามนี้กลับกลายเป็นคนนอกที่สมหวัง
หลังทำลายสายโซ่โลกที่พันธนาการไว้ พริบตาต่อมากระบี่โลกาก็แผ่ราบลงในมือของเซียวฮั่นอย่างสงบนิ่ง ท่าทางนั้นราวกับรอคอยเซียวฮั่นมาหลายปีก็มิปาน
และมือของเซียวฮั่นที่กำลังกุมกระบี่โลกาก็ลูบตัวกระบี่อย่างเบามือ มุมปากเผยซึ่งรอยยิ้มบาง พลางเอ่ยขึ้นว่า “ให้เจ้ารอมานานแล้ว สหาย!”
“ครืน!”
ได้ยินดังนั้นกระบี่โลกาพลันสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายตอบสนองต่อเซียวฮั่น และเมื่อผู้อาวุโสทั้งสามเห็นภาพนี้ก็มีสีหน้าอันยากจะรับไหว จากนั้นเงาร่างของคนทั้งสามก็หายไปในวิหารอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าหากพวกเขามองดูต่อไป คงจะพิโรธเจียนตาย
เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสามจากไป หลางเทียนก็หัวเราะอย่างจนปัญญา อย่างไรกระบี่โลกาเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาทุ่มเทแรงกายหล่อหลอมมันขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่าเซียวฮั่นจะได้ไป และเป็นเพราะมันยอมรับเซียวฮั่นเป็นเจ้าของ มิเช่นนั้นกระบี่โลกาก็ไม่อาจมีสภาพเป็นกระบี่ได้
“เปิด!”
เมื่อจิตโคจร ค่ายกลกระบี่เทพสังหารก็ปรากฏขึ้นบนยอดศีรษะของเซียวฮั่น เพียงชั่วครู่กระบี่โลกาในมือของเซียวฮั่นก็กลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งเข้าไปทางทิศใต้ของค่ายกลกระบี่เทพสังหาร ด้วยการเสริมกำลังของกระบี่โลกา ทันใดนั้นอานุภาพของค่ายกลกระบี่เทพสังหารก็เพิ่มพูนขึ้นไม่รู้กี่เท่า แม้แต่หลางเทียนที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้มองไปยังค่ายกลกระบี่เทพสังหาร ในใจก็ยังหวาดกลัวอย่างห้ามไม่ได้
ในยามนี้เขาสามารถรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์ ค่ายกลกระบี่เทพสังหารทำให้เขารู้สึกถึงความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าหลังจากการเสริมทัพของกระบี่โลกา ค่ายกลกระบี่เทพสังหารก็มีอานุภาพที่สามารถสังหารยอดฝีมือระดับเขาได้
“ค่ายกลนี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ดูท่าแล้วหากรวมกระบี่ครบสี่เล่มแล้ว เกรงว่าค่ายกลกระบี่นี้คงโค่นสวรรค์ได้!”
หลางเทียนทอดสายตาไปยังค่ายกลกระบี่เทพสังหาร มุมทางทิศตะวันออกและทิศเหนือทั้งสองยังคงว่างเปล่า เพียงแค่กระบี่สองเล่มก็มีอานุภาพสังหารยอดฝีมือระดับเขาได้ หากรวมครบทั้งสี่เล่มต้องร้ายกาจมากอย่างแน่นอน
“เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามสุดท้าย เมื่อถึงเวลา มันจะไม่ได้มีเพียงกระบี่สี่เล่มควบคู่กับค่ายกลกระบี่เทพสังหาร ยังต้องมียอดฝีมือไร้เทียมทานทั้งสี่ประจำกระบี่แต่ละเล่ม เช่นนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะโค่นสวรรค์!”
เซียวฮั่นเรียกค่ายกลกระบี่เทพสังหารกลับคืนมา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
เมื่อหลางเทียนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันตื่นตะลึง ผู้ดำรงอยู่ไร้เทียมทานสี่ท่าน ผนวกเข้ากับกระบี่สี่เล่มที่มาพร้อมกับค่ายกลกระบี่เทพสังหาร หากค่ายกลนี้มาถึงขั้นที่เซียวฮั่นกล่าว เกรงว่าคงมีอานุภาพโค่นสวรรค์อย่างแท้จริง
“รอบคอบและมองการณ์ไกลเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่กระบี่อีกสองเล่มก็คงเตรียมการมาอย่างดีแล้วกระมัง” ทันใดนั้นหลางเทียนก็นึกถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“อืม เตรียมเกือบสมบูรณ์แล้ว ข้าใช้มือข้างนี้จัดการเรื่องราวไปแล้วในภพก่อน ภพนี้ข้าจะต้องอัญเชิญไพ่ตายที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาเพื่อทำสงครามชี้ชะตานี้”
เซียวฮั่นพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้ปิดบังอะไรไว้ ถึงแม้ว่าจะอัญเชิญไพ่ตายทั้งหมดของตนก็ยังคงไม่พอ เพราะสงครามหนนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว
ระหว่างที่เซียวฮั่นและหลางเทียนกำลังสนทนากัน หลางซ่าง ยอดฝีมือชนเผ่าเจี้ยที่ไปนำพลังต้นกำเนิดไม้หนึ่งร้อยหยดมาใส่ในขวดหยก ก็ยื่นให้เซียวฮั่นทันที
“ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนไม่ต้อนรับข้า เช่นนี้ข้าก็ควรลา หลังจากที่อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นคืนสู่สภาพเดิม ข้าจะมาพบเจ้าใหม่” เมื่อเซียวฮั่นรับพลังต้นกำเนิดไม้มา เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ หวังว่าตอนพบกันคราวหน้า เจ้าจะรวมกระบี่ครบสี่เล่มแล้ว” ได้ยินดังนั้นหลางเทียนก็หัวเราะเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ข้าขอลา”
เซียวฮั่นโบกมือ จากนั้นก้าวฝ่าเท้าหนึ่งครา เงาร่างก็พลันหายไปจากจุดเดิม เห็นดังนั้นแววในดวงตาอันลึกซึ้งของหลางเทียนก็เปล่งประกายเล็กน้อย ปากเอ่ยพึมพำว่า
“อนาคตของยุคสมัยนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หากแม้แต่เจ้าก็ยังพ่ายแพ้ เช่นนั้น…”
ตอนที่เซียวฮั่นจากไปก็ยังคงไม่ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตระกูลจาง คนสะบัดฝ่ามือหนึ่งครา นำผืนดินแผ่นกว้างเข้าไปในมิติฟ้าดิน และเมื่อมีดินเหล่านี้ที่แปรสภาพเป็นพลังงานให้กับต้นไม้โลกแล้ว เมล็ดพันธุ์ของต้นผลศักดิ์สิทธิ์ก็จะสามารถหยั่งรากลงดินได้
เพียงแต่เมื่อเทียบกับต้นผลศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตไปตลอดชั่วนิรันด์ข้างในนี้แล้ว ข้างนอกนี้ก็เป็นเพียงต้นผลศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุเพียงหนึ่งแสนปีเท่านั้น หากสิ้นอายุขัยแห้งเหี่ยว ต้นผลศักดิ์สิทธิ์ก็จะล้มตายไปเช่นกัน
ณ มหาทวีปหนานโจว หลังจากผ่านสงครามอันน่าหวาดผวาในดินแดนโบราณ ทั่วทั้งมหาทวีปก็ตกอยู่ในความสงบอันหาได้ยากยิ่ง เพียงแต่ความสงบนี้เป็นเพียงความสงบชั่วคราว ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อได้ทราบข่าวว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจางได้รับเจดีย์หลิงหลงศาสตราแห่งเทพแท้จริงมา สายตาจากทั้งมหาทวีปหนานโจวต่างก็จับจ้องที่ตระกูลจางทันที
แม้ว่าตระกูลจางจะเป็นหนึ่งในสิบของตระกูลหลอมโอสถ แต่อย่างไรก็ตกต่ำแล้ว จนถึงยามนี้ แม้แต่เทพศักดิ์สิทธิ์โอสถเพียงคนเดียวก็ไม่มีเหลือ มีเพียงบรรพบุรุษผู้เป็นราชันหลอมโอสถเพียงท่านเดียวที่ยังมีชีวิต ด้วยเหตุนี้ขุมอำนาจยิ่งใหญ่มากมายจึงสนใจตระกูลจางเป็นอย่างยิ่ง
ศาสตราแห่งเทพแท้จริงหนึ่งชิ้น ทั้งยังไม่ใช่ศาสตราธรรมดาทั่วไป แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงก็ยังอยากได้ศาสตราแห่งเทพแท้จริงไร้เทียมทานจนน้ำลายยืดยาวสามฉื่อ สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ขุมอำนาจใดจะไม่หวั่นไหวกัน?
กล่าวได้ว่า ยามนี้เหล่าตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์ห้าคน สำนักเทพสุริยันซึ่งมีเทพศักดิ์สิทธิ์สองคน ตระกูลข่งที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์สองคน ทั้งหมดต่างส่งบรรพบุรุษชั้นสูงของสำนักไปเยี่ยมเยียนตระกูลจาง ราวกับว่าตระกูลจางทั้งตระกูลกำลังถูกจับจ้องโดยหมาป่าผู้หิวโหยก็มิปาน
ช่วงเวลานี้จิตใจของคนตระกูลจางทั้งตระกูลต่างหวาดผวาเป็นอย่างมาก ศิษย์สายนอกหลายคนของตระกูลจาง รวมถึงผู้อาวุโสต่างตัดสินใจออกจากตระกูลจางในทันที แม้แต่ผู้ดูแลจำนวนไม่น้อยก็ยังลอบออกจากตระกูลไป สะบั้นความสัมพันธ์ที่มีกับตระกูลจางทิ้งจนไม่มีเหลือ
เพียงแต่สำหรับคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หรือสำนักเทพสุริยัน ขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่ชายตามองพวกเขาแม้เพียงเสี้ยว ในใจตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นคือทำอย่างไรจึงจะได้เจดีย์หลิงหลงศาสตราแห่งเทพแท้จริงมาครอบครอง หรือไม่ก็ได้รับจางหลิงหยวนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเจดีย์หลิงหลงมาโดยตรง
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การต้อนรับอย่างกังวลใจจากชนชั้นสูงของตระกูลจาง สิ่งเดียวที่ทุกขุมอำนาจเอ่ยออกมาก็คือต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจาง แต่ไม่ว่าจะเป็นตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หรือสำนักเทพสุริยัน อาจจะรวมถึงตระกูลข่ง และตระกูลซวี ต่างก็ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลจางจะปฏิเสธได้ เนื่องจากขุมอำนาจเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนมีบรรพบุรุษผู้เป็นผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์มีชีวิตอยู่ในสำนัก
โดยเฉพาะตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์ห้าคน ยกเว้นบรรพบุรุษของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เพราะสิ้นอายุขัยไปแล้ว ส่วนบรรพบุรุษที่เป็นผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ ก็ยังมีชีวิตอยู่
แค่คิดก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ตระกูลจางต้องเผชิญ อีกทั้งยังบวกกับที่เซียวฮั่นสังหารศิษย์ของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ขณะเข้าไปในดินแดนโบราณ ความแค้นนี้ว่าใหญ่หลวงแล้ว ยามนี้ยังมีเรื่องปรากฏออกมาอีก แล้วตระกูลจางจะสามารถรับมือได้เยี่ยงไร
กล่าวได้ว่า ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ให้ทางเลือกแก่ตระกูลจางเพียงสองทางเท่านั้น จางหลิงหยวนแต่งให้กับเย่เฉียนเทียน ผู้สืบทอดตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หาไม่แล้วตระกูลจางจะต้องรับมือกับเพลิงโทสะ ภายใต้วิธีแก้แค้นของเหลยถิงแห่งตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
กล่าวได้ว่า ยามที่ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กดดันตระกูลจาง ทั้งตระกูลก็ได้ตกลงไปในความสิ้นหวังแล้ว ส่วนผมสีดำทั้งศีรษะของจางเป่ยชวนผู้นำตระกูลจางก็กลายเป็นสีขาวโพลนจนสิ้น ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ยามนี้กลับเป็นใบหน้าที่เศร้าหมอง
แม้กระทั่งจางเป่ยชวนก็ยังไร้ซึ่งหนทางจัดการกับตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อเทียบกันแล้วตระกูลจางนั้นอ่อนแอเกินไป เกรงว่าเพียงการออกมือของบรรพบุรุษผู้เป็นผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคนก็สามารถทำลายตระกูลจางได้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสำนักเทพสุริยัน กระทั่งขุมอำนาจอย่างตระกูลข่งและตระกูลซวียังร่วมมือกันกดดันตระกูลจาง กล่าวได้ว่า ตระกูลจางในยามนี้มีเพียงหนทางเดียวที่สามารถเดินได้ นั่นก็คือมอบจางหลิงหยวนออกไป หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือมอบเจดีย์หลิงหลงศาสตราแห่งเทพแท้จริงเช่นนี้ก็อาจจะสามารถรักษาตระกูลจางไว้ได้ มิเช่นนั้นตระกูลจางก็มีแต่ต้องล่มสลาย
แต่ไม่ว่าจะตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หรือสำนักเทพสุริยันและขุมอำนาจอื่น ๆ ก็ล้วนให้เวลาตระกูลจางไม่มากนัก มีเวลาเพียงแค่สามวัน หากตระกูลจางไม่ให้คำตอบก็จะถูกนำชื่อออกจากมหาทวีปหนานโจวทันที
แม้เวลาสามวันจะยังไม่ผ่านพ้น ขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่หลายขุมก็ได้มีขอบเขตราชันหลายคนมานั่งรักษาการณ์อยู่ที่ด้านนอกของตระกูลจาง ล้อมรอบปิดตายตระกูลจาง และจางหลิงหยวนก็ถูกจับจ้องตลอดเวลา ไม่สามารถออกจากตระกูลจางได้แม้เพียงครึ่งก้าว
ทั้งยังไม่ได้มีเพียงขุมอำนาจเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังมีผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนไม่น้อยที่หลบซ่อนอยู่ พวกเขาก็กำลังรอจังหวะเวลา การเผชิญหน้ากับเจดีย์หลิงหลงอันเป็นสมบัติระดับไร้เทียมทานนี้ อย่าว่าแต่ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทั่ว ๆ ไป แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์โบราณขึ้นไปก็ยังหน้าแดงเถือก กระทั่งแม้แต่ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันก็คงต้องออกมืออย่างอดไม่ได้
ดังนั้นในยามนี้ ตระกูลจางทั้งตระกูลราวกับเป็นลมและเมฆอันผันผวนแปรปรวนก็มิปาน แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตราชันจำนวนมากก็ยังลอบอยู่ในความมืดอย่างเงียบเชียบ อย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นศาสตราแห่งเทพแท้จริงชิ้นหนึ่ง แรงดึงดูดเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจต้านทานได้
เพียงแต่สิ่งที่แปลกคือ ในฐานะขุมอำนาจล้ำเลิศอย่างเรือนร้อยสมุนไพร พวกเขากลับไม่ได้ส่งยอดฝีมือไปเยี่ยมเยียนตระกูลจาง ทั้งยังไม่เอ่ยอะไรออกมา ดูเหมือนว่าเรือนร้อยสมุนไพรไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
แน่นอนว่าหากเรือนร้อยสมุนไพรไม่เข้าร่วมสำหรับขุมอำนาจหลาย ๆ ขุมนับว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
และการปรากฏขึ้นของเจดีย์หลิงหลง ทำให้บรรพบุรุษผู้เป็นผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์สี่คนของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่เร้นกายจากโลกหรือเข้าสู่การหลับใหลก็ยังต้องฟื้นขึ้นมา กล่าวได้ว่าตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์โอบอุ้มเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะครอบครองเจดีย์หลิงหลงศาสตราแห่งเทพแท้จริงนี้แล้ว
เพราะหากตระกูลจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์ช่วงชิงเจดีย์หลิงหลงมาได้ เมื่อควบคู่กับเย่เฉียนเทียนที่มีความฉลาดเฉลียวล้ำเลิศ ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมียอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงปรากฏในตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะสามารถฉวยโอกาสนี้ทำลายตำแหน่งเจ้ายุทธจักรของเรือนร้อยสมุนไพร กลายเป็นเจ้ายุทธจักรใหม่ในมหาทวีปหนานโจว เป็นขุมอำนาจที่เหนือกว่าระดับหนึ่ง
ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งเจดีย์หลิงหลง เกรงว่ายามนี้ต่อให้เรือนร้อยสมุนไพรออกมือขัดขวาง ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงไม่วายแย่งชิงเจดีย์หลิงหลงอย่างอำมหิต ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหากเรือนร้อยสมุนไพรไม่ออกมือ เช่นนั้นในมหาทวีปหนานโจว ยังจะมีขุมอำนาจใดเทียบกับพวกเขาตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้
ไม่ใช่แค่ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มีความคิดเช่นนี้ ขุมอำนาจอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะขุมอำนาจที่รู้ว่าเจดีย์หลิงหลงแสดงถึงสิ่งใดก็ยิ่งอยากทำศึกสงครามเต็มที แม้แต่บรรพบุรุษที่อาวุโสที่สุดก็ยังตื่นขึ้นจากการหลับใหลท่ามกลางฝุ่นจับ !
…………….