คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 318 เชื้อพระวงศ์
อย่างที่ปู้จื้อโหยวเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ จินเฟยเหยาแทบจะไม่ได้เสียเวลาใดๆ ก็หนีออกมาจากเกาะเซียวโม่ได้
ในบรรดานั้นย่อมมีฤทธิ์ของยันต์ซ่อนกาย มืดมิดไม่มีแสงไฟ ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ล้วนชมดูความครึกครื้น ทางเผ่ามารจอมมารหลงไม่ได้คิดจะไปช่วยเหลือเลยสักนิด เขาจะช่วยทำไม ไม่ลงมือก่อเรื่องอย่างอำมหิตก็ถือว่าดีแล้ว เหลือเพียงเผ่ามารของโลกวิญญาณซิงหลัวที่ส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นชมดู
ทุกคนไล่ตามปู้จื้อโหยวที่นำศิลาวิญญาณเทียนฮุ่นไป แสงหลากสีสันกระพริบวาบลื่นไหลผ่านท้องนภาราวกับมังกรยาวตัวหนึ่ง จินเฟยเหยากลับหุบปากหลบหนีมาถึงเกาะจวี้เซียน ที่นี่มีคนมากมายส่งเสียงอึกทึก ผู้บำเพ็ญเซียนนับแสนเบียดเสียดอยู่รวมกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนพบ
นางหลบอยู่ในป่าเล็กๆ ผลัดเปลี่ยนชุดมังกรแหวกว่ายธาราออกและเปลี่ยนรูปโฉมให้กลับคืนเป็นดังเดิมก่อนหนีกลับมา จากนั้นคายศิลาเทียนฮุ่นออกมาอย่างยินดี ทำความสะอาดในปากอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ให้แน่ใจว่าไม่มีศิลาเทียนฮุ่นติดอยู่ในซอกฟันจากนั้นจึงตรวจสอบว่าตนเองแทะลงมามากน้อยเพียงใด
ศิลาเทียนฮุ่นขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสงก้อนหนึ่งและขนาดเท่าเมล็ดข้าวเจ็ดแปดเม็ด ยังมีบางอันหลังจากแห้งมีขนาดใกล้เคียงกับฝุ่นผง เล็กจนเกรงว่าหายใจแรงหน่อยเศษหินจะถูกเป่าหายไป
“แค่นี้น่าจะทำให้เกาะลอยได้เล็กๆ เพิ่มมาสองสามหมู่ได้นะ ถ้าไม่ได้แม้แต่หมู่เดียวก็เสียแรงที่ข้าเพียรพยายาม” จินเฟยเหยาใส่ศิลาเทียนฮุ่นลงในขวดแก้วเล็กๆ อย่างระมัดระวัง สิ่งของแบบนี้บรรจุได้สะดวกกว่า ปากกล่องหยกกว้างเกินไปเดี๋ยวร่วงกระจายหมด
ไม่รู้ว่าปู้จื้อโหยวหลบหนีไปได้แล้วหรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าหมอนั่นก็มีมุกเทียนจี้ ถ้าเจออันตรายมุดเข้าไปอยู่ในนั้นก็พอ จินเฟยเหยายักไหล่ คนแบบนี้ไม่ต้องเป็นห่วงสักนิด ตนเองออกจากที่นี่เข้าไปปะปนในเมืองก่อนดีกว่า
ยามราตรีในอีกห้าวันต่อมา บนเกาะจวี้เซียนที่มีผู้คนพลุกพล่าน พอจินเฟยเหยาเข้าไปในร้านอาหารที่มีทำเลดีและสูงหลายชั้นแห่งหนึ่งก็ถูกพาเข้าไปในห้องส่วนตัวชั้นบนสุดทันที นางสั่งอาหารขึ้นชื่อหลายอย่างของร้านนี้ จากนั้นดื่มชารอปู้จื้อโหยวมาส่งสุรา
ขณะที่จันทราส่องสว่าง กลับหาดวงดาราได้ยาก เป็นวันดีๆ ที่เหมาะแก่การจิบสุราชมแสงจันทร์จริงๆ อาหารก็สั่งแล้ว ดวงจันทร์ก็ขึ้นแล้ว ตอนนี้ขาดเพียงสุราคืนวิญญาณ
มองตะเกียงหินแสงราตรีที่สว่างไสวบนถนนด้านล่าง เสียงอึกทึกดังมารางๆ บางครั้งไกลบางครั้งใกล้ มองเห็นความเจริญรุ่งเรืองกลับนั่งเดียวดายในตึกสูง อยู่ท่ามกลางผู้คนกลับห่างไกลจากโลกียะ จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองจันทร์กระจ่าง ลมราตรีพัดเย็นสบาย ซ่องเสพความโดดเดี่ยวและเงียบเหงา
กริ๋ง…
กระดิ่งลมที่แขวนไว้ตรงหน้าต่างอีกด้านดังขึ้น ปู้จื้อโหยวปรากฏตัวขึ้นในห้องส่วนตัว
“เจ้ามาช้าเกินไป ข้ารออยู่นานแล้ว สุราล่ะ?” จินเฟยเหยายังนอนเกยหน้าต่างดังเดิมและเอ่ยถามโดยไม่หันหน้ามา
“ให้เจ้า อย่าแสร้งทำเป็นสง่างามเลย ไม่เหมาะกับเจ้า” ปู้จื้อโหยวตบไหสุราสูงเท่าฝ่ามือลงบนโต๊ะ บนนั้นยังใช้กระดาษยันต์ผนึกไว้ จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางเบาะนุ่มตรงข้ามกับนาง
จินเฟยเหยาหันหน้ามามองเขาอย่างไม่พอใจ “ข้าสร้างบรรยากาศเย็นชาขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าตนเองเป็นบุคคลสูงส่งและสำคัญ เจ้าก็ลากข้าลงมาทันที”
“เช่นนั้นข้าไม่กวนใจเจ้าแล้ว เจ้าทำต่อได้เลย ให้ข้าลิ้มรสสุราคืนวิญญาณก่อน” ปู้จื้อโหยวเอ่ยพลางยื่นมือไปหยิบไหสุรา
จินเฟยเหยารีบใช้มือชิงไหสุรากลับมา อุ้มไว้ในอ้อมอกพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไม่ได้ ของสิ่งนี้ข้าต้องค่อยๆ ดื่ม เจ้าเคยดื่มแล้วมิใช่หรือ ยังเอาขวดมาให้ข้าเลียเลย ยังบอกว่าชิมอะไรอีก มิใช่ไม่เคยดื่มเสียหน่อย”
ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะ หยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ ทอดถอนใจอย่างเจ็บปวด “เลือดเย็น เจ้าเลือดเย็นจริงๆ ข้ายังนำสิ่งของเช่นนี้มาให้เจ้า เจ้ากลับไม่ให้ข้าดื่มสุราสักจอก”
จินเฟยเหยามองกล่องหยกขนาดครึ่งฝ่ามือแล้วกระพริบตา จากนั้นมือหนึ่งอุ้มไหสุราแน่น อีกมือคว้ากล่องหยกมา นางเปิดกล่องหยก หลังจากเห็นสิ่งของในนั้นก็ตะลึงงัน
“ยาคืนชีพกลับสวรรค์…”
คิดไม่ถึงว่าในกล่องหยกจะเป็นยาคืนชีพกลับสวรรค์สองเม็ด จินเฟยเหยาถือกล่องหยกมองปู้จื้อโหยวอย่างไม่เข้าใจ
ปู้จื้อโหยวเตรียมจอกสุราพร้อมแล้ว เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของนาง เขาก็เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ทำไมเจ้าจึงมองข้าอย่างโง่งมแบบนั้น นี่คือสิ่งของที่ข้าบอกว่าถ้าเจ้าช่วยข้าจะมีผลประโยชน์ให้ สิ่งของนี้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ขอเพียงยังเหลือลมหายใจอยู่ กินลงไปก็สามารถคืนชีพได้ ถ้าไม่ถึงตอนใกล้ตายเจ้าอย่าใช้สุ่มสี่สุ่มห้านะ ใช้ช่วยชีวิต”
“เจ้าไม่ได้กำลังใช้หนี้แทนผู้อื่นอยู่หรือ?” จินเฟยเหยามองปู้จื้อโหยวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
“ใช้หนี้อะไร? ทำไม มีคนติดค้างยาคืนชีพกลับสวรรค์เจ้าด้วย! ข้าไม่เห็นรู้เลย เล่าให้ข้าฟังหน่อย บางทีอาจจะสนุก” ปู้จื้อโหยวเอ่ยพลางล้วงสมุดของเขาออกมาจากในอกและนำพู่กันวิญญาณออกมา เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
จินเฟยเหยาจ้องมองดวงตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก็รั้งสายตากลับ ปิดฝากล่องยาคืนชีพกลับสวรรค์แล้วเก็บลงในถุงเฉียนคุน ถึงจะบังเอิญไปหน่อยแต่จอมมารหลงต้องไม่ทำเรื่องเช่นนี้แน่ น่าจะเป็นรางวัลที่เขาให้เสี่ยวปู้ นอกจากยาคืนชีพกลับสวรรค์น่าจะมีสิ่งของอื่นอีก แต่ของสิ่งนี้สามารถกลับมาอยู่กับนางได้ เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การยินดีจริงๆ
นี่เป็นสิ่งที่ใช้รักษาชีวิต ต้องเก็บไว้อย่างดี ลืมไม่ได้ ถ้าตอนจะช่วยชีวิตลืมว่าวางไว้ที่ใด คงต้องสูญเสียอย่างหนัก
จินเฟยเหยาเก็บยาคืนชีพกลับสวรรค์ ก็เปิดสุราคืนวิญญาณอย่างเบิกบานใจและให้ปู้จื้อโหยวฟรีครึ่งจอก จากนั้นนางโยนพั่งจื่อออกมาให้มันชิมนิดหน่อย แม้แต่หวาหวั่นซีก็โวยวายอยากจะออกมา หลังจากออกมาก็เกี้ยวพาราสีปู้จื้อโหยวตลอด
เห็นปู้จื้อโหยวถูกหวาหวั่นซีเกี้ยวพา จินเฟยเหยาก็เบิกบานใจแทบตาย พวกเขาทั้งดื่มทั้งหัวเราะ ครึกครื้นกันทั้งคืน
เช้าวันที่สอง ปู้จื้อโหยวก็ไป จินเฟยเหยาเก็บกวาด จากนั้นพาพั่งจื่อและหวาหวั่นซีไปรออยู่บนเกาะจวี้เซียนหลายวัน ตอนว่างๆ ก็ครุ่นคิด ถ้าต่อสู้กับหลินชิงเจียงสมควรกำจัดนางอย่างไรดี
ครุ่นคิดอยู่นาน นางพบว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาอะไรจึงไม่มีทางวางแผนการได้เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งที่ซับซ้อนเช่นนี้ครุ่นคิดขึ้นมาก็รู้สึกปวดศีรษะ ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันดีกว่า พบกระบวนท่าทำลายกระบวนท่า[1] อย่างมากก็กลายเป็นเทาเที่ยแล้วกัด
อีกทั้งไม่รู้ว่าคนที่หลินชิงเจียงพามาจะเป็นคนแบบใด นี่ก็คือตัวแปรใหญ่ หวังว่าถึงตอนนั้นปู้จื้อโหยวจะสามารถสะกดคนผู้นั้นได้ ไม่เช่นนั้นใครจะล่าใครก็ยังไม่รู้เลยจริงๆ
รอจนถึงวันออกเดินทาง จินเฟยเหยาเตรียมการพร้อมสรรพและตกลงกับบรรดาหุ่นเชิดแล้ว วันนี้นอกจากหวาหวั่นซีคนอื่นอย่าออกมา อีกทั้งยังเสริมกู่หลิงซินให้นาง สิ่งของชั้นต่ำบนร่างก็ซ่อมให้ใหม่ ถึงแม้พั่งจื่อเพิ่งขั้นเจ็ด แต่เวลาที่จำเป็นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็เตรียมใส่ไว้ในถุงสัตว์ภูติเรียบร้อย
ปู้จื้อโหยวมองจินเฟยเหยาที่มีสีหน้าเตรียมพร้อมอย่างจริงจังจึงเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ท่าทางไม่เหมือนยามปกติ ก็แค่ผู้บำเพ็ญเซียนสองคน เจ้าตึงเครียดเกินไปแล้วกระมัง”
“ข้ายังไม่อยากตาย อีกทั้งไม่คิดจะตายด้วยน้ำมืออาหาร เกี่ยวพันกับความเป็นความตายจริงจังหน่อยก็ไม่ผิดอะไร” จินเฟยเหยาตรวจสอบทงเทียนหรูอี้อีกครั้ง เห็นทุกอย่างไม่มีปัญหาจึงหยุดลง
“เจ้าวางใจเถอะ ไม่ตายหรอก” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างเชื่อมั่นยิ่ง
เห็นเขาเกิดความมั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จินเฟยเหยาก็อยากจะด่าทอเขาสักสองประโยคจริงๆ คนที่มีมุกเทียนจี้ก็มั่นใจแบบนี้ อีกสักครู่ไม่ต้องหนีเข้าไปในนั้นก็โชคดีมหาศาลแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จินเฟยเหยามักจะรู้สึกวิตกกังวล บางทีคงเป็นสัญชาตญาณของเทาเที่ย อาจเป็นเพราะมีฉีหลินให้กินจึงตื่นเต้นขึ้นมา ถึงอย่างไรนางก็สงบจิตใจไม่ได้
เมื่อนางพาปู้จื้อโหยวมาถึงศาลาหลิวเฟิงบนเกาะก้วนถิง หลังจากเห็นหลินชิงเจียงนางจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงสงบใจไม่ได้
มีบุรุษที่สวมเสื้อคลุมสีทอง บนเสื้อคลุมมีมังกรสีทองวิบวับ เอวแขวนกระบี่ชั้นยอดอันงดงาม บนศีรษะสวมมงกุฎสีทองม่วงยืนอยู่ข้างกายหลินชิงเจียง
ชนชั้นสูง! ถึงแม้ไม่มีกลิ่นสัตว์เทพ ทว่าก็น่ากินอย่างยิ่ง อีกทั้งกลิ่นยังพิเศษมาก เป็นรสชาติแห่งความหรูหรา
บนร่างบุรุษผู้นี้มีปราณแห่งราชันออกมา หากมิได้ถือกำเนิดในตระกูลกษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานคงไม่มีกลิ่นอายแบบนี้ ถ้าเป็นตระกูลกษัตริย์ในโลกมนุษย์ ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคนหนึ่งก็ราวกับประชาชนธรรมดาที่ปล่อยปราณแห่งราชันใดๆ ออกมาไม่ได้ ทว่าคนผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กลุ่มหนึ่ง เขายังเชิดศีรษะสูงมองพวกนางอย่างดูแคลน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังสะกดปราณแห่งราชันบนร่างไม่ได้
แน่นอนว่าตัวเขาเองก็มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย
จินเฟยเหยาแนะนำปู้จื้อโหยวก่อน “สหายเซียนหลิน นี่คือสหายของข้า ปู้จื้อโหยว ผู้บำเพ็ญเซียนอันดับหกบนผังสงครามวิญญาณจากโลกวิญญาณเป่ยเฉิน”
ปู้จื้อโหยวเองก็ยิ้มแย้มประสานมือให้พวกเขา เป็นไปตามที่จินเฟยเหยาคาดไว้ ผังสงครามวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีจริงๆ แน่นอนว่าเพียงสำหรับเผ่ามนุษย์ ถ้าเจ้าพูดกับเผ่ามาร ต้องถูกผู้อื่นชิงชังแทบตายและทำให้เกิดความรู้สึกเป็นศัตรูอย่างยิ่ง หลินชิงเจียงก็คารวะตอบอย่างมีมารยาท ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายที่นางพามากลับเพียงแค่พยักหน้าด้วยท่าทางรับรู้และให้ล่าถอยออกไปได้
“นี่คือสหายสนิทของข้า องค์ชายสามแห่งโลกวิญญาณเทียนตี้” หลินชิงเจียงเอ่ยแนะนำ เพียงบอกความเป็นมาและลำดับของผู้อื่น กลับไม่เอ่ยแม้แต่ชื่อ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าจะให้จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวเรียกคนผู้นี้ว่าองค์ชายสามหรือองค์ชาย
“ชิงเจียง เราเคยบอกเจ้านานแล้ว ต่อไปเจ้าคือพระชายาของเรา เวลานี้สมควรเรียกเราว่าว่าที่สามีของเจ้าจึงถูกต้อง” องค์ชายสามกลับมองหลินชิงเจียง ในน้ำเสียงกระด้างนิดๆ ทว่าในดวงตากลับมีความอ่อนโยนอยู่ไม่น้อย
ใบหน้าของหลินชิงเจียงแดงนิดๆ ราวกับขัดเขินต่อหน้าผู้อื่นและเอ่ยอย่างไม่ยินยอมอยู่บ้าง “องค์ชายสาม ตอนนี้มีธุระต้องไปทำ อย่าเพิ่งพูดเรื่องเหล่านี้ก่อน”
“เสี่ยวปู้ โลกวิญญาณเทียนตี้คือสถานที่ใด เหตุใดยังมีเชื้อพระวงศ์ที่อ้าปากก็เราหุบปากก็เรา?” จินเฟยเหยาไม่สนใจเรื่องไร้สาระ ไม่รู้ว่าโลกวิญญาณเทียนตี้คือสถานที่ใด ฟังชื่อแล้วเหตุใดจึงเหมือนที่อยู่ของจักรพรรดิสวรรค์ หรือว่าเป็นโลกวิญญาณพิเศษ?
ปู้จื้อโหยวก็ถือว่าเป็นสายลับ สำหรับเขาแล้วคำถามแบบนี้เป็นความรู้ทั่วไป “โลกวิญญาณเทียนตี้คือหนึ่งในพันธมิตรสิบสองโลกวิญญาณ พื้นที่โลกวิญญาณไม่กว้างใหญ่ มีขนาดเพียงหนึ่งในห้าของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ทว่าพวกเขาใช้ระบบกษัตริย์ ผู้บำเพ็ญเซียนล้วนอยู่ในกำมือของพวกเขา คนธรรมดาห้ามฝึกบำเพ็ญ เขาเรียกตนเองว่าองค์ชายสาม น่าจะเป็นองค์ชายของแคว้นโลกวิญญาณเทียนตี้ ทั้งตระกูลล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูง”
“ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย อีกทั้งยังมีกำลังทรัพย์ ท่าทางพวกเราเจอกระดูกแข็งแล้ว” จินเฟยเหยาถ่ายทอดเสียงมาแบบหัวเราะๆ
ปู้จื้อโหยวกลับยังตอบเหมือนเดิม “ไม่ตายหรอก ไม่มีปัญหา”
………………………………………
[1] พบกระบวนท่า ทำลายกระบวนท่า หมายถึง แก้ไขไปตามสถานการณ์