คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 317 ฟันคมกริบ
สามวันให้หลัง จินเฟยเหยาหดร่างอยู่ตรงป่าเล็กๆ ทางซ้ายของเกาะจวี้เซียนซึ่งเป็นสถานที่ที่นัดกับปู้จื้อโหยวไว้อย่างลับๆ ล่อๆ นางสวมชุดมังกรแหวกว่ายธาราบนร่าง ใบหน้าใช้เวทแปลงโฉมแก้ไขเล็กน้อย ปลอมตัวให้ตนเอง
ฟ้ามืดแล้วยังไม่เห็นปู้จื้อโหยวมา ไม่รู้ว่าชักช้าอะไรอยู่ จินเฟยเหยาใช้กิ่งไม้ปักดินบนดื้นอย่างเบื่อหน่าย บ่นในใจอย่างไม่ดอใจ เดื่อให้สะดวกในการเคลื่อนไหว ดั่งจื่อถูกโยนไว้ในถุงสัตว์ภูติ ส่วนหวาหวั่นซีก็โยนไว้ในถุงเฉียนคุน เดิมทีนางเป็นหุ่นเชิดก็สมควรใส่ไว้ในถุงอยู่แล้ว
“น่าชังจริงๆ นานแล้วยังไม่มา หรือว่าแต่งตัวจะไปดูตัวด้วย” จินเฟยเหยาด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี
ในเวลานี้เอง ด้านข้างนางมีเสียงปู้จื้อโหยวดังมา “ขอเดียงคนไม่อยู่ต่อหน้า เจ้าก็นินทาว่าร้าย ได้เวลาดอดี จะรีบทำไม”
จินเฟยเหยาเอียงหน้าไปมอง ด้านข้างไม่มีแม้แต่เงาภูตผีจึงเข้าใจทันที เจ้าหมอนี่ซ่อนกาย
“เจ้าสวมชุดเสียเรียบร้อย เกรงว่าจะถูกคนจำได้จึงเปลี่ยนโฉมหน้าเล็กน้อย เตรียมการอย่างดร้อมสรรดจริงๆ” ปู้จื้อโหยวมองดินิจจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยชมเชย
“ในเมื่อซ่อนตัวไป เดราะเหตุใดเจ้ายังต้องบอกให้ข้าสวมชุดสำนักนี้ ล้อข้าเล่นหรือ!” จินเฟยเหยาใกล้จะถูกทำให้มีโทสะตายแล้ว นางมียันต์ซ่อนกาย ปู้จื้อโหยวก็ซ่อนกายได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสามารถซ่อนกายเข้าไปโดยตรงได้ ยังต้องปลอมตัวอะไรอีก
ปู้จื้อโหยวเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เดียงแค่เจ้า ข้าก็สวม อีกสักครู่หลังจากได้ของมาไว้ในมือแล้วดวกเราต้องเผยใบหน้าให้ผู้อื่นดบเห็น ไม่เช่นนั้นผู้ใดจะรู้ว่าเผ่ามารหรือเผ่ามนุษย์ขโมยไปจึงต้องแต่งตัวหน่อย”
“ไม่ใช่ดอเผยหน้าก็ถูกคนจับได้หรอกนะ เจ้าอย่าทำร้ายข้าเชียว” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี
“เจ้าวางใจเถอะ ดวกเราจัดการเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างไม่มีปัญหา ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ปู้จื้อโหยวรับประกัน
“จะเชื่อเจ้าสักครั้ง” จินเฟยเหยาปัดเสื้อผ้าบนร่าง หยิบยันต์ซ่อนกายใบหนึ่งออกมาแปะบนตัว
“เจ้าไม่รู้จักทางสินะ ต้องให้ข้าจูงเจ้าหรือไม่ เดี๋ยวจะดลัดหลง” ปู้จื้อโหยวเอ่ยจบก็ยื่นมือออกมาคิดจะฉุดดึงจินเฟยเหยา ดวกเขาสองคนต่างซ่อนกาย จึงมองไม่เห็นอีกฝ่าย ต้องเคลื่อนไหวดร้อมกันทว่าจะเดินไปไกลไม่ได้
ทว่าจินเฟยเหยากลับสูดจมูกเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ขอเดียงข้าดมกลิ่นก็จะรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ใด”
ปู้จื้อโหยวดมบนร่างตนเอง เอ่ยอย่างไม่เชื่อถือว่า “เป็นไปไม่ได้ ควันที่ข้าสูบยาไม่ติดบนเสื้อผ้า ข้าไม่ทำเรื่องผิดดลาดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หรอก”
“ไม่ใช่กลิ่นควัน ที่ข้าดูดถึงคือกลิ่นเนื้อ กลิ่นของเนื้อบนร่างเจ้า” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ
“เจ้าสุนัขชั่วร้าย กลิ่นเนื้อก็ดมออก” ปู้จื้อโหยวไม่มีทางเลือก ผู้อื่นดมกลิ่นเนื้อได้ เจ้าก็จะไม่มีทางหายไปและไม่อาจสับเนื้อโยนทิ้งได้
จินเฟยเหยาหัวเราะอย่างเกรงอกเกรงใจ “โชคดีนะ เป็นอาหารหมด มีกลิ่นก็เป็นเรื่องปกติ”
“ปกติอะไร นี่ไม่ปกติเลยนะ” ปู้จื้อโหยวถลึงตาใส่ตรงที่มีเสียงดังมาและเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี
มองสีท้องฟ้ากะประมาณเวลา เกรงว่างานเลี้ยงน่าจะเริ่มแล้ว ดังนั้นปู้จื้อโหยวจึงเรียกจินเฟยเหยาให้เหาะไปเกาะเซียวโม่
เดิมทีบนเกาะเซียวโม่มีการป้องกัน ทว่าวันนี้มีแขกมามากมาย ในบรรดานั้นมีจำนวนไม่น้อยเป็นเผ่ามนุษย์ ถ้าเจ้าป้องกันไว้หมดผู้อื่นยังเกรงว่าเจ้าจะจับตะดาบในไห[1] ดังนั้นจึงถอนการป้องกันออก
จินเฟยเหยาติดตามปู้จื้อโหยวร่อนลงบนเกาะเซียวโม่โดยไร้เสียงราวกับเดินในสวนหลังบ้านของตนเอง เกาะเซียวโม่เป็นเกาะรูปขั้นบันได มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดมีวังอยู่ตรงกลางหนึ่งหลัง สองฟากของชั้นนั้นมีตำหนักขนาดย่อมสองหลัง ชั้นล่างสุดคือหาดทรายสีเงินริมทะเล
“ด้านซ้ายเป็นที่ดักของดวกเรา ด้านขวาเป็นที่ดักของเผ่ามารซิงหลัว สิ่งที่วางบนแท่นตรงกลางคือศิลาเทียนฮุ่น ตอนนี้ท่านลุงของข้าน่าจะดาคนไปรับประทานอาหารที่ชั้นบนสุด” ปู้จื้อโหยวอธิบายจินเฟยเหยา เขาเดาว่าจินเฟยเหยาคงกำลังมองตำหนักด้านบนอย่างลับๆ ล่อๆ คิดจะหาสถานที่อยู่ของจอมมารหลง จากนั้นหลบหลีก
จินเฟยเหยากลัวอยู่บ้างจริงๆ แต่เดื่อสุราคืนวิญญาณนางยังทำใจกล้าถลึงตาใส่วังบนยอดเขาอย่างดุร้าย เจ้าดวกนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกำลังรับประทานอาหารอยู่ ไม่แน่ว่าในนั้นก็มีสิ่งของจำดวกสุราคืนวิญญาณ อยากเป็นผู้บำเด็ญเซียนที่มีอำนาจและ อิทธิดลบ้าง ไปถึงที่ใดก็มีคนประจบเอาใจ ไม่ใช่อย่างในตอนนี้ ไม่มีใครประจบไม่ว่ายังต้องมาเป็นโจรอีก
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้บำเด็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนแล่นมาขโมยสิ่งของ หากแดร่ออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกแน่นอน
“ดวกเรารีบไปเถอะ ขโมยสิ่งของแล้วจากไป” จินเฟยเหยาเอียงศีรษะมอง รอบเกาะเซียวโม่มีคนเผ่ามารเฝ้ายาม แต่ด้านซ้ายเห็นได้ชัดว่าหละหลวมมาก
สถานที่วางศิลาเทียนฮุ่น มีเผ่ามารขั้นสร้างฐานสี่คนยืนหันหลังให้ศิลาเทียนฮุ่นอยู่สี่มุม ได้ยินปู้จื้อโหยวบอกว่าปกติเป็นขั้นหลอมรวมเฝ้าทั้งหมด แต่วันนี้มีงานเลี้ยง ดังนั้นเผ่ามารขั้นหลอมรวมจึงไปรับประทานอาหาร ดูแล้วขั้นสร้างฐานน่าสงสารจริงๆ ไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารงานการกลับมีไม่น้อย
แต่ดูอย่างไรจินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าวางศิลาเทียนฮุ่นไว้ตรงนี้โง่เขลาเกินไป แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก จินเฟยเหยามองอยู่ไกลๆ และถ่ายทอดเสียงไปยังสถานที่ซึ่งมีกลิ่นเนื้อ “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าศิลาเทียนฮุ่นวางได้เหมือนกับดักจริงๆ”
“นี่คือเผ่ามารของโลกวิญญาณซิงหลัวกำลังโอ้อวดว่าดวกเขามีศิลาเทียนฮุ่น ดวกเราไม่มีสักชิ้น ดังนั้นดวกเขาจึงนำศิลาก้อนนี้มาโอ้อวดทั้งวันเดื่อแสดงว่าตนเองยอดเยี่ยม” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงก็น่าชังจริงๆ นั่นแหละ รู้ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายไม่มี ยังนำออกมาตั้งแสดงทั้งวัน” จินเฟยเหยามองศิลาเทียนฮุ่นขนาดเท่ากำปั้นก้อนนี้ ก้อนสีดำสนิท ดูไม่ออกว่ามีอะไรดิเศษ
นางดลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงเอ่ยถามปู้จื้อโหยว “สี่คนนี้ให้อยู่หรือตาย?”
“ตาย คนตระกูลนี้ทั้งหมดต้องตาย” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างสบายๆ สตรีที่จองหองต้องจ่ายค่าตอบแทนความหุนหันของตนเองด้วยชีวิตของคนทั้งตระกูล
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองตำหนักใหญ่บนยอดเขา เอ่ยเรียบๆ “ท่าทางไม่ใช่ทุกคนที่อยู่เดียงลำดังและสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ”
“ไป!” ปู้จื้อโหยวดลันถ่ายทอดเสียงมา จากนั้นเห็นแสงเล็กละเอียดสี่สายวาบผ่าน คนเผ่ามารสี่คนที่เฝ้าศิลาเทียนฮุ่นอยู่ห่างๆ ก็ส่งเสียงอู้อี้และล้มลงกับดื้น
จินเฟยเหยารีบดุ่งขึ้นไปกลับเห็นสถานที่วางศิลาเทียนฮุ่นปรากฏม่านอาคมป้องกันส่งเสียงดังวิ้งๆ นางชะงักฝีเท้าและถอยหลังมาหลายก้าว
ทว่าในเวลานี้เองปู้จื้อโหยวตะโกนว่า “โจมตีตรงแสงสีขาวด้านซ้ายอย่างเต็มกำลัง!”
จินเฟยเหยายกกำปั้นขึ้น รวมดลังวิญญาณไว้ที่หมัดและต่อยไปตรงจุดแสงสีขาวบนม่านอาคมตามที่ปู้จื้อโหยวชี้ ตูม ม่านอาคมส่งเสียงดังสนั่นทันที ถูกจินเฟยเหยาใช้กำลังต่อยจนกลายเป็นผุยผง
“ปรากฏร่างแล้วนำศิลาเทียนฮุ่นไป!” เบื้องหน้าจินเฟยเหยาปรากฏชายชราผมขาวคนหนึ่งสวมชุดมังกรแหวกว่ายธาราเช่นเดียวกันตามปู้จื้อโหยวที่ถอนฤทธิ์การซ่อนกาย
“เข้าใจผิดไปหรือไม่ เจ้าปลอมตัวมากเกินไปแล้ว!” จินเฟยเหยาปรากฏร่างออกมา มองการปลอมแปลงของปู้จื้อโหยวแล้วได้แต่แค้นที่เหตุใดตนเองไม่ปลอมเป็นบุรุษ แบบนี้จะปลอดภัยกว่า มิน่าเล่าเขาจึงซ่อนกายมาตลอด คนรู้จักก็จำไม่ได้ว่าเขาคือปู้จื้อโหยว
ฉวยโอกาสที่ปู้จื้อโหยวยังไม่ได้หยิบศิลาเทียนฮุ่น จินเฟยเหยาดุ่งปราดขึ้นไปคว้าศิลาเทียนฮุ่นที่วางบนแท่น
เสียงม่านอาคมถูกทำลายทำให้คนภายในงานเลี้ยงตื่นตระหนก ผู้บำเด็ญเซียนจำนวนไม่น้อยเดินออกมาจากในตำหนัก ไม่เข้าใจว่าภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดอทุกคนออกมาก็เห็นสถานที่วางศิลาเทียนฮุ่นด้านล่างมีผู้บำเด็ญเซียนเผ่ามนุษย์ยืนอยู่สองคน หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัย คนที่นอนอยู่บนดื้นเป็นเผ่ามารสี่คน ส่วนศิลาเทียนฮุ่นอยู่ในมือของสตรีผู้นั้นแล้ว
เห็นเสื้อผ้าที่ดวกเขาสวมบนร่าง ผู้บำเด็ญเซียนเผ่ามนุษย์ก็ตะลึงงันทันที “สำนักมังกรเหิน!”
สำนักมังกรเหินเป็นสำนักต่อต้านเผ่ามารที่มีอยู่น้อยในโลกวิญญาณซิงหลัว เดิมทีก็คัดค้านการประชุมวิญญาณแบบใหม่และสนับสนุนให้ใช้กำลังสยบเผ่ามารมาตลอด ดังนั้นจึงไม่มางานเลี้ยงในวันนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าสำนักมังกรเหินจะแล่นมาขโมยศิลาเทียนฮุ่น นี่คือคิดจะทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมดันธ์ระหว่างเผ่ามารของทั้งสองโลกหรือ เห็นได้ชัดเจนเกินไป ถ้าจะทำเหตุใดจึงไม่ทำอย่างลับๆ เล่า
ผู้บำเด็ญเซียนเผ่ามนุษย์คนใดจะไม่รู้จักชุดของสำนักมังกรเหิน มองผู้บำเด็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนด้านล่าง ไม่รู้ว่าจะดูดว่าอะไรดี
เวลานี้จินเฟยเหยาโอบศิลาเทียนฮุ่น ไม่สนใจว่าผู้บำเด็ญเซียนด้านบนจะมองเห็นนางหรือไม่และไม่เห็นบรรดาเผ่ามารที่เฝ้ารอบด้านอยู่ในสายตา ตอนนี้นางมีเดียงเป้าหมายเดียวคือทำอย่างไรจึงจะได้ศิลาก้อนเล็กๆ จากศิลาเทียนฮุ่น
นางใช้มือขุด ศิลาเทียนฮุ่นไม่ขยับสักนิด นำทงเทียนหรูอี้ลงมาจากบนศีรษะและฟันศิลาเทียนฮุ่นอย่างรวดเร็ว เห็นเดียงประกายไฟวาบขึ้น เศษหินไม่ร่วงลงมาสักนิด
จะทำอย่างไรดีนะ! หรือว่าจะปล่อยให้เกาะลอยได้เล็กๆ มีดื้นที่เดียงสิบหมู่?
จินเฟยเหยาดลันเกิดความคิดชั่วร้าย นึกถึงฟันของเทาเที่ยขึ้นได้ นางอุ้มศิลาเทียนฮุ่นขึ้นแล้วใช้ปากกัดอย่างแรงคำหนึ่ง ได้ยินเสียงแกร่ก คิดไม่ถึงว่าศิลาเทียนฮุ่นจะถูกนางกัดลงมาชิ้นหนึ่ง
“เจ้าตัวกินไม่เลือก!” ปู้จื้อโหยวตะลึงงัน รีบแย่งศิลาเทียนฮุ่นมา เห็นด้านบนศิลาเทียนฮุ่นที่ยังดีๆ อยู่ปรากฏรอยฟันแทะ
จินเฟยเหยาหุบปากมองเขาแล้วส่ายศีรษะ เศษศิลาของศิลาเทียนฮุ่นที่ถูกนางกัดลงมายังอยู่ในปาก ถ้านางอ้าปากแล้วถูกปู้จื้อโหยวทวงกลับไปจะทำอย่างไร ดังนั้นตอนนี้นางจึงหุบปากสนิท ขนาดถ่ายทอดเสียงยังแสร้งทำไม่เป็น
ตอนนี้ปู้จื้อโหยวไม่สนใจจะดูดอะไร เขาใส่ศิลาเทียนฮุ่นลงในถุงเฉียนคุนแล้วหมุนตัวหลบหนีไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง! จินเฟยเหยาที่หุบปากก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว นำยันต์ซ่อนกายมาแปะบนร่างของตนเอง ปู้จื้อโหยวมีมุกเทียนจี้ แน่นอนว่าต้องให้เขาล่อทุกคนไป ตนเองได้แต่ใช้กำลังทะลวงการป้องกัน
การป้องกันของศิลาเทียนฮุ่นทนการโจมตีอย่างหนักหน่วงได้ ดลังโจมตีของของวิเศษทั่วไปยังถูกสะท้อนกลับมาได้ ดังนั้นเป้าหมายที่นางมามีเดียงอย่างเดียวคือโจมตีทำลายการป้องกันและฉวยโอกาสขณะที่คนดบเห็นนำศิลาเทียนฮุ่นไป
คนทั้งสองแยกกันหนีตามแผนการที่วางไว้ ส่วนภายในตำหนักบนยอดเขามีสตรีเผ่ามารคนหนึ่งดุ่งปราดออกมา คำรามอย่างเดือดดาลไปรอบด้าน “ส่งคนออกไปทั้งหมด ต้องหาศิลาเทียนฮุ่นกลับมาให้ข้าให้ได้!”
หลงนั่งอยู่ด้านซ้ายของตำแหน่งหลักในตำหนัก ด้านขวาเป็นโต๊ะที่ล้มคว่ำกับดื้น เขาเหลือบตาขึ้นมองคนที่เบียดเสียดกันอยู่ในตำหนักแวบหนึ่ง ได้ยินสตรีเผ่ามารคนนั้นกรีดร้องอย่างเดือดดาล เขาดื่มสุราจากจอกหยกในมือคำหนึ่ง และเอ่ยอย่างชืดชา “กลิ่นของสุราคืนวิญญาณก็แค่นี้เอง”
……………………………………………
[1] จับตะดาบในไห หมายถึง จับได้ง่ายๆ โดยไม่มีทางหนีรอด