คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 315 เรื่องหนึ่งแลกกับอีกเรื่องหนึ่ง
“ว่ามาเถอะ เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร?” ปู้จื้อโหยวเพิกเฉยคำพูดของจินเฟยเหยาก่อนหน้านี้ทันทีและเอ่ยถามอย่างสงสัย
จินเฟยเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะไปล่าสัตว์เทพเจียวถูกับคนผู้หนึ่ง อยากจะให้เจ้าไปช่วยเหลือ”
“เจียวถู? สัตว์ประเภทนี้เจ้าก็หาพบ คงไม่ใช่เลื่อนเป็นขั้นเทพแล้วหรอกนะ” ปู้จื้อโหยวตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งของแบบนี้
“เปล่า แต่ใกล้แล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ อีกทั้งคนที่เรียกข้าไปมีวิญญาณจริงของฉีหลิน ข้าอาจจะสู้นางไม่ได้” จินเฟยเหยาเอ่ย
ปู้จื้อโหยวเหล่มองจินเฟยเหยา “เจ้าคิดจะสังหารผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น?”
จินเฟยเหยาพยักหน้า “เจ้าคิดดู นางรู้ว่าข้ามีร่างเทาเที่ย และข้าอยากได้หยวนอิงของนาง โดยพื้นฐานแล้วพวกเราสองคนเป็นสิ่งบำรุงชั้นดีสำหรับอีกฝ่าย ครั้งนี้นางนัดข้าออกไปล่าเจียวถู แต่ข้าไม่วางใจ ผู้ใดจะรู้ว่าไปล่าเจียวถูหรือล่าข้า”
“คิดไม่ถึงว่านางรู้ว่าเจ้าเป็นเทาเที่ยยังยอมร่วมมือกับเจ้า?” ปู้จื้อโหยวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
จินเฟยเหยาลูบศีรษะหัวเราะ “ข้าหลอกนางว่าข้าเป็นเสวียนอู่ อีกทั้งยังผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด นางเชื่อสนิทใจแล้ว ต่างก็เป็นสัตว์เทพย่อมต้องร่วมมือกับข้า แต่ต้องระวังหน่อยผู้ใดจะรู้ว่านางมีแผนการใด”
“อันตรายเกินไปแล้ว!” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
“น้อยๆ หน่อย ถ้ามีอันตราย เจ้าหลบอยู่ในมุกเทียนจี้ก็ใช้ได้แล้ว สุดท้ายคนที่มีอันตรายยังเป็นข้าคนเดียวอยู่ดี ข้าจะให้ผลประโยชน์กับเจ้า ผลประโยชน์ก้อนใหญ่เลยนะ” จินเฟยเหยาใช้ศอกกระทุ้งเขา ใบหน้ามีรอยยิ้ม
ปู้จื้อโหยวหัวเราะหึๆ เอ่ยถามว่า “ผลประโยชน์อะไร?”
จินเฟยเหยาไม่เคยคิดจะให้ผลประโยชน์อะไรกับปู้จื้อโหยว ตอนนี้พูดออกมาแล้ว ถึงกับคิดไม่ออกว่าจะให้อะไรดี เห็นปู้จื้อโหยวมีสีหน้าเดาออกตั้งแต่แรกทำให้นางรู้สึกว่าถ้าหาอะไรมาให้ไม่ได้ คงขายหน้าแย่
ทันใดนั้น นางพลันเกิดความคิด จึงเข้าไปใกล้ปู้จื้อโหยวและเอ่ยว่า “นางก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ในตัวต้องมีสิ่งของดีๆ ไม่น้อยแน่ อีกทั้งข้ารู้ว่าถ้ำเซียนของนางอยู่ที่ใด มีเพียงศิษย์สองคน ถึงเป็นขั้นหลอมรวมก็จัดการได้สบายๆ ถึงตอนนั้นพวกเราไปกวาดถ้ำเซียนของนางให้เกลี้ยง แล้วแบ่งกันอย่างยุติธรรมเป็นอย่างไร?”
“ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นยากจนเหมือนเจ้า ข้าคงเสียเปรียบอย่างหนัก ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทุกคนจะมีสิ่งของดีๆ ตัวอย่างเช่นเจ้า นอกจากมีร่างน่าเกลียดและดุร้ายแล้ว โดยพื้นฐานก็ไม่มีอะไรเลย สิ่งของที่ดีที่สุดยังเป็นเกาะลอยได้เล็กๆ ที่ท่านลุงของข้ามอบให้ นอกจากสิ่งนี้เจ้าก็ไม่มีสิ่งของที่เข้าขั้นสักชิ้น” ปู้จื้อโหยวไม่สนใจเรื่องนี้ ชี้จินเฟยเหยาแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“อย่าทำแบบนี้สิ พวกเราเป็นสหายสนิทกันมิใช่หรือ? เจ้าทนเห็นข้าไปตายคนเดียวได้หรือ?” จินเฟยเหยาเห็นว่าใช้ผลประโยชน์เข้าล่อไม่ได้ผลก็เริ่มใช้กลยุทธ์น้ำใจทันที
ปู้จื้อโหยวสูบยาและเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มชั่วร้าย “เอาแบบนี้ เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง ข้าก็จะช่วยเจ้าเรื่องนี้ ข้าไม่ต้องการสิ่งของของฉีหลิน”
“เหตุใดจึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังวางแผนร้ายกับข้า ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ” จินเฟยเหยาพลันมีความรู้สึกว่าตนเองถูกซ้อนแผน ปู้จื้อโหยวรอให้นางมาหาเขา
ปู้จื้อโหยวเอ่ยด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ “เจ้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะมาหาข้า นี่เจ้านัดข้าก่อนนะ เหตุใดจึงบอกว่าข้าซ้อนแผนเจ้าได้ แค่พบเจ้าพอดี ข้าจึงนึกถึงเจ้าและให้เจ้ามาช่วยเหลือเรื่องนี้”
จินเฟยเหยาได้แต่เบ้ปากเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “เรื่องอะไร ถ้ายากเกินไปข้าไม่ทำนะ ยังมีอีก เรื่องไปเป็นแขกที่บ้านเจ้าข้าก็ไม่ทำเด็ดขาด”
“เจ้าพูดแบบนี้ทำร้ายจิตใจข้าเกินไปแล้ว ครั้งที่แล้วข้าพาเจ้าไปเที่ยวอย่างจริงใจนะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพูดแบบนี้” ปู้จื้อโหยวมีท่าทางถูกทำร้ายจิตใจและเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
จินเฟยเหยาไม่หวั่นไหว เจ้าหมอนี่เสแสร้งได้เหมือนมาก หลอกได้แต่คนอื่นเท่านั้น “ไม่ต้องเสแสร้ง ไปกินข้าวที่บ้านเจ้าครั้งที่แล้ว กินทีก็ให้ข้ากินถึงหกสิบกว่าปี ขาดทุนอย่างหนัก ครั้งนี้ข้าขอเตือนเจ้า ถ้าเจ้าขายข่าวของข้าให้จอมมารหลง ข้าจะบอกเรื่องที่เจ้าช่วยข้าหลบหนีให้เขาฟัง ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะอยู่อย่างมีความสุข”
“เอ๋ เจ้าทำแบบนี้ยังเรียกว่าสหาย ชั่วร้ายเกินไปแล้ว” ปู้จื้อโหยวมีสีหน้าไม่ยินยอม เอ่ยอย่างมีโทสะ
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สน ถ้าเจ้าขายข้า ข้าก็จะขายเจ้า ว่ามา คิดจะให้ข้าทำเรื่องอะไร?” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ
ปู้จื้อโหยวถอนหายใจ จุปากเอ่ยว่า “ไปขโมยสิ่งของชิ้นหนึ่งกับข้า ง่ายดายอย่างยิ่ง อีกทั้งหลังจากสำเร็จข้ายังมีสิ่งของให้เจ้าเป็นรางวัล”
“อย่าพูดย่อๆ พูดจุดสำคัญมา ขโมยสิ่งของใด เจ้าอย่านึกว่ามีรางวัลแล้วข้าจะรับปากทันทีโดยไม่ถามไถ่ บนโลกนี้มีสิ่งของน้อยมากที่ทำให้ข้าหวั่นไหวได้” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างดูแคลน
นางยังมีหน้ามาพูดอีก แค่ผลอวี้หลงสองผลก็ทำให้นางใช้เงินมหาศาลประมูลกระจกสภาพโลกวิญญาณไป สติสัมปชัญญะแบบนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าในโลกนี้มีสิ่งของที่ทำให้นางหวั่นไหวได้ไม่มากนัก
ปู้จื้อโหยวกลับไม่ไว้หน้าจินเฟยเหยา เปิดเผยออกมาทันที “อ้อ ข้ายังนึกว่าเจ้าทนความยั่วยวนของอาหารอร่อยได้ ที่แท้ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นจิตใจดุจน้ำนิ่ง ข้าคิดจะนำสุราคืนวิญญาณเลิศรสชั้นยอดของโลกวิญญาณซิงหลัวมาให้เจ้าโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับไม่ต้องการ”
“สุราคืนวิญญาณ! เจ้านำของสิ่งนี้มาให้ข้าจริงๆ?” พอได้ฟังคำว่าสุราคืนวิญญาณ จินเฟยเหยาก็กระโดดขึ้นมาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ในดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นผิดปกติ
สุราคืนวิญญาณเป็นผลิตผลขึ้นชื่อของโลกวิญญาณซิงหลัว ปีหนึ่งมีเพียงไหเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือไหเดียว ล้ำค่าอย่างยิ่ง ใช้น้ำผลไม้ร้อยชนิดหมักขึ้น ไม่เพียงรสชาติอร่อยหอมหวาน กลิ่นยังกรุ่นอยู่ในปาก ทำให้คนรู้สึกว่าวิญญาณที่หลุดลอยไปกลับมาเนื่องจากความเลิศรสของสุรา
แน่นอนว่า นี่เป็นสิ่งที่จินเฟยเหยาได้ยินมา ผู้บำเพ็ญอิสระที่ร่อนเร่พเนจรทั้งยังไร้พลังอำนาจไม่มีทางได้สุราคืนวิญญาณมาเลย ของสิ่งนี้ไม่มรขายข้างนอก ถ้าไม่มีชื่อเสียงและฐานะก็ไม่ได้ลิ้มรส
เห็นจินเฟยเหยาน้ำลายสอและมีสีหน้าตื่นเต้น ปู้จื้อโหยวได้แต่ทอดถอนใจยายนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ขอเพียงใช้ของกินก็สามารถลักพาตัวไปได้ทันที พอมองด้านข้าง ไม่รู้ว่าพั่งจื่อวิ่งมาตั้งแต่เมื่อใด มองเขาด้วยสีหน้าตะกละตะกลามเช่นเดียวกัน บนหลังยังแบกหุ่นเชิดที่งดงามตัวนั้น
เสี่ยวหวั่นเอานิ้วจิ้มปาก นั่งอยู่บนหลังของพั่งจื่อเอ่ยพึมพำอย่างประหลาดใจ “สุราคืนวิญญาณ นั่นเป็นสิ่งของใด อร่อยกว่าถังหูลูหรือไม่?”
“อืม เรื่องเป็นแบบนี้” ปู้จื้อโหยวรีบส่งเสียงขึ้นจมูกและกระแอมให้คอโล่ง “พวกเราไปขโมยศิลาเทียนฮุ่นที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารโลกวิญญาณซิงหลัวบนเกาะเซียวโม่…”
ไม่รอให้ปู้จื้อโหยวเอ่ยจบ จินเฟยเหยาก็แหกปากทันที “เกาะเซียวโม่! เจ้ารับผลประโยชน์จากจอมมารหลงมาใช่หรือไม่ เหตุใดจึงล่อลวงข้าไปยังสถานที่ที่เขาอยู่ คนโง่งมจึงยอมไป เห็นข้าเป็นคนปัญญาอ่อนหรือ”
“ไม่ต้องตื่นตระหนก เจ้านึกว่าตนเองเป็นใคร ท่านลุงของข้าเป็นบุคคลชั้นแนวหน้า ใครจะมีเวลาว่างมาจับเจ้า เจ้าไม่คิดดูหน่อยล่ะ ก่อนหน้านี้เจ้ายังเฝ้าบ้านและเป็นพาหนะได้ บางครั้งยังเป็นหมอนอิงอุ่นตั่ง เจ้าว่านำเจ้าในตอนนี้กลับไปจะสามารถทำอะไรได้? เฝ้าบ้านก็ไม่น่าเกรงขาม เป็นพาหนะก็ยังต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อุ่นตั่งน่ะหรือ…สตรีต่อคิวยาวไปถึงอีกหลายปีให้หลัง ไม่ถึงรอบของเจ้าหรอก” ปู้จื้อโหยวเบือนหน้าไปหลบเสียงตะโกนของจินเฟยเหยาและเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง คิดดูอย่างละเอียดสิ่งที่ปู้จื้อโหยวพูดก็ถูกต้อง ตอนนี้ดูเหมือนตนเองจะไม่มีประโยชน์อะไร บุคคลเช่นจอมมารหลงไม่จำเป็นต้องจับตามองตนเองตลอด เป็นห่วงว่าจอมมารหลงจะมาหาเรื่องก็ดูเหมือนจะหลงตนเองเกินไปหน่อย
แต่พอนางคิดอีกที ถึงคำพูดนี้จะมีเหตุผล แต่เหตุใดฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเหมือนตนเองเป็นเศษสวะที่ไม่มีค่าเลยสักนิด อารมณ์จึงซับซ้อนสับสน
เห็นจินเฟยเหยาสงบลง ปู้จื้อโหยวจึงล้วงหูและเอ่ยต่อว่า “เจ้าให้นกปีกสวรรค์นัดข้ามาพบภายในหนึ่งเดือน แต่เห็นเจ้ายังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนจึงไปล่าเจียวถู พอดีฉวยโอกาสที่ว่างไปขโมยหินเทียนฮุ่นเป็นเพื่อนข้า ระยะทางใกล้ขนาดนี้ ขโมยสิ่งของครู่เดียวก็สามารถไปล่าเจียวถูตามกำหนดเวลาที่วางไว้ได้ แล้วเจ้ายังได้ค่าแรงฟรีๆ ด้วย เหตุใดจึงไม่ยินดีไปกระทำ”
“เพราะเหตุใดต้องขโมยสิ่งของ?” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ท่านลุงของข้ามาดูตัวมิใช่หรือ? ศิลาเทียนฮุ่นเป็นสินเดิมฝ่ายหญิงที่เผ่ามารโลกวิญญาณซิงหลัวเตรียมไว้ สินเดิมฝ่ายหญิงชิ้นนี้ถือว่ามีศักดิ์ฐานะอยู่บ้าง เพียงแต่วันก่อนตอนพบหน้าสตรีชนชั้นสูงที่เผ่ามารซิงหลัวเลือกมา ทางเราเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่าสินเดิมชิ้นนี้ล้ำค่ายิ่ง คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นกลับเอ่ยอย่างหยิ่งผยองว่า ต่อไปเจ้าคือคนของข้า สิ่งของเช่นนี้ยังมีอีก ถ้าชอบข้าจะประทานให้เจ้า” ปู้จื้อโหยวเล่าสาเหตุว่าเพราะเหตุใดต้องขโมยศิลาเทียนฮุ่นออกมา
พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็ตะลึงงัน สตรีเผ่ามารผู้นี้ยอดเยี่ยมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะพูดกับจอมมารหลงแบบนี้ หรือว่าพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งอย่างยิ่ง?
ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือว่าฝ่ายตรงข้ามมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นว่างเปล่า? และมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าจอมมารหลง ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงอหังการขนาดนี้?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีไป นางมีพลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้น” ปู้จื้อโหยวยิ้มอย่างขมขื่น
“ขั้นเดียวกับข้า! ขวัญกล้าเกินไปแล้ว บ้าระห่ำมาก” จินเฟยเหยารู้สึกว่าสตรีผู้นี้ปัญญาอ่อนแท้ๆ พลันรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่จอมมารหลงถูกสตรีขั้นกำเนิดใหม่ผู้หนึ่งยั่วโทสะแบบนี้
“เพราะเหตุนี้ ท่านลุงจึงหัวเราะ ณ ที่นั้น ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร เพียงแค่หัวเราะอย่างสง่างาม ทว่าพองานเลี้ยงจบลง เขาก็เรียกข้าไปหา ให้ข้าไปขโมยศิลาเทียนฮุ่น เผ่ามารซิงหลัวสูญเสียศิลาเทียนฮุ่นไป งานดูตัวครั้งนี้ย่อมไม่สำเร็จ” ปู้จื้อโหยวอธิบาย
แต่จินเฟยเหยารู้สึกไม่ถูกต้อง จอมมารหลงหัวเราะแล้ว จะแค่ขโมยศิลาเทียนฮุ่นและขับไล่สตรีผู้นั้นไปก็จบเรื่องได้อย่างไร ด้วยนิสัยของเขาน่าจะสังหารสตรีผู้นี้จากนั้นเหยียบย่ำจนเละสุดท้ายโยนให้สุนัขกินจึงถูกต้อง
“ไม่สังหารคน แค่ขโมยสิ่งของหรือ?”
ปู้จื้อโหยวพยักหน้าตอบรับอย่างมั่นใจ “แค่ขโมยสิ่งของไม่ฆ่าคน เรื่องฆ่าคนย่อมต้องมีผู้อื่นไปทำ ไม่ต้องรีบร้อน สังหารเพียงคนเดียวเกรงว่าไม่อาจดับเพลิงโทสะของท่านลุงได้ อย่างน้อยที่สุดต้องฆ่าล้างตระกูล แต่ทุกคนมีอายุขัยยืนยาวสามารถค่อยๆ แก้แค้นได้ อีกทั้งเผ่ามนุษย์ขโมยศิลาเทียนฮุ่นไปไม่เกี่ยวอะไรกับเผ่ามาร”
“ใต้เท้าหลงเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก คาดว่าคงถูกเผ่ามนุษย์ข่มเหงที่โลกวิญญาณซิงหลัว” เวลานี้จินเฟยเหยาไม่กล้าพูดว่าจอมมารหลงแล้วทว่าใช้คำว่าใต้เท้าทันที ผู้ใดจะรู้ว่าจะไปเข้าหูของเขาหรือไม่
ปู้จื้อโหยวได้ยินก็ยิ้มแย้ม “ผู้ใดจะกล้าข่มเหงเขา”
………………………………………