คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 314 บุรุษช่างซุบซิบ
“ท่าทางชีวิตของเจ้าจะอยู่ดีมีสุข กบก็กลายเป็นแบบนี้ พอเห็นก็รู้ว่ากินดีอยู่ดี หุ่นเชิดตัวนี้ของเจ้าหรือ?” ปู้จื้อโหยวมองพินิจพั่งจื่อและจินเฟยเหยา สุดท้ายสายตากลับตกลงบนร่างของเสี่ยวหวั่น
จินเฟยเหยานั่งลงในศาลาอีกครั้งและตอบรับอย่างเกียจคร้าน “ใช่ ของข้าเอง”
“รูปโฉมงดงามจริงๆ ถ้าใช้ล่อลวงผู้บำเพ็ญเซียนมาปล้นชิง ก็เพียงพอจะทำร้ายอีกฝ่ายโดยภูติเทพไม่รู้ได้” ปู้จื้อโหยวจุปากเอ่ย ในด้านนี้เขากลับคิดเห็นไปในทำนองเดียวกับจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาเหล่มองเขา จากนั้นเอ่ยโดยไม่ละอาย “เหตุใดเจ้าจึงเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายขึ้นทุกที ใครจะไปทำเรื่องพรรค์นั้น ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย เจ้าต่างหากฝึกบำเพ็ญได้รวดเร็วยิ่ง คุณสมบัติใกล้เคียงกับข้าชัดๆ แต่ระดับความเร็วในการฝึกบำเพ็ญกลับไม่เชื่องช้าเลยสักนิด”
“เจ้าก็ไม่ช้า อีกทั้งเห็นข้าส่งข่าวค้นหาคนในซื่อเต้าจิง คิดไม่ถึงว่าจะเมินข้า ข้าจึงเดาว่าเจ้าต้องแล่นมาที่โลกวิญญาณอื่นแน่ ไม่เช่นนั้นหลายปีมานี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวคราวสักนิด” ปู้จื้อโหยวเอ่ยยิ้มๆ
“เล่าให้ข้าฟังหน่อย ร้อยปีมานี้เจ้าอยู่อย่างไร?” จินเฟยเหยาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทว่ายิ้มแย้มเอ่ยถามเรื่องอื่น
ดังนั้นคนทั้งสองจึงนั่งในศาลาหลิวเฟิงมองกลีบดอกไม้ถูกลมพัดพาไปอย่างต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องร้อยปีที่ผ่านมาของตนเอง จินเฟยเหยาตัดเรื่องเหรินเซวียนจือและกระจกสภาพโลกวิญญาณทิ้ง ส่วนเรื่องอื่นๆ เล่าออกมาหมด
เมื่อปู้จื้อโหยวได้ยินจินเฟยเหยาเล่าว่านางพบวงเวทส่งตัวที่ส่งตัวมายังโลกวิญญาณซิงหลัวอันนั้นโดยบังเอิญ จากนั้นก็ไม่ได้ซ่อนวงเวทส่งตัวไว้ เขาส่ายศีรษะอดคิดไม่ได้ ยายนี่โชคดีจริงๆ เรื่องที่กระทำไม่รู้จะบอกว่านางโง่หรือฉลาดดี
แต่เอ่ยถึงสำนักเทียนตี้แห่งเทือกเขาอูอวิ๋น ปู้จื้อโหยวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “เจ้าทิ้งกบสีขาวฝูงใหญ่ไว้ที่เทือกเขาอูอวิ๋นใช่หรือไม่ แบบที่มีมุกล้ำค่าบนหัวชื่อว่าไท่จื่อโซ่ว”
จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย “ใช่ มีอะไรหรือ หรือว่าไท่จื่อโซ่วเหล่านั้นมีค่ายิ่ง?”
ถ้าถูกคนพบว่ามูลที่ไท่จื่อโซ่วถ่ายออกมาสามารถป้อนมดหนึ่งผลึกได้ คนของสำนักเทียนตี้ก็ได้เปรียบแล้ว สิ่งที่นางคิดได้ก่อนคือเรื่องนี้ ไท่จื่อโซ่วคือสัตว์ภูติที่สถานที่อื่นไม่มี
“มีค่าอะไรเล่า เจ้าทำร้ายคนจริงๆ” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างดูแคลน
“มีอะไรกันแน่?” จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ทำร้ายคนได้อย่างไร หรือว่าคนของสำนักเทียนตี้เลี้ยงสัตว์ทั้งวัน สุดท้ายก็เลี้ยงไท่จื่อโซ่วให้กินไม่อิ่ม
ไท่จื่อโซ่วของเจ้าถูกสำนักเทียนตี้มอบให้ศิษย์เป็นสัตว์ภูติขั้นต้น ถึงแม้ตอนแรกจะทำสัญญาโลหิตได้ ทว่าขอเพียงโตเต็มวัยสัญญาโลหิตจะไร้ผล ศิษย์สำนักเทียนตี้จำนวนมากถูกไท่จื่อโซ่วทำร้ายบาดเจ็บ ทำเอาสำนักเทียนตี้ร้องโอดครวญไม่หยุด อีกทั้งพวกมันยังกินอาหารปริมาณมากเหมือนเจ้า เห็นสิ่งใดก็กินสิ่งนั้นราวกับฝูงตั๊กแตนที่ไร้การควบคุม ไปถึงที่ใดก็ทำให้คนรังเกียจ” ปู้จื้อโหยวนำกล้องยาสูบออกมา สูบพลางเล่าไปด้วย
มองกล้องยาสูบที่ไม่ได้เห็นมานาน จินเฟยเหยาลูบศีรษะเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “จากนั้นล่ะ? ไท่จื่อโซ่วพวกนั้นคงไม่ได้ถูกคนของสำนักอันเที่ยงธรรมฆ่าหมดหรอกนะ? กินเก่งแบบนั้น คาดว่าจุดจบคงไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งพวกมันยังให้กำเนิดลูกมากเป็นพิเศษ เกิดมาทีก็ฝูงหนึ่ง”
ปู้จื้อโหยวจ้องมองพั่งจื่อหลังจากมองอยู่หลายครั้ง จึงเอ่ยอย่างช้าๆ “ผู้บำเพ็ญสำนักอันเที่ยงธรรมมีความคิดเช่นนี้ ทว่ากลับล่าช้าเนื่องจากสงคราม ต่อมาเมื่อหาเวลาว่างได้กลับไม่ต้องส่งคนไปแล้ว”
“เพราะเหตุใด?” จินเฟยเหยากระพริบตา ไม่รู้ว่าไท่จื่อโซ่วเล็กๆ เหล่านั้นเกิดอะไรขึ้น
“พวกมันถดถอยเป็นกบผานอวิ๋นทั้งหมด ไม่มีความจำเป็นต้องจัดการ กลายเป็นของว่างให้สัตว์ปิศาจอื่นๆ แทน”
ฟังคำพูดของปู้จื้อโหยวจบ จินเฟยเหยามีสีหน้างุนงง นางไม่เข้าใจเลย เพราะเหตุใดสุดท้ายไท่จื่อโซ่วจึงกลายเป็นกบผานอวิ๋น ตอนเกิดมาเป็นไท่จื่อโซ่วสีขาวขั้นสามชัดๆ
แบบนี้ หลังจากต้านิวไปจากตนเองจะเปลี่ยนกลับเป็นกบผานอวิ๋นจากนั้นถูกสัตว์ปิศาจกินหรือไม่ แล้วพั่งจื่อล่ะ? มันจะถดถอยหรือไม่ หรือที่จริงมีเพียงพั่งจื่อที่เลื่อนขั้นอย่างแท้จริง ส่วนต้านิวและไท่จื่อโซ่วเล็กๆ แค่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ดังนั้นเวลานานไปย่อมถดถอย
ทว่าพอจินเฟยเหยาคิดอีกที พั่งจื่ออาจจะเป็นแบบนี้โดยกำเนิดทว่าไม่ใช่แบบที่ตนเองคิด แต่กินศิลาวิญญาณและแช่น้ำแกงยาวิญญาณจึงมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นโดยกำเนิด เจ้าหมอนี่จะเป็นสัตว์ปิศาจอะไรกันแน่?
นางจ้องมองพั่งจื่ออย่างละเอียดอยู่นาน ขยี้ตาแล้วส่ายศีรษะ ไม่ว่ามันเป็นโดยกำเนิดหรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่นอกจากตั้งแผงแบกะดินและปลอบเสี่ยวหวั่น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ว่าเป็นโดยกำเนิดหรือเลื่อนขั้น ว่ากันถึงที่สุดแล้วยังไม่มีประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม จะเป็นตัวอะไรก็ไม่เห็นเป็นไร
เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้านิวจะเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงสอบถามปู้จื้อโหยว “มีไท่จื่อโซ่วที่เป็นหัวหน้าตัวหนึ่ง ที่ตัวใหญ่และเป็นแม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าตัวเมียที่ปกติติดตามเจ้าหรือ ไม่ได้ยินนะ ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใดแล้ว”
ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะ เขารู้สึกสนใจสัตว์ภูติที่มีนายเล็กน้อย เรื่องที่สนใจที่สุดคือเรื่องลับๆ ของคน ไม่สนใจเรื่องของสัตว์ภูติที่ไร้นายเลยสักนิด
ถามไม่ได้ความเรื่องต้านิว จินเฟยเหยาจึงเปลี่ยนมาถามประสบการณ์ของปู้จื้อโหยว ทว่าปู้จื้อโหยวกลับใช้คำพูดประโยคเดียวขับไล่นาง “เรื่องเศร้าในอดีตที่ไม่อยากหวนนึกถึง เอ่ยถึงขึ้นมาก็จะทำให้เสียใจ ไม่อยากเอ่ยถึงอีก”
ไม่อยากพูดเรื่องของตนเอง เขากลับแสดงจิตใจที่ชอบแอบมองไปทั่วทุกที่ เริ่มเล่าเรื่องน่าขำของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เล่าเรื่องซุบซิบที่น่าสนใจให้จินเฟยเหยาฟังอีก
ในเมื่ออยากเล่าเรื่องของคนอื่นขนาดนี้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ “เจ้ารู้จักคนที่ชื่อสยงเทียนคุนหรือไม่?”
ปู้จื้อโหยวเอ่ยตอบโดยไม่คิดทันที “รู้จักแน่นอน นี่เป็นบุคคลในตำนานเชียวนะ หน้าตาแบบนั้นกลับดูแลสำนักใหญ่ขนาดนี้ ครั้งที่แล้วเขาฉวยโอกาสร่วมมือกับเผ่ามารและช่วยเหลือเผ่ามารอย่างลับๆ ดังนั้นต่อมาเผ่ามนุษย์จึงตกเป็นรอง เนื่องจากมีสายลับมากเกินไป”
“ดินแดนของเผ่ามารกว้างใหญ่ขึ้นไม่น้อย โลกระดับดินจึงรวมอยู่ในโลกระดับวิญญาณด้วย คนที่ชื่อสยงเทียนคุนได้ประโยชน์จากเรื่องนั้นไม่น้อย บวกกับหน้าตาน่าเคารพจึงกลายเป็นคนในฝันของสตรีจำนวนมาก แต่สตรีเหล่านั้นก็ไม่คิดบ้าง อาศัยรูปโฉมอัปลักษณ์ของพวกนางถึงแต่งไปวันหน้าจะมีหน้ามายืนอยู่เบื้องหน้าเขาหรือ?” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างยินดี เริ่มพูดกับตนเองต่อไปอย่างหยุดไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าพี่สยงยิ่งอยู่ยิ่งชั่วร้าย แม้แต่เรื่องทรยศเผ่ามนุษย์ก็ทำได้ คาดว่าชีวิตในตอนนี้อยู่อย่างมีความสุขแน่ เดิมทีจินเฟยเหยาคิดจะถามปู้จื้อโหยวชื่นชมเขาใช่หรือไม่ ทว่าคำพูดพอมาถึงปากกลับเปลี่ยนเป็นประโยคนี้ “ใต้เท้าอาปู้ เจ้าคงไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ เขาหน้าตางดงามมาก”
“พูดจาเหลวไหล” ปู้จื้อโหยวยกกล้องยาสูบในมือขึ้นเคาะศีรษะจินเฟยเหยาหนึ่งที “ข้าไม่สนใจแบบนี้ แต่ใต้เท้าหงกลับสนใจอย่างยิ่ง พัวพันสยงเทียนคุนอยู่หลายปี”
ได้ยินคำพูดของเขา จินเฟยเหยาก็เกือบจะสำลักน้ำลาย เงยหน้าขึ้นหวนระลึกถึงท่าทางของจอมมารหงและสยงเทียนคุนอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าน่ากลัว เนื่องจากดูเหมือนทั้งสองคนเหมาะสมกันจริงๆ
จินเฟยเหยารีบส่ายศีรษะสลัดสองคนนี้ออกจากสมอง นางรู้สึกว่าเรื่องของโลกวิญญาณเป่ยเฉินมีมากมายจนทำให้คนรำคาญจริงๆ โชคดีที่ตนเองจากมาหลายปีแล้ว
เห็นจินเฟยเหยาไม่ส่งเสียง ในที่สุดก็หาคนรับฟังเรื่องที่อยากพูดอย่างสบายใจได้ ปู้จื้อโหยวผู้เล่าเรื่องที่ตนเองรู้แต่กลับบอกผู้อื่นไม่ได้อย่างเบิกบาน มองดูจินเฟยเหยาด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ ลองเอ่ยเรื่องที่เขาคิดว่าจินเฟยเหยาจะรู้สึกสนใจ “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยไปรับสินบนที่สำนักตงอวี้หวง อยากรู้ว่าสำนักนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรหรือไม่”
จินเฟยเหยามองเขาโดยไม่ส่งเสียง สำนักตงอวี้หวงเป็นอย่างไร นางไม่ค่อยสนใจนัก นางเดินคนละเส้นทางกับคนเหล่านั้นมานานแล้ว ต่อให้รู้ก็ไม่มีความหมายใด
ปู้จื้อโหยวไม่สนว่าจินเฟยเหยาจะสนใจหรือไม่ เขาพูดแบบนี้เพื่อเป็นการอารัมภบทก่อน จะได้ปูทางให้เรื่องถัดไปเท่านั้น
จริงเสียด้วย เขาเริ่มพูดจ๋อยๆ ขึ้นมา “จู๋ซวีอู๋ ผู้อาวุโสของตำหนักซวีชิงที่เจ้าเคยไปอยู่ก่อนหน้านี้ออกจากสำนักไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ไม่ได้ข่าวคราวมาร้อยปีแล้ว แม้แต่สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่ยาวนานถึงสิบกว่าปี เขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น”
“คนผู้นั้นนิสัยเหมือนเด็กๆ ไม่ชอบถูกผู้อื่นควบคุม หนีไปก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่กลับมาสู้รบ” จินเฟยเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง แต่กลับเข้าใจได้ คนผู้นั้นเป็นคนแบบนี้จริงๆ เป็นซือจู่ได้อย่างไรนะ
“ที่น่าขำที่สุดคือไป๋เจี่ยนจู๋ที่มีความแค้นกับเจ้า ตอนข้ามาโลกวิญญาณซิงหลัวครั้งนี้ยังเคยพบเขา ดูแล้วสงบนิ่งมากขึ้น มีท่าทางยิ่งใหญ่น่าเคารพ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าข้าพบเห็นเขาที่ใด?” ปู้จื้อโหยวแสร้งทำท่าทางลึกลับมองดูจินเฟยเหยา เอ่ยราวกับยิ้มและไม่ยิ้ม
เห็นท่าทางยิ้มชั่วร้ายของเขา จินเฟยเหยาได้แต่เอ่ยถาม “ก็ได้ เจ้าพบเขาที่ใด?”
“บนเกาะส่งตัว เขาเฝ้าเกาะส่งตัวเกาะหนึ่งในนั้นพอดี คนที่เฝ้าเกาะคู่กับเขาพอดีเป็น กาน สตรีเผ่ามารคนหนึ่งทางเรา”
“กาน?” จินเฟยเหยาครุ่นคิดนิดหนึ่ง จากประสบการณ์ของนางชื่อของชนชั้นสูงเผ่ามารล้วนคล้องจองกัน ชื่อนี้ทำให้นางนึกถึงเผ่ามารคนหนึ่ง “เป็นตระกูลเดียวกับคนที่ชื่อเหมยใช่หรือไม่?”
“อ้อ เจ้ารู้จักเหมยด้วย พวกนางเป็นตระกูลเดียวกันจริงๆ” ปู้จื้อโหยวเดาว่านางน่าจะเคยเห็นเหมยตอนเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “กานกับเหมยเป็นคนตระกูลเดียวกัน เพียงแต่เหมยไม่พัวพันท่านลุงของข้าและแต่งไปตระกูลอื่นนานแล้ว กานและเหมยมีนิสัยใกล้เคียงกัน ตอนนี้กานใช้โอกาสที่อยู่บนเกาะไปยั่วยวนไป๋เจี่ยนจู๋ตลอดเวลา มีหลายครั้งที่บุกเข้าห้องของเขาอย่างใจกล้าโดยไม่สวมอะไรเลยคิดจะยั่วยวนเขา ได้ยินว่าไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยปากว่าต้องการกลับสำนัก ไม่ยอมเฝ้าเกาะส่งตัวอีก”
ตอนปู้จื้อโหยวเล่าเรื่องนี้รู้สึกว่าน่าขำที่สุด เล่าพลางหัวเราะไม่หยุด ทว่าจินเฟยเหยากลับไม่มีปฏิกิริยาเลย เพียงแต่มองปู้จื้อโหยวหัวเราะคนผู้นั้นอย่างเบิกบาน
มีอะไรน่าขำ เรื่องพรรค์นี้ก็ต้องไปแอบดู ยิ่งอยู่ก็ยิ่งถอยหลังจริงๆ จินเฟยเหยาส่ายศีรษะถอนหายใจแล้วเอ่ย “ข้ามีธุระอยากจะขอยืมตัวเจ้าสักหลายวัน เรื่องที่ไม่น่าขำสักนิดแบบนี้ เจ้าขายให้ซื้อเต้าจิงหาศิลาวิญญาณเถอะ”
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง? หรือเจ้าไม่รู้ว่าราคาขายข้อมูลเหล่านี้ให้ซื่อเต้าจิงสูงกว่าข้อมูลอื่นๆ มีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษและสตรีที่ภายนอกชืดชามากเพียงใดที่แอบอ่านเรื่องเหล่านี้ลับหลังและชื่นชอบอย่างยิ่ง” ปู้จื้อโหยวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
จินเฟยเหยาก็มองเขาอย่างตั้งใจ “มีอะไรน่าสนใจ ผู้ชื่นชอบก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะชอบด้วย อ่านเรื่องเหล่านี้มิสู้ไปดูยักษ์ตาเดียวเข้าหอสนุกกว่า”
“หา?”
………………………………..