คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 312 สหายระยะไกล
วันที่สองจินเฟยเหยาก็ลืมจอมมารหลงและใช้ชีวิตอย่างเบิกบานใจอีกครั้ง ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนหลินชิงเจียงก็มาหาถึงเกาะ
สี่สิบสองปีนี้ คนทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันมากนัก บางครั้งพบหน้ากันบนเกาะปาจิ่งก็พยักหน้าทักทายตามมารยาท ไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนักและไม่เคยไปหาถึงที่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องดื่มชาสนทนากัน เป็นสหายกันแบบผิวเผิน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินชิงเจียงมาเกาะตงเหลียง จินเฟยเหยาเชิญนางเข้ามาในเกาะอย่างงุนงง
หลินชิงเจียงมองเกาะลอยได้ที่แออัด รู้สึกอย่างจริงใจว่าสภาพแวดล้อมของที่พักอาศัยแห่งนี้ย่ำแย่ยิ่ง ได้แต่ถือว่าเป็นรังแห่งหนึ่ง ไม่มีสิ่งของมีค่า แต่กลับมีขยะไร้ค่าจำนวนมาก
นางมองพินิจรอบด้านอย่างสงสัยและเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “สหายเซียนจิน เจ้าเลี้ยงสัตว์หลิงลี่ไว้สองตัวทำไม?”
จินเฟยเหยาไม่บอกเรื่องที่ตนเองมีหุ่นเชิดขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายออกไป เพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตอนผ่านไปพบ เจ้าตัวน้อยหลงกับแม่ ตัวอวบอ้วนดูแล้วน่าสนใจดี ข้าจึงเก็บกลับมา ต่อไปตอนไม่มีข้าวกินก็ฆ่าทำอาหาร ถือว่าเป็นเสบียง”
“สหายเซียนจินช่างล้อเล่นจริงๆ ตัวใหญ่เท่าคนและกินจนอ้วนท้วนขนาดนี้ เป็นเจ้าตัวน้อยที่ไหน อีกทั้งเจ้าก็ไม่ต้องกินอาหารนะ?” หลินชิงเจียงหยอกล้อ
“สหายเซียนหลิน ข้าไม่เหมือนกับเจ้า พวกเจ้าไม่กินอาหารได้ก็ไม่กินอาหาร ยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญทั้งวัน ไม่ปรารถนาจะเสียเวลาไปกับการกินอาหารและนอนหลับอย่างยิ่ง แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าชอบกินอาหาร โดยเฉพาะอาหารอร่อย ข้าชอบอาบแดด ชอบนอนหลับ ดังนั้นข้าจึงไม่งดอาหารและยังต้องกินสิ่งนี้” สิ่งที่จินเฟยเหยาพูดเป็นความจริง นางรู้สึกว่าชีวิตที่มีแต่การฝึกบำเพ็ญน่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ต่อให้มีชีวิตยืนยาวก็ไม่สนุกสนาน
“ความคิดของสหายเซียนจินพิเศษเฉพาะตัวจริงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ข้าพบเจอส่วนมากฝึกบำเพ็ญทั้งวัน บางครั้งมีเพียงคู่บำเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน ท่าทางสหายเซียนจินจะรักโลกมนุษย์และชื่นชอบความสำราญ” หลินชิงเจียงกลับมีความคิดในการฝึกบำเพ็ญที่แตกต่างจากจินเฟยเหยา นางคิดว่าในเมื่อบำเพ็ญเซียนก็ต้องตั้งอกตั้งใจและปราศจากความคิดวอกแวก
เพื่อไม่ให้จิตมารปรากฏ นางได้แต่ทำความดี ไม่ทำความชั่ว ถ้าทำชั่วจะมีจิตมารปรากฏขึ้นและกลายเป็นอุปสรรคใหญ่บนวิถีทางแห่งการบำเพ็ญเซียน
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ หลายครั้ง ไม่คิดจะอธิบายการกระทำของตนเองมากนัก แต่ละคนล้วนมีชีวิตของตนเองและแค่ไม่เหมือนกันเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ
ในเวลานี้เอง มดหนึ่งผลึกที่ทำให้หลินชิงเจียงสงสัยและเอ่ยถามอย่างเกรงใจพลันเริ่มถ่ายศิลาวิญญาณ มดหนึ่งผลึกตัวหนึ่งถ่ายศิลาวิญญาณออกมาหนึ่งก้อน จินเฟยเหยารีบมองดูจากนั้นก็โล่งใจ เป็นศิลาวิญญาณชั้นล่างก้อนหนึ่ง
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้นางตกใจและอดด่าทอในใจไม่ได้ ‘เจ้ามดที่น่าตาย เดิมทีสมควรถ่ายศิลาวิญญาณแต่เช้าตรู่ กลับท้องผูกมาจนถึงตอนนี้ รอจนคนไปก็ยังดี มาถ่ายตอนนี้เสียได้ โชคดีที่ถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณชั้นล่าง ถ้าเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลางข้าคงอธิบายลำบาก’
เห็นหลินชิงเจียงจ้องศิลาวิญญาณบนพื้น จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างดีใจจนออกนอกหน้า “สหายเซียนหลินเป็นแขกผู้มีเกียรติของข้าจริงๆ เจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ มดหนึ่งผลึกก็ถ่ายศิลาวิญญาณให้ข้า”
หลินชิงเจียงรั้งสายตากลับมาและเอ่ยถามอย่างสงสัย “สหายเซียนจิน เจ้าคงไม่ได้เลี้ยงมดหนึ่งผลึกเพื่อผลิตศิลาวิญญาณหรอกนะ?”
สัตว์ประเภทมดหนึ่งผลึกมีทุกโลกศิลาวิญญาณ ถ่ายศิลาวิญญาณได้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี ทว่านานๆ ครั้งถ่ายหนึ่งก้อน ไม่มีจำนวนที่แน่นอนจึงไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนคนใดคิดจะทำเช่นนี้ คนธรรมดาที่ยากจนสุดขีดบางคนจะเลี้ยงมดหนึ่งผลึกตัวสองตัวไว้ในบ้าน ถ้าโชคดีก็จะถ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างก้อนหนึ่ง ถือเป็นรายรับที่คาดไม่ถึง
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินชิงเจียงคิดไม่ปรุโปร่งคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งถึงกับเลี้ยงมดหนึ่งผลึก เกินไปหน่อยกระมัง ต้องยากจนถึงขั้นใด หรือตระหนี่อย่างที่สุดจึงทำเรื่องเช่นนี้ได้
เดิมทีเห็นมดหนึ่งผลึกเหล่านี้ตัวใหญ่หน่อย อีกทั้งร่างยังไม่ใช่สีดำปลอดทว่ามีสีขาวบ้าง หลินชิงเจียงนึกว่านี่คือมดหนึ่งผลึกพิเศษที่เพาะเลี้ยงออกมา อย่างเช่นบางครั้งไม่ได้ถ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่าง ทว่าถ่ายศิลาวิญญาณชั้นกลางหรือชั้นบนหนึ่งก้อนทุกวัน แบบนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องศิลาวิญญาณในการฝึกบำเพ็ญแล้ว
แต่ตอนนี้เห็นกับตาว่าถ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างออกมา นางจึงลบความคิดที่มดหนึ่งผลึกเหล่านี้สามารถถ่ายศิลาวิญญาณชั้นกลางขึ้นไปทันที จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีมดหนึ่งผลึกถ่ายศิลาวิญญาณระดับสูง
จินเฟยเหยาเก็บศิลาวิญญาณใส่ถุงเฉียนคุนด้วยท่าทางละโมบเงินทองแล้วเชิญหลินชิงเจียงไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หน้ากระท่อม จากนั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย “สหายเซียนหลินมาหาเป็นพิเศษ ไม่ทราบมีเรื่องใด?”
“ไร้เรื่องร้อนใจก็ไม่ไปวัด[1] ข้ามีเรื่องดีๆ มาหาสหายเซียนจิน” หลินชิงเจียงนั่งบนม้านั่ง ยังไม่ทันถอนใจชื่นชมชีวิตอันเรียบง่ายของจินเฟยเหยาก็ตอบทันที
“อ้อ มีเรื่องดีอะไร?” จินเฟยเหยาสงสัยอยู่บ้าง หรือว่ายายนี่คิดจะให้ตนเองไปรังแกคนอื่น?
หลินชิงเจียงมองไปรอบด้านโดยไม่รู้ตัว พลันพบว่าในกระท่อมด้านข้างมีสาวงามล้ำเลิศคนหนึ่งนั่งอยู่ คิดไม่ถึงว่านางจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจจากคนผู้นี้อดตกใจไม่ได้
“นี่คือใคร คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีลมหายใจ?” หลินชิงเจียงเอ่ยปากถาม
จินเฟยเหยาเอ่ยเหมือนไม่มีเรื่องราวใด “หุ่นเชิดย่อมไม่มีลมหายใจแน่นอน นั่นเป็นสตรีผู้หนึ่งที่มีบุญคุณกับข้าตอนเด็กๆ เนื่องจากนางเป็นคนธรรมดาไม่ได้บำเพ็ญเซียนจึงเสียชีวิตไปนานแล้ว ข้าเก็บวิญญาณของนางไว้ ต่อมาหลังจากทำหุ่นเชิดจึงใส่วิญญาณของนางไว้ในนั้น เพียงแต่เกิดปัญหาจึงมีความทรงจำเพียงเล็กน้อย”
เวลานี้หุ่นเชิดคือฮูหยินหวา จินเฟยเหยาใช้การรับรู้เตือนพวกนางแล้ว ใครก็ออกมาได้ แต่หวาหวั่นซีออกมาไม่ได้
หลินชิงเจียงมองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่มีกลิ่นอายของคนมีชีวิตจริงๆ แต่ก็ไม่มีปราณมรณะ เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งจริงๆ อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรจึงทำให้นางวางใจ สาเหตุสำคัญที่นางกล้ามาเจรจากับสหายอย่างจินเฟยเหยาก็คือความแข็งแกร่งของคนทั้งสองใกล้เคียงกัน และพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองยังสูงกว่าเล็กน้อย ไม่แน่ว่ายังมีเปรียบบ้าง
ถ้าพลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาสูงกว่านางและทำให้นางรู้สึกว่ามีอันตราย หลินชิงเจียงคงไม่เสี่ยงอันตรายแบบนี้
“สหายเซียนหลิน เรื่องดีที่เจ้าว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่?” เสี่ยวลวี่ยกน้ำชามา จินเฟยเหยาจึงรับชามาวางบนโต๊ะเล็กๆ และเอ่ยถามอย่างสนใจ
หลินชิงเจียงรั้งสายตากลับมาจากร่างฮูหยินหวา “มิน่าเล่าตอนนั้นสหายเซียนจินจึงต้องการหนังสุกรผีเสื้อหยก ที่แท้มีฝีมือในการหลอมสร้างหุ่นเชิดล้ำเลิศ รูปโฉมและองคาพยพทั้งห้าของหุ่นเชิดเหล่านี้เหมือนมนุษย์จริงๆ โดยเฉพาะตัวที่อยู่ในกระท่อมยิ่งงดงามราวกับเทพธิดา”
“เหมือนมนุษย์จริงๆ จะมีประโยชน์ใด ก็แค่ดูแลแปลงสมุนไพร ทำอาหาร ชงชา ทำงานบ้าน ฆ่าไม่ได้แม้แต่สัตว์ปิศาจขั้นหนึ่ง ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือประหยัดศิลาวิญญาณ เลี้ยงดูศิษย์เสียค่าใช้จ่ายมากและยังไม่เชื่อฟัง แบบนี้ไม่ต้องกังวล” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะพลางเอ่ยวาจา
“ว่าไปแล้วก็ใช่ ข้ามีศิษย์สองคนที่ทำให้เป็นกังวลจริงๆ” คำพูดนี้ตรงกับใจของหลินชิงเจียง ใช้หุ่นเชิดไม่ต้องกังวลมากเหมือนใช้ศิษย์ อีกทั้งพอพลังการบำเพ็ญเพียรของศิษย์สูงก็จะไม่ช่วยเจ้าซักผ้ากวาดบ้านแล้วล้วนคิดจะตั้งสำนักเอง
เหตุใดหัวข้อสนทนาไม่เข้าเรื่องธุระสักที จินเฟยเหยาจึงได้แต่เอ่ยถามว่า “เมื่อครู่สหายเซียนหลินมีเรื่องดีงาม ที่แท้เป็นเรื่องใด?”
หลินชิงเจียงแสร้งทำท่าชะงักอย่างลึกลับ และเอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าพบเจียวถูตัวหนึ่ง ทว่าจับเพียงลำพังไม่ได้ คิดจะเชิญสหายเซียนจินออกไปล่าด้วยกัน”
“เจียวถู[2]? ตัวนี้ก็เป็นทายาทสัตว์เทพหรือ มีพลังขั้นใดแล้ว?” จินเฟยเหยานิ่งงัน ทว่าในใจหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทันที
“ขั้นเก้า ใกล้จะเลื่อนเป็นขั้นเทพแล้ว ขณะที่ข้าเห็นวันนั้น มันอยู่ที่ระดับเก้าขั้นสุด ถ้าไม่ฉวยโอกาสลงมือเร็วๆ ปล่อยให้มันเลื่อนเป็นขั้นเทพ คิดจะจับมันอีกอาศัยความสามารถของพวกเราสองคนคงลำบาก เกรงว่าต้องให้คนขั้นแปลงจิตลงมือ” หลินชิงเจียงยกถ้วยชาขึ้นและยิ้มบางๆ
หากมิใช่สู้เจียวถูตัวนั้นไม่ได้จริงๆ นางก็ไม่คิดจะร่วมมือกับจินเฟยเหยา ราคาของการร่วมมือแสดงว่าตนเองต้องแบ่งตานศักดิ์สิทธิ์ของเจียวถูกับนาง แต่ถ้าไม่ฆ่าก็จะพลาดโอกาสดีไปเปล่าๆ เจียวถูตัวนี้ไม่เหมือนซานเซ่าระดับล่างตัวนั้น อย่างน้อยที่สุดก็มีตานศักดิ์สิทธิ์ขนาดเท่าไข่ไก่
ต่อให้กินเพียงครึ่งเดียว เกรงว่าสามารถเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรได้มหาศาล ถ้าจินเฟยเหยาได้ตานศักดิ์สิทธิ์นี้เกรงว่าต้องเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง
ตอนมาในใจของหลินชิงเจียงยังลังเลอยู่บ้าง ทางหนึ่งนางอยากให้จินเฟยเหยาช่วยเหลือ อีกทางหนึ่งก็ไม่อยากให้นางเพิ่มความแข็งแกร่ง ทำให้ตัดสินใจลำบาก
คิดไม่ถึงว่าพอได้ฟังว่าเป็นระดับเก้าขั้นสุด อีกทั้งจะเลื่อนเป็นขั้นเทพ จินเฟยเหยาเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่ยินยอม “ไปแค่พวกเราสองคนหรือ?”
จินเฟยเหยาไม่อยากไปเพราะมีเหตุผล แผนการของนางคือรอจนร่างของหวาหวั่นซียกระดับขึ้นไปอีกขั้นก็จะกินหลินชิงเจียง ถึงแม้เจียวถูจะเป็นเหยื่อที่ไม่เลวอย่างยิ่ง แต่พลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าหลินชิงเจียงมาก ตนเองต้องรอกินหลินชิงเจียง ตอนต้านทานเจียวถูจึงไม่อาจแปลงเป็นร่างจริงได้
ขอเพียงร่างจริงปรากฏขึ้น แวบเดียวก็ดูออกว่าร่างไม่เหมือนเสวียนอู่ ถึงตอนนั้นสู้กันเป็นเรื่องเล็ก ถ้าทำให้หลินชิงเจียงหนีไป ต้องไปหาที่ใดจึงจะได้พบอาหารอร่อยแบบนี้อีก
หลินชิงเจียงสั่นศีรษะเอ่ยว่า “ไม่ใช่ เจียวถูในครั้งนี้ตึงมืออย่างยิ่ง ข้ามีสหายเซียนที่เข้าร่วมงานประชุมวิญญาณคนหนึ่ง ข้านัดให้เขามาช่วยข้าแล้ว เขาเชื่อถือได้แน่นอน ข้ารับปากจะให้รางวัลอื่นๆ ที่เขาสนใจ ดังนั้นจะไม่แย่งชิงตานศักดิ์สิทธิ์กับพวกเรา ถ้ามีโลหิตมากก็ให้โลหิตเจียวถูไปหลอมยาได้”
คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ช่วย? คงไม่ใช่ไม่มีเจียวถู ที่จริงคิดจะล่าข้าหรอกนะ? ในใจจินเฟยเหยาตึงเครียด ทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่มีร่างแยกวิญญาณจริงของสัตว์เทพ ที่จริงไม่ต้องล่าเจียวถูหรอกแค่ล่าอีกฝ่ายก็พอ
ครุ่นคิดถึงจุดนี้ จินเฟยเหยาก็ลังเลขึ้นมา ถ้าไม่ไปแล้วมีเจียวถูกจริงๆ ก็พลาดโอกาส แต่ถ้าจะไป ตนเองก็น่าจะพาคนที่มีความสามารถสูงส่งไปด้วย ไม่เช่นนั้นถูกอีกฝ่ายร่วมมือกันฆ่าตาย เรือคงล่มในร่องน้ำ[3] นอกจากหวาหวั่นซีแล้ว ตนเองจะหาคนมาช่วยจากที่ใดได้ ต้องเชื่อถือได้และไม่แย่งชิงสิ่งของของข้า
จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว สายตามองบนซื่อเต้าจิงอย่างกะทันหัน นางพลันเกิดความคิดวาบขึ้น คิดถึงคนผู้หนึ่ง ตอนนี้คนผู้นี้คงมีโอกาสแปดส่วนที่จะอยู่ที่โลกวิญญาณซิงหลัว!
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเอ่ยกับหลินชิงเจียง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะพาสหายที่พึ่งพาได้คนหนึ่งไปด้วย คนมากหน่อยความสามารถก็แข็งแกร่งขึ้น ตอนจัดการกับเจียวถูจะได้มีความมั่นใจว่าสำเร็จ แต่ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่โลกวิญญาณซิงหลัวหรือไม่ ต้องติดต่อสักหน่อย”
หลินชิงเจียงราวกับเตรียมใจมาแล้ว ทุกคนต่างระวังป้องกันอีกฝ่าย ตัวนางเองพาคนมา อีกฝ่ายย่อมต้องคิดจะพาคนไปด้วย “ไม่มีปัญหา พวกเราต้องเตรียมตัวหน่อย หนึ่งเดือนให้หลังออกเดินทาง สหายเซียนจินติดต่อสหายก่อนได้ หลังคุยกันเรียบร้อยพวกเราจะไปล่าเจียวถูด้วยกัน”
“ได้”
……………………………………..
[1] ไร้เรื่องร้อนใจก็ไม่ไปวัด หมายถึง ไม่มีเรื่องเดือดร้อน หรือมีธุระก็ไม่มาหา
[2] เจียวถู บางตำนานเล่าว่าเป็นหนึ่งในบุตรมังกรทั้งเก้า มีเปลือกเหมือนหอยทาก มีนิสัยชอบปิดเปลือกถ้าถูกรุกราน
[3] เรือล่มในร่องน้ำ หมายถึง เกิดปัญหาขึ้นในสถานการณ์ที่มั่นใจว่าเอาอยู่ เช่นในร่องน้ำที่ไร้คลื่นลม เรือไม่น่าจะล่มได้แต่ก็เกิดเหตุผิดพลาดที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น