คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 305 กลิ่นอายแห่งน้ำ
จินเฟยเหยามองลิงฝูงนี้แล้วเอ่ยถามพ่อบ้านตระกูลเยวี่ยอย่างสงสัย “ขึ้นเขาไปจับซานเซ่าทันทีไม่ดีกว่าหรือ ยังรออะไรอีก?”
พ่อบ้านชะงัก ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ใจร้อนจริงๆ เขารีบอธิบายว่า “ผู้อาวุโส ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนอื่นๆ มาอีก ซานเซ่าสามารถเปลี่ยนร่างและซ่อนกายได้ คนมากหน่อยจะได้สกัดมันได้”
“แบบนี้เอง…” จินเฟยเหยาครุ่นคิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นรอก่อน ถึงอย่างไรมันก็หนีไม่ได้ ดังนั้นจึงติดตามพ่อบ้านตระกูลเยวี่ยไปคฤหาสน์
ระหว่างทางจินเฟยเหยาสอบถามสภาพของซานเซ่าจากพ่อบ้านตระกูลเยวี่ย รู้เขารู้เราจึงรบร้อยครั้งชนะร้อยครา
พ่อบ้านตระกูลเยวี่ยถอนหายใจพลางเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้อาวุโส ซานเซ่าเพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่รู้ว่าฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นแปดตั้งแต่เมื่อใด จึงสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์และเข้าออกในเมืองได้ตามใจชอบ มันก่อเรื่องนั้นช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าต่อมาจะเริ่มทำร้ายและสังหารคน”
“ว่ายน้ำมาหรือ?” จินเฟยเหยาประหลาดใจ ครึ่งปีเพิ่งปรากฏตัวขึ้น แสดงว่าเมื่อก่อนไม่มีเจ้านี่ มันมาจากภายนอก
“ไม่ใช่ มันเลื่อนขั้นมาจากลิงในบรรดาลิงซานเซ่าเทียม บนเกาะตันหลินนอกจากนกทะเลก็มีเพียงสัตว์ปิศาจอย่างลิงซานเซ่าเทียม ถึงแม้พวกมันจะเป็นทายาทของสัตว์เทพซานเซ่า ทว่าสายโลหิตได้สูญหายไปนานแล้ว ตอนนี้เป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น” พ่อบ้านส่ายศีรษะพลางเอ่ยวาจา
พอจินเฟยเหยาได้ฟัง คิดไม่ถึงว่าจะปลอม? แต่พอคิดอีกที โห่วในตอนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่กระต่ายโหยวเฟิง น่าจะเป็นซานเซ่าที่มีสายโลหิตนิดหน่อยปรากฏตัวขึ้นในฝูงลิง ก่อนหน้านี้ระดับขั้นต่ำจึงไม่ถูกคนพบเห็น ตอนนี้พลังการบำเพ็ญเพียรสูงแล้วจึงถือดีเกินไป เริ่มอาละวาดในสถานที่ซึ่งมีคนไปมา
ท่าทางจะไม่ได้มาเสียเที่ยว ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มาที่นี่เป็นดีที่สุด ข้าจะได้นำตานศักดิ์สิทธิ์ของซานเซ่าตัวนั้นไป
“ซานเซ่าตัวนี้เป็นเพียงลิงซานเซ่าเทียมที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูง พวกเจ้ายังแพร่ข่าวออกไปว่าเป็นซานเซ่า” จินเฟยเหยาไม่คิดจะให้คนอื่นรู้ว่าซานเซ่าตัวนี้มีสายโลหิตของสัตว์เทพจึงจงใจทำให้พ่อบ้านเข้าใจผิด
คิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านจะส่ายศีรษะ พูดอย่างมั่นใจว่า “ผู้อาวุโสไม่รู้อะไร เจ้าตัวนี้ต้องเป็นลิงซานเซ่าเทียมที่มีสายโลหิตของซานเซ่าแน่ เนื่องจากมันสามารถแปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ได้ ลิงซานเซ่าเทียมธรรมดาไม่เป็นเวทแปลงกายชนิดนี้และพูดภาษามนุษย์ไม่เป็น ซานเซ่าตัวนี้กลับสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์และพูดภาษามนุษย์ได้ ปะปนอยู่ในฝูงชนก็ยังแยกไม่ออก”
จินเฟยเหยาหยุดฝีเท้า เอียงศีรษะมองพ่อบ้านและเอ่ยเรียบๆ “เช่นนั้นหมายความว่า คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าข้าตอนนี้อาจจะเป็นซานเซ่าที่แปลงกายเป็นพ่อบ้าน?”
“ไม่ใช่ ผู้อาวุโสอย่าเข้าใจผิด ถึงจะเป็นไปได้ แต่ผู้อาวุโสมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ ต่อให้ซานเซ่าตัวนั้นบ้าระห่ำก็คงไม่วิ่งมารนหาที่ตายเบื้องหน้าผู้อาวุโสหรอก” พ่อบ้านปาดเหงื่อตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก อธิบายอย่างลนลาน
“ล้อเล่นหรอก พ่อบ้านไม่ต้องกลัว”
“ผู้อาวุโสล้อเล่นตามสบาย แต่เกือบทำให้ผู้น้อยตกใจตาย” พ่อบ้านถอนหายใจอย่างหวาดกลัวไม่หาย
ยิ่งเข้าใกล้คฤหาสน์ตระกูลเยวี่ยบนภูเขา จินเฟยเหยาพบว่ากลิ่นหอมยิ่งชัดเจนมากขึ้น หรือว่าซานเซ่าตัวนี้แปลงกายเป็นคนตระกูลเยวี่ยแล้วซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ของพวกเขา ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งดีจะได้ไม่ต้องไปตามหามันทั่วภูเขา และยังไม่ต้องรอผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ก็ฟาดมันให้ตายได้ทันที
ติดตามพ่อบ้านเดินเข้าคฤหาสน์ ขณะถูกเชิญไปห้องโถง จินเฟยเหยายินดีอย่างบ้าคลั่งจริงๆ กลิ่นหอมเข้มข้นนี้ลอยมาจากห้องโถง ท่าทางซานเซ่าจะปลอมตัวเป็นใครสักคนนั่งอยู่ในห้องโถง รนหาที่ตายโดยแท้
ทันใดนั้น ฝีเท้าจินเฟยเหยาผนึกค้างและหยุดลง เงยหน้าขึ้นมองไปบนยอดเขาทางด้านข้างแล้วสูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วราวกับครุ่นคิดอะไร
“ผู้อาวุโส เป็นอะไรไป พบว่ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” พ่อบ้านเห็นจินเฟยเหยาพลันชะงักเท้าจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย หรือว่าซานเซ่าแปลงกายเป็นคนเข้ามา
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ไม่มีอะไร ข้าเพียงได้กลิ่นหอมมาจากในสวน”
“ในสวนปลูกดอกไม้อยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ใช่พืชพรรณแปลกประหลาดหายาก แต่ก็ถือว่ายังพอใช้ได้” พ่อบ้านเอ่ยพลางยิ้มประจบ
“ไปเถอะ”
หลังจินเฟยเหยาเอ่ยก็เดินเข้าห้องโถงต่อ ในใจแอบครุ่นคิด บนภูเขาทางนั้นก็มีกลิ่นหอมส่งมา แต่กลิ่นเจือจางอย่างยิ่ง น่าจะมีสาเหตุมาจากอยู่ห่างไกลจึงมีกลิ่นหอมไม่เพียงพอ ท่าทางบนภูเขาจึงเป็นซานเซ่า ในห้องโถงยังมีสัตว์เทพตัวอื่นอีก อีกทั้งระดับขั้นยังไม่ต่ำต้อย ถ้าซานเซ่าถือเป็นสัตว์เทพระดับล่าง ตัวในห้องโถงก็น่าจะเป็นสัตว์เทพชั้นบน จะเป็นตัวอะไรนะ?
นางกัดริมฝีปาก พบสัตว์เทพสองตัวในคราวเดียว ได้กำไรก้อนโต
พอย่างเข้าห้องโถง สายตาของนางก็กวาดมองภายในห้อง
ตำแหน่งประธานมีชายชรานั่งอยู่ น่าจะเป็นประมุขตระกูลเยวี่ย ทางขวาของเขามีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง ใบหน้าประดุจหยก สวมชุดสีขาวงดงามและเรียบง่าย กำลังดื่มน้ำชาอย่างสงบนิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง สีหน้าของคนทั้งสองผนึกค้างในเวลาเดียวกัน
ในชั่วพริบตาที่สบตากับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้หัวใจของจินเฟยเหยาอดบีบรัดไม่ได้ บนร่างของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้มีกลิ่นอายของน้ำอย่างเข้มข้น ในใจจินเฟยเหยารู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นนั้นแต่กลับชิงชัง นางเข้าใจทันที ยายนี่มีร่างแยกสัตว์เทพสิงสู่ร่าง
มีความรู้สึกเกลียดชังเกิดขึ้น น่าจะเนื่องจากสัตว์ร้ายและสัตว์เทพเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงทำให้จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ขณะเผชิญหน้าสัตว์ร้ายอย่างฉยงฉี นางไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจใดๆ
จินเฟยเหยาเห็นสีหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น ราวกับเนื่องจากแสดงสีหน้าไม่เหมาะสม แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์เทพชนิดใด กลิ่นอายน้ำทำให้คนนึกถึงสัตว์เทพชนิดฉีหลินน้ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเข่นฆ่าจากบนร่างจินเฟยเหยา ไม่ใช่กลิ่นอายประเภทสังหารคนมากเกินไปจึงติดมา ทว่าเป็นกลิ่นอายเข่นฆ่าที่มาจากครั้งบรรพกาล วิญญาณจริงของฉีหลินน้ำภายในร่างปั่นป่วนและแสดงความดุร้ายอย่างยิ่งราวกับพบพานสิ่งที่คุ้นเคย
หรือว่าคนผู้นี้ก็เป็นคนที่มีวิญญาณจริงของสัตว์เทพ เพียงแต่มีสัตว์เทพอะไรจึงมีกลิ่นอายเข่นฆ่าทั่วร่าง หรือว่าเป็นพวกสัตว์เทพที่ไม่ค่อยรักสงบอย่างชิงหลง[1]หรือเสวียนอู่[2]?
“ผู้อาวุโส ท่านนี้คือประมุขตระกูลของพวกเรา” พ่อบ้านพาจินเฟยเหยาไปข้างหน้า ชายชราที่เพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงปลายคนนั้นเป็นประมุขตระกูลเยวี่ยจริงๆ
ประมุขตระกูลเยวี่ยตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ศิลาวิญญาณชั้นกลางหนึ่งหมื่นก้อนถึงกับเรียกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มาสองคน ความแตกต่างของพลังการบำเพ็ญเพียรทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะในชั่วพริบตาที่ทั้งสองคนเพิ่งพบหน้ากัน เขารู้สึกร่างกายตึงเครียด ภายในห้องโถงทั้งหมดเป็นความรู้สึกกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออก
เขายิ้มแย้มลุกขึ้นประสานมือคารวะจินเฟยเหยาพลางเอ่ยว่า “ดูแลไม่ทั่วถึง ผู้อาวุโสโปรดอภัยด้วย ผู้อาวุโสเชิญนั่ง”
จินเฟยเหยาเดินไปทางซ้าย นั่งลงตรงข้ามผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้น นางยิ้มให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีอย่างสงบนิ่งแล้วแจ้งชื่อปลอม “ข้าชื่อจินเหยา ไม่ทราบนามอันสูงส่งของสหายเซียนคือ?”
อีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะทักทายตนเองก่อน จึงตอบอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้เป็นสหายเซียนจิน ข้าชื่อหลินชิงเจียง”
“สหายเซียนหลิน ชื่นชมมานานแล้ว” จินเฟยเหยาประสานมือคารวะนาง เลียนแบบคำพูดของผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอันเที่ยงธรรมตอนพบกัน เอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจตามมารยาท
หลินชิงเจียงก็ประสานมืออย่างมีมารยาท “สหายเซียนจิน ไม่ต้องเกรงใจ”
“จะว่าไปก็จริง แบบนี้เกรงใจเกินไป” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มสนทนากัน
ประมุขตระกูลเยวี่ยมองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนทางซ้ายและขวา ไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี ตอนนี้เขาพลันแค้นเรื่องหนึ่งอย่างยิ่ง นั่นก็คืองดอาหาร ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนไม่ต้องงดอาหาร ตอนนี้ตนเองก็สามารถบอกได้ว่า อาหารเตรียมเสร็จแล้ว เชิญทุกคนดื่มสุราสักจอกจะได้ทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้ ดื่มสุราเล็กน้อย รับประทานอาหารนิดหน่อยบรรยากาศคงดีขึ้น จะได้มีเรื่องสนทนากัน
เรือนด้านหลังมีบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มาล่วงหน้า แต่ละคนปิดประตูไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ามาช่วยสังหารซานเซ่าหรือมาอาศัยอยู่ที่นี่ ปริมาณการบริโภคชาวิญญาณในหลายวันนี้เพิ่มขึ้นมาก ต้องส่งคนไปซื้อที่เกาะมู่ซาน
เหมือนภูติเทพดลใจ ประมุขตระกูลเยวี่ยพลันเอ่ยปากว่า “ข้าเตรียมสุราไว้ เชิญผู้อาวุโสทั้งสองท่านให้เกียรติรับประทานอาหารสักมื้อ”
ประมุขตระกูลเยวี่ยคิดว่า ผู้บำเพ็ญเซียนสองคนนี้ต้องไม่กินอาหารแน่ ถึงตอนนั้นเขาจะเสนอให้พาผู้อาวุโสทั้งสองท่านไปพักผ่อน อีกสองวันค่อยรวมพลไปล่าซานเซ่า
เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หลิงชิงเจียงเอ่ยปฏิเสธเรียบๆ “ขอบคุณประมุขตระกูลเยวี่ย ข้างดอาหารมาหลายปีแล้ว”
“เช่นนั้นข้าจะให้คนพาผู้อาวุโสหลินไปพักผ่อนก่อน อีกสองวันขึ้นภูเขาล้อมปราบซานเซ่า” ประมุขตระกูลเยวี่ยรีบทำตามเจตจำนงของผู้อื่นทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ได้” หลินชิงเจียงพยักหน้า
“ประมุขตระกูลเยวี่ยเตรียมแล้ว ถ้าข้าปฏิเสธก็คือไม่ไว้หน้าท่าน ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านสักจอก” จินเฟยเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยปาก
ประมุขตระกูลเยวี่ยและหลินชิงเจียงมองนางอย่างประหลาดใจ หลินชิงเจียงรู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ดื่มสุราเป็นเพื่อนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทั้งสองคนล้วนงดอาหาร ส่วนประมุขตระกูลเยวี่ยกลับตะลึงงันไปโดยสมบูรณ์ เขาไม่ได้เตรียมอาหารไว้เลย ตอนนี้ผู้อื่นเอ่ยปากว่าจะกินอาหาร หรือจะบอกว่าให้รอสักครู่ ข้าจะส่งคนไปทำเดี๋ยวนี้?
เห็นประมุขตระกูลเยวี่ยยังไม่ได้สติ จินเฟยเหยายิ้มแย้มเอ่ยว่า “คาดว่าประมุขตระกูลเยวี่ยคงเตรียมอาหารเลิศรสไว้มากเป็นพิเศษเพื่อรับรองทุกคนจึงต้องใช้เวลาเตรียม ไม่เป็นไร ข้าไม่รังเกียจที่จะรอ”
ประมุขตระกูลเยวี่ยได้สติขึ้นมา รีบรับคำ “เป็นเช่นนี้พอดี ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ข้าไปส่งผู้อาวุโสหลินพักผ่อนที่เรือนข้างก่อน แล้วจะไปดูห้องครัวสักหน่อยว่าทำไมอาหารยังไม่เสร็จ”
“ไปเถอะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่” จินเฟยเหยายิ้มแย้มอย่างไม่ใส่ใจสักนิด
นางไม่ใส่ใจแน่นอน รู้ชัดๆ ว่าประมุขตระกูลขั้นสร้างฐานเสนอให้รับประทานอาหารเพียงเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเท่านั้น ใครให้เขาพูดว่ารับประทานอาหารล่ะ บอกว่าไปชมทิวทัศน์ก็ยังดี นี่ส่งมาถึงปากจะไม่กินสักมื้อได้หรือ
หลินชิงเจียงเดินไปถึงหน้าห้องโถงก็หยุดฝีเท้าเบือนหน้ามามองจินเฟยเหยา ส่วนจินเฟยเหยาก็ยิ้มตาหยีมองดูนาง หลังจากทั้งสองคนสบตากัน หลินชิงเจียงก็เดินออกจากห้องโถง
“อยากกินนางจริงๆ แต่ดูแล้วเหมือนจะเป็นกระดูกแข็ง แทะยาก จัดการซานเซ่าก่อนดีกว่า ตัวใหญ่ต้องเก็บไว้ทีหลัง ถึงอย่างไรก็ไม่แพ้ตัวนี้” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว เอ่ยแก้ตัวให้ตนเองอย่างหดหู่
…………………………………………..
[1] ชิงหลง คือ มังกรเขียว สัตว์เทพประจำทิศตะวันออก
[2] เสวียนอู่ คือ เต่าดำ สัตว์เทพประจำทิศเหนือ