กำพร้า ณ ต่างโลก - ตอนที่ 3 หลังการต่อสู้
3 หลังการต่อสู้
ผมนั่งกอดอก คิ้วขมวด
มันเย็นแล้ว บารอนจางกลับไปแล้ว ให้เงินไว้ 3,000 เงินแล้วก็ไป
เรื่องเงินผมยังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่มีข้อมูล 3,000 ผมต้องหาโอกาสรู้ว่าเงินนั่นอยู่ได้นานมากเท่าไหร่ ถึงจะพอหาค่าคร่าวๆของมันได้
แต่ถ้ามันเป็น 3,000 แลกกับคนในยุคนี้ นั่นก็ยังน่าว่าแพงไปอยู่สำหรับแรงงานเด็ก
หรือทาสหรือแรงงานถาวรถือเป็นของแพง
ใช่…เรื่องทาสผมต้องรู้ให้ได้ด้วยว่ามีไหม แต่ดูจากสภาพการใช้งานจนตายแรงงานเด็กจนตายไม่เป็นทาสก็เป็นแรงงานถาวรที่ไม่มีอิสระ
“~♪”
อลิสมา
“โอ้หมายเลข 8 นั่งอะไรอยู่ล่ะนั่น มากินหน่มน้มมาๆ”
“งับ”
“!”
เธอตาเปิดกว้าง
โอ๊ะ…ผมพูดได้แล้ว
อลิสวิ่งออกไป
“แม่! พี่วาเนสซ่า! หมายเลข 8 พูดได้แล้ว!”
“***”
ผมได้ยินเสียงอลิสไกลๆแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ
เอาน่ามันน่าจะไม่แย่นักหรอก ผมยังคงเด็กอยู่ น่าจะยังไม่ถูกใช้งานเร็วๆนี้
ประเด็นต่อไป การต่อสู้
จากเท่าที่ดูการต่อสู้ประกอบไปด้วยการตะโกนชื่อท่าสู้กัน
ระดับยามกับระดับอันธพาลธรรมดามีกันอยู่ท่าเดียว แล้วไม่มีการเหวี่ยงฟันธรรมดา
แม้อย่างนั้นดูเหมือนสภาพร่างกายแต่ละคนแม้แต่คนที่ฝึกมาก็ยังฟันคนเมาไม่เสียการป้องกัน มันเป็นเพราะเขาแข็งแรงพอตัว หรือการฝึกร่างกายไม่พัฒนา
แล้วทำไมถึงฟันกันอยู่ท่าเดียว ทำไมไม่แค่เหวี่ยงๆดาบฟันไปทั้งๆที่มีดาบ
น่าจะเพราะการบอกชื่อท่าก่อนโจมตีเป็นอะไรพิเศษบางอย่าง
อีกเรื่องคือทำไมไม่รุม แล้วยอมแพ้กันง่ายๆ
อาจเป็นเรื่งศักดิ์ศรีของนักรบที่ปลูกฝังกันมา การต่อสู้ถือเป็นเรื่องมีเกียรติอย่างนั้นหรือ… แล้วทำไมเรื่องศีลธรรมถึงไม่ดี หรือคนชื่อบารอนจางแค่นิสัยไม่ดี
หรือ ผมต้องทดสอบ
พร้อมกับดูว่าผมพูดอะไรได้มั่ง ผมต้องหาสิ่งสำคัญ
“หมัดจง”
ท่าต่อยสวยๆถูกส่งออกไป
มันทำให้ปวดกล้ามที่หลัง
เหมือนที่คิด เมื่อชื่อท่าถูกพูดออกไปก่อนใช้งานมันจะออกไปอัตโนมัติ
“อุ้กก๋า”
หมัดฮุคถูกส่งออก
มันทำให้เจ็บกล้ามอกใน
เนื่องจากมันเจ็บกล้ามเนื้อการ “ใช้ทักษะ” มันเป็นพลังพิเศษอันทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวเกินตัว
ถ้าอย่างนั้นนี่ถือว่าเป็นที่สุดของที่สุดในการต่อสู้ การ “ใช้ทักษะ” ถือเป็นทุกอย่างที่คนสู้กัน
น่าจะเป็นความพิเศษของโลกหรือบางอย่าง มันน่าจะมีมานานแล้ว จนมันวิวัฒนาการจากคนป่าเหวี่ยงอาวุธใส่กันถึงการบอกชื่อท่าแล้วสู้กันโดยใช้ร่างกายถึงขีดสุดง่ายๆ จนการเหวี่ยงธรรมดากลายเป็นล้าสมัยไป
แล้วเพราะการใช้ทักษะทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างดีกว่าที่มีความสามารถอยู่ในตัว มันกลายเป็นสิ่งเดียวที่คนสู้กันทำกัน
คล้ายๆเกมกับการมีหนึ่งทักษะก็ปล่อยทักษะนั้นรัวๆกับศัตรูทุกตัวเพราะมันแรงกว่าฟันธรรมดา
ศิลปะการต่อสู้ การฝึกฝนร่างกายจึงกลายเป็นไม่พัฒนา…น่าจะประมาณนั้น
แต่เนื่องจากผมพูดชื่อท่าแล้วยังทำได้ขณะเป็นเด็ก ยิ่งกว่านั้นพูดไม่ชัดอีกต่างหาก โลกนี้น่าจะมีบางอย่างที่ทำให้นั่นเกิดขึ้นจากเจตนา ระบบหรือพลังที่เทพเจ้าประทานให้ หรือนั่นคือธรรมชาติของโลก พูดง่ายๆคือ อำนาจเหนือธรรมชาติ หรือมันแค่ธรรมชาติ?
ถ้าดูจากสภาพสถานสงเคราะห์กับการใช้แรงงานเด็กจนตาย เทพเจ้ากับความดีงามน่าจะไม่ได้เจริญรุ่งเรืองมากนัก
ส่วนศีลธรรมก็ไม่ได้มีกันมากมาย
ถ้าอย่านั้นน่าจะเป็นนธรรมชาติมากกว่า
ผมเปลี่ยนมานั่งเท้าคาง
แต่ทุกอย่างคือการคาดเดา ไม่มีอะไรรู้แจ่มแจ้งอยู่ดี
“ฟู่~”
ผมถอนหายใจ
อลิสกลับเข้ามาพร้อมวาเนสซ่า
“ไหนพูดซิ้พูดซิ้ พี่อลิส”
“…”
“พี่วาเนซซ่า”
“ไม่เห็นจะพูดเลย เธอไม่หูเพี้ยนไปนะ”
ผมอยากซ่อนเจตนาจริง แต่นั่นจะทำให้อลิสเสียใจ
“พี่อายิ้ด พี่วาเนชช่า”
ผมชี้แล้วพูด
“เห็นมั้ยเห็นมั้ยพี่เขาพูดได้แล้ว”
“อืม ก็ดี”
วาเนสซ่ากลับออกไป
ทำไมวาเนสซ่าทำตัวแบบนั้น เธอดูเหมือนไม่ได้อยากทำงานที่นี่ แต่เธอไปจากที่นี่ไม่ได้
“กินหน้มน้มมาๆมั้ย”
“งับ”
อลิสป้อนนม
*จุ่บ*
คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมต้องรู้เรื่องพวกเธอก่อน
แผนต่อไปของผมคือการหาหนังสือ กับฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง จากนั้นคิดเรื่องศิลปะการต่อสู้ ทดสอบธรรมชาติของการต่อสู้ แต่ผมน่าจะต้องขยับร่างกายให้ได้ทุกส่วนอย่างดีก่อน
ถ้ามันขึ้นอยู่กับเจตนา ผมแค่น่าจะต้องนึกภาพท่วงท่าให้ถูกต้องแล้วใช้มัน
แล้วต่อจากนั้นเป็นการหากิน ถ้าร่างกายผมแข็งแรงและสู้ได้เก่งกาจ ผมเป็นทหารหรือทหารรับจ้างได้
ผมจะเน้นไปทางออกกำลังกายให้ใช้งานร่างกายให้คล่องก่อน
“ฮ่า…”
ผมกินเสร็จ
“เสร็จแล้วเหรอ เร็วจังนะ ไม่หิวเหรอไงหนู”
“หมึ่”
“ได้เลย ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ”
อลิสออกไป
เริ่มออกกำลังกายเลยดีไหม?
แต่ต้องดูก่อนว่าทำอะไรไหวบ้าง เพราะแม้แต่ลุกมานั่งผมยังต้องใช้มือประคองตัวอยู่
ผมนึกไปถึงท่าพื้นฐานสำหรับต่อสู้
หลังน่าจะสำคัญ
โอ้ใช้ ถ้าผมใช้ทักษะได้การออกกำลังกายก็ได้ง่ายเหมือนยกน้ำหนักสุดกำลัง เพราะมันเป็นการใช้แรงกายเกินความสามารถ กล้ามเนื้อจะฉีกขาด และสร้างใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม
แต่ออกกำลังกายตั้งแต่เด็กเล็กๆมีผลอะไรไม่ดีถาวรไหม? ก็ไม่น่า เพราะมนุษย์ใช้ร่างกายมาตั้งแต่โบราณ ผมอาจจะแกนๆ แต่นั่นแก้เอาได้โดยการกระโดดเยอะๆเมื่อขยับร่างกายถนัดกว่านี้
หลักๆคือยิ่งใช้ยิ่งทำมากดี
แต่มันไม่ได้ง่าย ต้องทนกับการปวดกล้ามเนื้อไปตลอดวันที่จะตามมา และหากินอาหารให้เพียงพอ
มันจะใช้เงิน…
อย่างนี้การเลือกไม่กินนมเยอะกว่าปรกติคือเรื่องพลาดไป? เพราะนั่นคือของฟรีจากการสูญเสียนิดหน่อยของอลิส
แต่ช่างมันเถอะ
“อุ้กก๋า”
หนึ่ง
“อุ้กก๋า”
สอง
“อุ้กก๋า”
สาม
ผมทำไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแขนกับหลังและหน้าอกผมเริ่มล้า
ผมง่วงแล้วผมหลับไปทั้งอย่างนั้น
—————————————
*จิ๊บๆๆ*
ตอนเช้ามาถึง
มันรู้สึกแปลกๆเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดไป
“อุ…แงงงงง้”
ผมร้องไห้น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง ผมร้องเพราะมันปวดหลังมากจนทนไม่ได้
ถ้าหมอวัดมันจะอยู่ที่ระดับ 8
ท่าทางผมทำเกินตัวไป แย่จริง
“แง้ แง้ แง้”
“แง๊ว”
นั่น……มันเบนความสนใจผมจากความเจ็บปวดไปได้ มันคือเสียงของน้องแมว
เธอจ้องผมค้าง น้ำลายยืด
“แง๊ว”
“ฝัดดี”
ผมจะโบกมือขวา แต่เพราะผมยกแขนไม่ขึ้นผมเปลี่ยนเป็นโบกมือซ้าย
เราจ้องกัน
เธอเล่นน้ำลาย แล้วจากนั้นก็นอนต่อ
น้องแมงมุมยังคนหลับ
ผมไม่เคยได้ยินเธอพูดแบบเด็กๆเลย เคยได้ยินแต่เธอร้องไห้พร้อมน้องแมว เธอเป็นอะไรไหม?
ผมเพิ่งตั้งใจสังเกต หางเธอสีดำ ส่วนน้องแมงมุมผมบางๆของเธอสีขาวว
“สวัสดี หมายเลข 8”
“งับ”
“หืม หมายเลข 1 กับ 2 หลับ ดีจัง”
เธอเริ่มเดินไปให้นมเตียงอื่น
ผมต้องลองหาหนังสือ
“…ไปห้องยวม”
“เอ๋?”
“พาไปห้องยวมหน่อย”
“เอ… พี่จะโดนดุน่ะสิ…แต่…ไม่น่าจะเป็นไรมั้ง อย่างงั้นขอพี่ป้อนนมคนนี้ก่อนนะ”
“งับ”
ผมรอ
แล้วเธอก็มาอุ้มผมไปวางไว้ห้องรวม
“อย่าซนล่ะ แล้วพยายามอย่าไปเล่นของที่ไม่ใช่ของเล่นนะ”
“งับ”
ผมตอบกลับ
อลิสกลับไปห้องเด็ก
ผมมองไปรอบๆ
หนังสือ หนังสือ
มีชั้นวางหนังสืออยู่
นั่น
แต่หนังสือสำคัญอยู่สูงชั้นล่างๆมีแต่นิทาน
นิทานก็ยังถือไปการสะท้อนสังคม ผมน่าจะได้อะไรบ้าง ดีกว้าเอื้อมคว้าลม หรือหาเรื่องเจ็บตัว แต่กระนั้น…
ผมหยิบนิทานมาหนึ่งเล่ม
‘การเดินทางของอาร์เธอร์’
‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว……’
สรุปง่ายๆคืออาเธอร์ออกเดินทางตามตำนานหาเจ้าหญิงผู้ถูกมังกรจับไว้ เขาเข้าป่าแห่งเวทมนตร์และได้รับพลังเวทมตร์เพื่อในที่สุดไปช่วยเจ้าหญิงออกมา
ถ้าอย่างนั้นพลังเวทมนตร์ยังมีตัวตนอยู่ในตำนาน แต่ไม่ถือเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ? หรือมันถือเป็น ไสยศาสตร์
ผมหาหนังสือเพิ่ม
‘ผู้กล้าล่าก็อบลิน’
‘ณ ถ้ำอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยอสูรตัวเล็กเท่าครึ่งคนผิวสีเขียว กับเสื้อผ้าโทรมๆ……’
สรุปคือนายคนนี้คือผู้สุดเชี่ยวชาญการล่าก็อบลิน เข้าถ้ำ แล้วสุดท้ายได้สมบัติทำให้ร่ำรวยไปตลอดกาล
อืม ส่วนเหล่ามอนเตอร์ก็มีอยู่ในนิยายด้วย
ผมหาหนังสืออีก
‘นักรบแห่งแม่น้ำมหาดยุค’
มหาดยุค? จะเป็นมหา หรือจระเป็นดยุค เอาให้แน่สิ
‘ข้าชื่อเอกีร์ แกรังแกภรรยาข้า รับมือ! ย่า!!! ฮ่า!!! เหล็กกล้าผ่าศิลา!……’
หืม…เขาฟันธรรมดาก่อนการฟันด้วยทักษะยังมีอยู่ในนักรบระดับตำนานอย่างนั้นหรือ
แต่การใช้ทักษะเพื่อใช้ท่าซ้ำๆเหล่านั้นปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก มันฝังรากลึก
ส่วนเรื่องที่รู้ว่าจริงคือการต่อสู้ถือเป็นเกียรติสูงของคน
เป็นเรื่องของชายที่เหล่าเมียไปออกงานแล้วโดนรังแก เลยมาไล่ผ่าหัวคนของคนที่รังแกเมีย
ไม่มีเรื่องที่ออกแนวพระเจ้าหรือพลังเหนือธรรมชาติแม้ผมจะหาทุกเล่ม
…ผมอิ่มตัวกับพวกนิทานแล้ว
ภารกิจต่อไปคือหาหนังสือจากชั้นสูงๆ
ผมมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่ ผมคลานออกไปดูหน้าประตู ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนเข้ามา
มีเก้าอี้ที่เตี้ยพอให้ปีนวางอยู่ ณ โต๊ะ ห่างออกไป ได้เลย ภารกิจแรก ภารกิจ: ลากเก้าอี้
ผมคลานไปจับขาเก้าอี้ แต่มันใหญ่ไปที่จะใช้หนึ่งมือกำ ดังนั้นมันต้องใช้สองมือจับ แต่ถ้าใช้สองมือจับไม่มีท่าคลานถอยหลัง มันไม่ถนัด
มีทางเลือกให้ไปผลักเก้าอี้แทน แต่มันจะเสี่ยงทำให้เก้าอี้ล้ม และการยกมันขึ้นมาใหม่จะเป็นไปไม่ได้สำหรับผม
ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ทำได้คือ จับสองมือ ลากกระเถิบ แล้วเลิกจับมาคลานถอยหลัง แล้วทำซ้ำ
มันจะใช้เวลา แต่ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้…
ผมเริ่มไปลากเก้าอี้ จับสองมือ ดึงเข้า ถอย จับสองมือ ดึงเข้า ถอย
มันไปถึงหน้าชั้นวางหนังสือ
ภารกิจ: ปีนเก้าอี้ แล้วต่อไปก็ ภารกิจ: ยืนหยิบหนังสือ
ผมต้องซ้อมยืนให้มั่นๆก่อน เพราะมันมีความเสี่ยงตกเก้าอี้ได้
ผมยืนหน้าชั้นหนังสือ อืม มันยังไม่ได้มั่นคงเต็มที่ที่สุด แต่ดีกว่าทำไม่ได้หรือสั่นเซ แล้วเอื้อมไปหยิบหนังสือนิทาน
มันพอทำได้อยู่
ถึงเวลาปีนเก้าอี้
ผมปีน
มันสูง
เสี่ยงนิดหน่อย แต่เอาน่าไม่เป็นอะไรหรอก
ผมยืน
อืม ‘ภูมิศาสตร์ทวีปตะวันออก’ ‘บริหารเงินอย่างไรให้อยู่รอด’ ‘ตำราเลี้ยงทารก’
ดูเหมือนจะเป็นหนังสือของโดโรเธีย
ผมหยิบ ‘ภูมิศาสตร์ทวีปตะวันออก’
ปีนลง ลากเก้าอี้ไปไว้ที่เดิม
เอาล่ะ ทวีปนี้น่าจะเป็น ‘ทวีปตะวันออก’ มันจะเป็นอย่างไร