กำพร้า ณ ต่างโลก - ตอนที่ 19 เตรียมพร้อม
ดาบ
แท่งเหล็กยาวบนด้ามจับ ตัวด้ามมีเหล็กไว้กันมือลื่นหรือศัตรูฟันมาบริเวณมือจับ
ตัวดาบยาวประมาณ 50 – 80 ซม.
เหมาะสำหรับเหวี่ยงฟัน
เพื่อปลิดชีวิตคู่ต่อสู้ หรือไว้ป้องกันตัวก็ได้
เพราะภัยไม่ได้แค่จะหยุดเมื่อเจ็บมากหรือไม่อยากสู้แล้ว บางทีความโกรธมันเอาชนะอารมณ์ทั้งหมดและจ้องทำร้ายต่อได้
น้ำหนักประมาณ 1 – 1.5 กิโลกรัม
น้ำหนักกำลังให้ดีฟันเจ็บ หรือฟันเข้าเนื้อเมื่อลงมือ
ผมถือมันในมือชูไปมา ผมไม่ได้ลองเหวี่ยง ไม่ว่าอย่างไรสำหรับผม อาวุธสังหารมันมากไปหน่อย
แน่นอนผมใช้ป้องกันตัวได้ แต่มันไม่มากไปหรือ?
ผมคิด แล้วผมได้มารู้ว่าภัยอย่างไรก็เป็นภัย บางทีมันแค่ไม่หยุดเพราะเราไม่อยาก ฆ่า
ฆ่า
ผมจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นไหม?
เหมือนมันจะไม่จำเป็นเพราะผมคิดว่าผมเก่งพอหรือ?
การอวดดีสุดท้ายมันจะทำให้ใจมีบาดแผลเพราะสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นใส่ตัว โดยที่คนหนึ่งทำอะไรไม่ได้
ผมแค่เชื่อว่าอย่างนั้น
บางทีมันอาจเพราะผมเสพสื่อมากเกินไป
บางที อะไรๆมันแค่ทำๆไปเถอะเพราะถ้าทำเราขนาดนั้นแล้วมันเป็นเรื่องปรกติที่คนจะคิดว่าทำคืนได้ไม่มีปัญหา
แต่ไม่รู้สิ หลังจากผมฝึกร่างกายมาเยอะผมรู้สึกว่าผมเป็นมากกว่านั้น
ผมรู้สึกว่าผมเอาชนะได้แม้ไม่ต้องลงมือสังหาร
บางทีมันแค่หลงตัวเอง แต่สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจ
ผมยังคงถือดาบไว้
ผมรู้สึกถึงสายตาที่มองมา
ผมหันไปดูและเห็นว่าวีเด็กแมวที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังมองผมอย่างตั้งใจ
ผมยิ้มและไม่พูดอะไร มองดาบต่อไป จากนั้นสักพักเธอเดินมา
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
“ไม่รู้สิ”
เธอคิ้วขมวด
“มีอะไรก็บอก อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ เราเป็น”
เธอคาไว้แค่นั้นแล้วไม่พูดอะไรต่อ ผมไม่ตามต่อเพื่อเอาคำพูดต่อ
เพราะผมพอรู้อยู่แก่ใจว่าวีกับวิวคิดอย่างไรกับผม แม้ผมบื้อทึ่มๆ อย่างน้อยผมก็พอรู้มากขนาดนั้น
“คิดยังไงกับการฆ่า วี”
“เอ๋?”
เธอตกใจโดยคำถามกระทันหัน
วีตกอยู่ในห้วงความคิด จากนั้นวิวมา
“คิดยังไงกับการฆ่า วิว”
“เอ๋?”
เธอพูดเหมือนกันเลย มันทำให้ผมยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ
วิวตอบมาทันที
“มันผิด เราไม่ควรทำ อย่างน้อย”
เธอเว้น
“หนูก็ไม่ทำแม้จะไม่ทำคนเดียว”
เธอหน้าเศร้าๆ
“แม้จำเป็นเหรอ?”
“มันไม่มีจำเป็นถึงขนาดต้องฆ่ากันหรอก”
เธอพูดอย่างจริงจัง
“มั้ง”
แต่เธอยังไม่รู้คำตอบ
ผมยิ้มให้เธอ ไม่พูดอะไรต่อ
เมื่อวีคิดเสร็จ เธอตอบ
“หนูไม่อยากทำ แต่ถ้าต้องทำจริง หนูว่าหนูทำได้ พี่คิดว่าเราจะต้องฆ่าคนเหรอ หนูทำได้ หนูจะทำแน่ๆถ้าต้องทำ”
เธอตอบอย่างแน่วแน่
เธอสองคนคิดต่างกันคนละแนวเลย มันทำให้เลือกยากว่าจะทำต่ออย่างไร
ถ้าทั้งวีทั้งวิวแค่เห็นด้วยอย่างเดียวกันผมตัดสินใจได้อย่างง่ายๆว่าเพราะครอบครัวผมเลือก ผมเลือกด้วยอีกคนได้อย่างสบายๆ
แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ มันช่วยไม่ได้
ผมต้องตัดสินใจ
“ฮ่าาา”
“เหมือนพี่ไม่อยากฆ่า พี่ทำไม่ได้เหรอ? หรือพี่ไม่อยากทำ?”
ผมมองวีที่ถาม
“พี่ก็ว่าพี่ทำได้ แต่มันยังไงไม่รู้ดิ มันเหมือนพี่เป็นมากกว่านั้น พี่คิดว่าพี่ทำมากกว่านั้นได้”
“ไม่หลงตัวเองไปเหรอ?”
ผมตอบไม่ได้ เธอพูดตรงประเด็น
“ถ้ามันจำเป็น สุดท้ายพี่ต้องทำ เพราะพี่ให้พวกเธอหรือคนในบ้านเป็นอะไรไปไม่ได้”
วีและวิวมองผมอย่างตั้งใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จากนั้นวีพูดขึ้นมา
“ถ้าหนูบาดเจ็บ หรือสู้ต่อไม่ได้แล้ว แค่ทิ้งหนูให้ตายไปเลย ถ้าหนูไม่มีประโยชน์กับพี่ หนูไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ”
“หนูด้วย”
วิวรีบแสดงออกว่ามีความคิดเห็นเหมือนกัน หางแมวเธอชี้ตั้ง ใจพร้อมจากลา
“ทำไม่ได้หรอก แม้ว่าสุดท้ายพี่ต้องสูญเสีย”
ผมจับมือพวกเธอสองคน
“มันแค่ขอให้เรายังเดินต่อไปด้วยกัน”
ผมมองพวกเธออย่างตั้งใจ
วีลังเล ไม่รู้จะตอบอะไรแต่สุดท้ายแค่พยักหน้า วิวก็พยักหน้าแต่เร็วกว่าวีเพราะไม่ได้คิดมาก
เอาล่ะตอนนี้เราก็เตรียมใจกันเสร็จแล้ว มันยังเช้าอยู่ วันนี้ยังมีเวลา
เขาอาจบุกมาวันนี้ แต่เท่าที่ดูจากคนที่อยู่กันหน้าบ้าน เมื่อผมสังเกตอาการเขาดูไม่ตื่นตัว
ถ้าให้ผมเดาวันนี้เขาจะยังไม่มา น่าจะเป็นไปได้สูง
ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่รีบโจมตีเรา แต่ยิ่งผมไม่รู้ มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจขึ้น
เพราะมันดีกว่าที่จะรู้แผนศัตรูมากกว่าไม่รู้เลยว่าศัตรูคิดอะไร
เขาอาจจะแค่บ้าๆไม่คิดเยอะก็ได้ แต่สุดท้ายคือผมไม่รู้
ความไม่รู้มันน่ากลัว มันทำให้ไม่สบายใจ
แต่ผมก็ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
พอเถอะ อย่าคิดเยอะเลย เดี๋ยวเป็นพญามัจจุราจ ยังมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ที่คอยจ้องชีวิตเราอยู่
เพราะส่วนใหญ่เมื่อผมคิดเยอะผมไม่ได้เครียด ผมเลยไม่ได้กลัวมันขนาดนั้น
มันน่าจะเป็นเพราะทำงานเป็นพนักงงานเงินเดือนมานาน มันเลยคิดอะไรหนักๆแต่ปลงไปครึ่งหัวใจได้
วีและวิวกลับไปที่เตียงพวกเธอ ผมมองตามหลังพวกเธอไป
เราซ้อมกันหน้าบ้านไม่ได้ ผมเริ่มไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
เราต้องทำอะไรต่อ ผมอยากหาคนถาม แต่ครอบครัวผมมีแต่วีกับวิว
แน่นอนว่ามีพวกพี่ๆผู้ใหญ่ แต่ปัญหามันเป็นเกี่ยวกับการต่อสู้ พวกเธอช่วยอะไรไม่ได้ หรือไม่แน่? พวกพี่เขาอาจชาวยคิดได้
“ฮ่าา”
ผมถอนหายใจ
ผมเก็บดาบจริง
ผมอยากให้อาวุธที่สั่งทำมาเร็วๆ
อยากได้อะไรที่ไม่มีมันทำให้เศร้าใจนิดๆ
เราพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว แจกจ่ายอาวุธเรียบร้อย
มีเรื่องน่าทำแต่ผมไม่ได้ฝึกพวกกลุ่มพี่ๆ
มันเหมือนเพราะผมไม่เชื่อใจว่าพวกเธอจะสู้ได้ ผมถามตัวเองว่าผมไม่หวังพึ่งใครเลยหรือ มันโดดเดี่ยวไปไหม
“ฮ่าา”
ช่างมันเถอะ จะเกิดอะไรก็สู้เอา
หลังกินอาหารเที่ยง ผมเฝ้าดูพวกกลุ่มห้าคนที่อยู่บนถนนหน้าบ้าน
พวกเขาแค่คุยกันหรือเฝ้ามอง ไม่ทำอะไรและดูไม่ตื่นตัว
มันเหมือนพวกเขาไม่ได้คิดจะเข้าบุกวันนี้จริงๆ
ผมตัดสินใจไปหาพี่โดโรเธีย เมื่อคิดว่าดูมากกว่านี้ก็ไม่ช่วยอะไร
เมื่อผมเข้ามา พี่โดโรเธียอยู่กับพี่วาเนสซ่าเหมือนเดิม
เมื่อเธอเห็นหน้าผมเธอกลืนน้ำลาย ใจไม่สงบ
“วันนี้น่าจะยังไม่มีอะไรครับ เดาจากอาการพวกเขา”
“อย่างนั้นเหรอ?”
พี่โดโรเธียมอง แต่เหมือนยังไม่วางใจ
“แต่มันมีปัญหา ถ้าพวกเขาไม่บุก”
ผมมองหน้าพี่โดโรเธียกับพี่วาเนสซ่า
“พวกเขาคิดทำอะไร ผมคิดไม่ออกเลย เขาน่าจะอยากรีบเข้ามา แต่เพราะพวกเขาถึงไม่ทำ? ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร มันไม่สบายใจ มันรู้สึกว่ามันยิ่งอันตราย”
“เธอคิดมากไปมั้ง”
พี่วาเนสซ่าตอบทันที
แต่พี่โดโรเธียยังดูเหมือนคิดบางอย่าง แล้วพูดขึ้นมา
“ที่น่าเป็นไปได้ คือเขาวางแผน ถ้าใช้เวลา ไม่มันเพื่อตั้งหลักทำให้มั่นๆว่าทำได้แน่ๆ ก็เพราะเขากลัว แต่เท่าที่พี่เดาเอา เขาไม่น่าจะมากลัวแค่เด็กกับผู้หญิง”
มันเป็นที่ผมกลัว
“ถ้าอย่างนั้นพี่คิดว่าพวกเขาจะไปเตรียมการมาอย่างดีมากๆ ให้พร้อมชนะแน่นอนอย่างนั้นเหรอครับ”
“พี่ว่าประมาณนั้นแหละ”
“พวกเธอลำบากนะ จริงๆมันควรเป็นผู้ใหญ่ที่ออกหน้าแทนเด็ก พี่ก็รู้สึกผิดนะ ที่พี่ต้องปล่อยให้พวกเธอเป็นคนปกป้องเรา”
ผมมองหน้าพี่วาเนสซ่าที่พูด ยิ้มเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ เราไหว”
เธอมองหน้าผม พยักหน้า
“พยายามเข้าล่ะ”
พี่โดโรเธียพูด หน้าเธอเหมือนเชื่อใจพวกเราแม้ยังลำบากใจ
“ครับ ผมมาบอกเท่านี้ล่ะครับ ขอบคุณที่ช่วย”
ผมขอตัวและออกมา
อืม ถ้าเขาเตรียมตัวมากว่านี้ ผมลองคิดว่าถ้าผมเป็นเขา
ถ้าผมรักคนหนึ่งคน และผิดหวังจนคิดไม่ดี ผมจะทำอะไร
ผมต้องหาวิธีที่แน่นอน ไม่ให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้
เอาคนมาเยอะขึ้นหรือ? นั่นน่าจะแน่นอน แต่ถ้าเป็นอย่างที่ผมกลัว
“เขาน่าจะซ้อมก่อนมาสู้เรา”
ผมคิดอย่างนั้น
ผมรีบไปหาวีกับวิว
ผมต้องปรึกษา เก็บไว้กับตัวอย่างเดียวไม่ได้ ผมมีครอบครัว
แม้ในความทุกข์ ผมสุขใจ อย่างน้อยๆ ผมก็มีพวกเธอ
เมื่อวิวเห็นผมเธอยิ้มครู่หนึ่งแต่แค่ครู่เดียวสั้นๆเท่านั้นก็กลับไปเป็นหน้าเข้มๆพร้อมๆ
วีเห็นผมจะคุยกับวิวก็เข้ามาฟังด้วยเหมือนกัน
“พี่คาดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะซ้อมไว้มาสู้กับเรา”
“พี่ดูมีไฟมากขึ้นนะ”
เสียงผมซ้อนกับวี
ผมยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
“นั่นแหละ ประเด็นคือเขาน่าจะซ้อมไว้มาสู้กับเรา เราต้องหาวิธีกันไว้ก่อน”
“มันจะขนาดนั้นเลยเหรอ เราแค่กลุ่มเด็กๆเองนะ”
วิวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่พี่เดา เขามีแรงจูงใจมากพอและมีประสบการณ์เพื่อให้ทำอย่างนั้นได้อีก ถ้าเขาพร้อมและฝึกมาเพื่อเรา เราจะลำบาก”
“ทำไมเขาต้องทำขนาดนั้น มันเพราะอะไร?”
“เพราะความรักที่ผิดหวังแหละนะ”
วิวรีบถามขึ้นมาทันควัน
“ความรักมันดีไม่ใช่เหรอ ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ”
“ความผิดหวังก็ทำให้คนบ้า รักก็ทำให้คนบ้าได้ เพราะสองอย่างมันบรรจบมันก็เลยยิ่งบ้าใหญ่ ตอนนี้เราหาวิธีแก้ปัญหาตอนนี้ก่อนเถอะ”
พวกเธอคิดกันสักพักและวิวพูดขึ้นมา
“ปิดบ้านให้แน่นขึ้น”
ผมตอบทันที
“มันแน่นกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละ เราปิดทุกอย่างแล้ว”
“อออุ”
วิวคร่ำครวญ
“ถ้าเรา เอิ่ม ใช้ท่าแปลกๆล่ะ”
“ท่าแปลกๆ?”
ผมถามวีที่พูดขึ้นมา
“ท่าที่คนปรกติจะไม่คิดว่าอีกคนจะใช้ คิดมาไว้เยอะๆ แล้วเอามาใช้”
ผมลองเอามาคิดดู เท่าที่คิด มันพอได้
“เอาอย่างนั้นก็ได้ คิดท่าเตรียมไว้สักสิบท่าละกัน”
“สะ, สิบ”
วิวดูลำบาก
“ช่วยกันคิดก็ได้แหละ แม้เราออกข้างนอกไม่ได้ เราฝึกในที่แคบๆอย่างนี้กันได้”
“พี่ๆคงไม่ว่าแล้วสินะ”
“อืม”
ผมตอบวิว
เอาล่ะตอนนี้เวลารวมหัวคิดท่า
ที่วิวออกแบบส่วนใหญ่มันสุดโต่งมากเกินไปและไม่น่าจะใช้ได้ ผมเลยปฏิเสธและบอกเหตุผลไปหลายท่าอยู่ แต่มันก็พอมีท่าที่ใช้ได้ และบางท่าเป็นท่าศิลปะการต่อสู้ที่มีจริงๆด้วยซ้ำ
จินตนาการเธอล้ำเลิศ
แต่มีจุดหนึ่งที่เธอยังไม่ปรับใช้ให้ดี
ผมเก็บเอาไว้ก่อน
ส่วนวีนั้นท่าส่วนใหญ่ใช้จริงได้ แต่ส่วนมากที่คิดมามันเป็นท่าพื้นฐานธรรมดา มันขาดมุมที่ทำให้ศัตรูตกใจคาดไม่ถึงว่าจะมีคนใช้ท่าแบบนี้ และก็มีจุดหนึ่งที่เธอขาดเหมือนกันด้วย
ตอนนี้ผมเห็นปัญหาสองคนแล้ว ผมบอกวิวก่อน
“วิวใช้ใยด้วยสิ”
“ใยเหรอ? มันจะแข็งแรงพอมั้ยอ่ะ”
“ลองยิงใส่แขนพี่ดูสิ”
ผมให้เธอยิงใส่แขนผมและเธอยิงมา
ผมลองดึงสุดแรงและมันไม่ขาด
“มันแข็งแรงพอแล้วแหละ มั่นใจในตัวเองมากกว่านี้หน่อยสิ”
“หนูจะพยายาม!”
เธอดูมีกำลังใจ
ส่วนวี
“วีเธอใช้เล็บเยอะๆสิ”
“เล็บเหรอ แต่มันแค่ทำให้เจ็บๆเองอ่ะ หนูว่ามันยังขาดความแรง”
เธอดูผิวหวังกับตัวเองนิดๆตอนพูดอย่างนั้น
ความแรงหรือ? มันจริงที่ว่าพลังโจมตีที่แรงกว่า มันได้ผลมากกว่า
แต่
“ความเจ็บมันไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ และไม่ใช่ทุกคนจะทนไหวนะ เธอต้องคิดถึงเรื่องนั้นด้วย”
เธอยังดูไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ผมแค่ขอให้เธอได้เอาไปคิด
เพราะเล็บแมวมันคมมาก และเท่าที่ผมรู้ มันไม่ได้แค่ใช้ไปเรื่อยๆให้ทื่อลงแล้วค่อยๆงอก มันเป็นชั้นๆและสละทิ้งเมื่อเอาไปลับเล็บ มันเลยคมอยู่เสมอ
เพราะมันคมเมื่อโดนมันเจ็บมาก
“แล้วยิ่งเธอมีหลายนิ้วเมื่อโจมตีหนึ่งทีด้วย การโดนบาดสองสามแผลติดน่าจะเจ็บเยอะนะ ไม่น่ามีคนทนไม่เจ็บเลยได้เยอะหรอก พี่ว่าอย่างนั้น”
เธอพยักหน้า เอาไปคิด แต่ไม่มีพูดอะไรมากกว่านั้น และไม่ได้ดูมั่นใจมาก
เวลาผ่านไป มันสองวันกลายเป็นอาทิตย์ ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายผ่านไปสองเดือนอย่างช้าๆเหมือนเวลาค่อยๆคืบคลาน
“สุดท้ายเขาก็ไม่บุกมา”
ผมพูดคนเดียว มองออกไปนอกประตู พวกคนที่อยู่หน้าบ้านเริ่มเอาโต๊ะมาตั้งวงกินเหล้ากันแล้ว และดูมีความสุข
จากนั้นผมมาสังเกตว่าวีอยู่ข้างๆ
“ถ้าอย่างนั้น เขาจะวางแผนจัดการเราหนักขนาดที่พี่บอกจริงๆเหรอ?”
ผมหนักใจและตอบไป
“ไม่รู้ แต่ไม่แน่”
เธอมองและก้มมองพื้น ผมมองวิวที่อยู่ที่เตียง เธอเหมือนคิดท่าอยู่
มันเยอะพอแล้วมั้ง ผมว่า แต่ไม่เป็นไรยิ่งเยอะยิ่งดี ถ้าเธออยากใช้ ให้เธอได้เอามาใช้
ผมมองนา
เธอทำอะไรไม่ได้ เธอไม่ใช่นักสู้ ตอนนี้ไม่ใช่งานของเธอ
จากนั้นมีคนเคาะประตู
ผมให้วีกับวิวเข้าพร้อมประจำตำแหน่งข้างหลังผม และผมค่อยๆเปิดประตู
“ของมาส่งอ่ะน้อง”
“ครับ”
ผมตอบคนส่งของ
มันเป็นอาวุธ! ในที่สุดมันก็มา
ผมไม่คิดเลยว่ามันจะทัน ว่าเรายังไม่ได้สู้แม้มันนานขนาดนี้แล้ว มันโชคดี
ผมเอามาถือและรีบเอาไว้ก่อน คนส่งของยังส่งไม่เสร็จ
ผมรับของทั้งหมด มันเต็มไม้เต็มมือและผมเอาไปวางที่เตียง
จากนั้นผมถือกระบองของวีและวิวแล้วเอาไปให้พวกเธอ
“อาวุธมาแล้ว”
“โอ้ มาทันด้วยเหรอ? คาดไม่ถึงเลยนะ”
วีตอบค่อนข้างทึ่ง วิวรีบมา
“อะไรอ่ะ”
“อาวุธมาแล้วน่ะ”
“เย้”
วิวดูดีใจ
ผมให้พวกเธอเอาไปถือกัน และผมจับกระบองของผม
มันหนัก หนักกว่าดาบปรกติถึงสี่ห้าเท่า
การฟาดครั้งหนึ่งน่าจะทำให้กระดูกไม่หักก็ร้าว แง่หนึ่งมันก็เป็นอาวุธที่ค่อนข้างป่าเถื่อน
แต่ผมชอบมันมากกว่าเพราะมันไม่ได้เอาไว้สังหาร มันใช้เพื่อป้องกันตัวมากกว่า
เพราะปลายเป็นหัวกลม มันแทงได้พอได้เจ็บ
และมันจะไม่ถูกกันด้วยดาบเพราะถ้าเอาดาบกัน หัวกลมมันจะพาแฉลบ และแทงเข้าเป้าหมายอยู่ดี
ผมลองเหวี่ยงมันเล่นๆ
*แก๊ง แก๊ง แก๊ง*
วีกับวิวเริ่มเอามาเหวี่ยงใส่กัน
เดี๋ยวสิซ้อมในนี้มันอันตราย มีคนอยู่เยอะ
แต่เมื่อเห็นพวกเธอมีความสุข ผมตัดสินใจไม่พูดอะไร
อย่าคิดมาก
ผมเอามาเหวี่ยงฝึกให้ชินน้ำหนัก
สุดท้ายผมอดไม่ได้เอาไปเหวี่ยงซ้อมกับวีและวิว
แม้ว่ามันไม่ควร แต่ ของใหม่!
หลังจากซ้อมได้สักสี่ห้ายกผมได้รู้มาว่า เพราะมันหนักมาก ดาบน่าจะกันไม่ได้
มันน่าจะถึงดาบกระเด็นหลุดมือด้วยซ้ำถ้าถือดาบไม่แน่นมากพอ หรือไม่ก็ทำให้คนที่ป้องกันโดนดาบตัวเองและได้รับบาดเจ็บ
การตีเข้ากระดูกมันน่าจะหักเป็นส่วนใหญ่หรือถ้ามันไม่หักมันก็ร้าว
และอย่างการตีขามันน่าจะปัดล้มทันทีเมื่อตีเพราะมันหนัก
และมันไม่น่างอหรือบิ่นด้วยจากความภาคภูมิใจในคุณภาพของพี่อูลเค็น
งานของพี่อูลเค็น ช่างดวอร์ฟมันสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องพูดถึงราคา
แล้วมันยังส่งตรงเวลาอีกด้วย
เราซ้อมกันสักพักจากนั้นผมไปดูหน้าบ้าน
ซวยล่ะ พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อเห็นเราจัดหาอาวุธ
พวกเขาเริ่มเดินไปมา ทำหน้าเครียดคุยกัน
โต๊ะกินเหล้าที่พวกเขานั่งดื่มกันอยู่ก็เก็บไปแล้ว
หลายบ้านออกมามองกังวลพวกเขาน่าจะเรียกยามเมืองแล้ว แต่เหล่ายามเมืองทำอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บุกบ้านใครกัน
มันน่าโมโหที่ยามเมืองไม่ช่วยอะไร แต่บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ผมเรียกวีกับวิว
“วี, วิว”
วีรีบมาตามด้วยวิว
“มาแล้วเหรอ”
“อืม”
ผมตอบวีที่หน้าตาพร้อม
ส่วนวิวยังดูหน้ากังวลอยู่
ผมลูบหัวพวกเธอ
วีจับมือที่ลูบหัว ส่วนวิวยิ้มตอบ
พวกเธอเตรียมอาวุธให้พร้อมและทำใจมั่นๆ
ผมยิ้มให้พวกเธอ
“พี่เชื่อว่าเราจะผ่านไปได้”
ผมมองหน้าพวกเธอ
“พี่มั่นใจ ที่พี่ยิ่งกว่ามั่นใจ พี่เชื่อในพวกเธอนะ”
“ค่ะ”
“ค่ะ”
พวกเธอมีหน้าตาตั้งใจ
เราพร้อมทุกอย่างแล้ว
ในที่สุดมันก็ได้เวลาศึกแห่งบ้านนี้ เพื่อปกป้องพี่วาเนสซ่าและตัดสินชะตาของบ้านเด็กกำพร้าแห่งศิโร
ผมมองวีกับวิวอีกครั้ง หันหลัง เปิดประตูออกไป