กำพร้า ณ ต่างโลก - ตอนที่ 14 การแลกเปลี่ยน ณ ตลาด
14 การแลกเปลี่ยน ณ ตลาด
ผมกำลังฝึก มันนานเท่าไหร่แล้วผมฝึกต่อเนื่องมานานมากจนมันเริ่มไม่สนุก
ผมควรหยุด? หรือผมควรฝึกต่อ? ผมเหนื่อย
จากนั้นผมหยุดเพื่อคิด
แทนที่จะคิดว่าเหนื่อย ต้องคิดว่ามันเพื่อสิ่งที่ดีกว่าไหม!
ผมเปลี่ยนแนวคิด จากนั้นผมยิ้ม และกำลังจะหมุนตัวทุ่ม
“ฉันจะไปกับนาย!”
ผมตื่น ทั้งหมดนั่นเป็นฝัน
“นา จะไปไหนกับฉัน?”
“ฉันจะทำงานให้นายน่ะ ไม่ว่านายจะไปไหน ฉันจะไปด้วย!”
นาเด็กสาวเอลฟ์มืดผู้ผมชวนมาทำงานเป็นผู้จัดการกับผม เพื่อดูแลจัดการผม รีบตัดสินใจตั้งแต่เช้าตรู่
“นายรู้มั้ยฉันแทบไม่ได้นอนเลยเนี่ย! ฉันคิดทั้งคืน สรุปแล้วฉันจะทำงานให้นายยาวๆ แต่มีข้อแม้อย่างนึง”
“มีข้อแม้ด้วยเหรอ”
“นั่นน่ะสินา”
วีเด็กสาวกึ่งแมวกับวิวเด็กสาวกลุ่มแมงมุมกำลังวิ่งรอบเตียง เธอถามตอนวนมาเข้าใกล้
“มันเร็วไปนะไม่ได้คิดแต่เงินจริงๆเหรอ? ฉันกลัววันหนึ่งเธอจะไม่ชอบมัน”
ผมถามนาเธอรีบตอบ
“เรื่องเงินฉันก็ชอบแหละ แต่หลักๆเลยคืองานนายก็เหมือนเป็น เอ่ม เอ่อ”
จากนั้นหน้าสีเข้มๆของเธอแดง
“เหมือนเป็นแฟนกัน แถมนายอยู่ข้างนอกก็บ่อยด้วย”
นาพูดเบาๆ วิวหยุด วีนิ้วก้อยเท้าเตะขาเตียง นั่นน่าจะเจ็บ
“มันก็นะ เมื่อคิดดีๆมันก็ปฏิเสธไม่ได้”
“นั่นแหละฉันจะทำงานให้นายโดยที่ว่านายต้องคุ้มกันฉัน”
“ถ้าวันนึงฉันไม่ว่างล่ะ?”
“นายให้ใครเก่งๆมาคุ้มกันฉันก็ได้ แบบนี้ ฉันจะปลอดภัยไปตลอดชีวิต! แถมยังได้เงินอีกด้วย! ฮี่ฮี่ฮี่ มันดีที่สุดเลย!”
อย่างนั้นเหรอมันเหมือนการเพิ่มค่าจ้างให้เธอ แต่ถ้าผมยินดีจ่ายอย่างยิ่งถ้าเธอมีข้อแม้ที่มีเหตุผลแบบนั้น
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นมีอะไรที่อยากทำ แล้วทำไม่ได้ถ้ารับงานนี้ไป”
“เอ่อ อ้อ ใช่ ฉันอยากลองทำนา!”
“เธอต้องไปทำสามปีก่อนช่วงที่เธอสิบห้าถึงสิบแปดนะ”
“นั่นก็ใช่ มันนานอยู่นะ”
“แต่เธอก็ชอบอยู่ข้างนอกนี่ถ้าเธอชอบก็ไปทำนาดีกว่ามั้ง๋?”
“พี่วี”
วีพูด ดูไม่ค่อยพอใจ วิวดูอยากพูดแต่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ไม่ได้ดูโกรธด้วย
“ถ้าอย่างนั้นลองไปคุยกับพี่โดโรเธียกับฉันไหม ว่าสิบสี่เธอจะไปลองทำนาสัญญากับเธอว่า 1 ปี ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนมาทำงานกับฉัน”
“นั่นฟังดูดีนี่ ไปกันเถอะ!”
เธอจับผมดึงไประหว่างผมกำลังยกเตียง
“วีกับวิว มาด้วยกัน ต้องให้โดโรเธียเห็นว่ามีคนเยอะ”
พวกเราสี่คนเดินไปเคาะห้องพี่โดโรเธีย
“เราสี่อิสระค่า”
สี่อิสระ? นาผู้ลากผมตั้งชื่อน่ารักดี คนที่ผมลากไกลๆวีและวิวกำลังเดินตามมา วีลากขาและวิวเดินรอ
“มากันหมดเลยเหรอ? เข้ามา”
เสียงพี่โดโรเธียตอบกลับ จากนั้นพวกเราเข้าห้องไปตามๆกัน
เมื่อเข้ามาในห้องทำงานเล็กๆสี่คนนั้นแทบจะเต็มห้อง พี่โดโรเธียวางหนังสือ
“มากันครบเลยนะ หมายเลขหนึ่ง, สอง, สาม, และแปด การประท้วงแรกของที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เรียกว่ามาหารือเพื่อเปลี่ยนกฎดีกว่าครับ”
“อภิปรายอย่างนั้นเหรอ? ได้สิเข้าเรื่องเลย วาเนสซ่า ฉันขอชาที”
พี่วาเนสซ่าสาวเอลฟ์ผู้ยี่สิบปลายแต่หน้าตายังดูสาวหันมามองผมและมองพี่โดโรเธียหลายครั้ง
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังน่า ไม่เปลี่ยนเลยนะเธอเนี่ย”
“ค่ะ”
จากนั้นพี่วาเนสซ่าไปชงชา ผมเริ่มพูดก่อนพี่วาเนสซ่าออกไป
“เราจะมาชี้แจงการเปลี่ยนกฎเกี่ยวกับกลุ่มเราผู้ทำงานครับ”
ผมได้ยินเสียงเปิดประตูแต่ยังไม่ปิด
“โดยจะมาชี้แจงว่าพวกเราเห็นว่าการต้องไปทำงานสามปีนั้นนานเกินไป เพราะเราเคยทำงานมาก่อนหน้านั้นแล้ว”
ผมได้ยินเสียงปิดประตู
“เพราะ?”
“เพราะเราเข้าใจการทำงานแล้ว สำหรับเรามันเหมือนการลงโทษที่ไม่ได้รีบหางานทำมากกว่าทั้งๆที่เรามีงานกันแล้ว เราเลยจะขอลดเหลือให้ไปทำงานที่ไหนก็ได้เองปีเดียวตอนอายุสิบสี่”
“อย่างนั้นเหรอ ขอฉันคิด”
เธอหยิบกระดาษจากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยและเขียน นานไปสักพักชาก็มา
พี่โดโรเธียจิบ จากนั้นหลับตา
มันผ่านไปสักพัก
“ฉันเห็นด้วย”
“เย่ะ-”
“ชู่ สำรวม”
วิวกำลังจะดีใจแต่ผมรีบหยุดเธอก่อน พวกเราหันไปยิ้มให้กัน
“กฎมันจะคืออะไรครับ?”
“พวกเธอต้องไปจากที่นี่ตอนสิบสี่ โดยที่พวกเธอจะไปเลือกงานอะไรก็ได้ถ้าคิดว่าไหว และไปอยู่ที่ไหนก็ได้กันเองสักปีโดยไม่มีค่าเช่าถูกๆจากที่นี่ แล้วถ้าระหว่างหนึ่งปีนั้นกลับมา เธอต้องไปทำงานสามปีเหมือนคนอื่น”
ถ้าอย่างนั้นผมจะใช้ต้นราชพฤกษณ์หน้าบ้านซึ่งผมใช้น้ำมันหากินไม่ได้แล้ว ผมต้องบอกให้พี่โดโรเธียหาประโยชน์จากมันทีหลัง
“เห็นด้วยครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะขอชี้แจงให้พี่โดโรเธียพิจารณาการหาประโยชน์จากต้นไม้หน้าบ้านให้ที่นี่ เพราะที่ผ่านมารายได้ที่ผมได้มาจากต้นไม้นั้นมีดังนี้…”
พวกเราออกมากินข้าวเที่ยงแล้วนอนกลางวัน ผมบอกให้วีกับวิวหยุดวันนี้และไปตลาดกับผมกับนา เพราะทั้งหมดพวกเราทำแค่อุ่นเครื่องรอบเตียงอย่างเดียว
แม้พวกเธอไม่ค่อยเต็มใจเล็กน้อยแต่พวกเธอยอมมากัน
พวกเราแต่งตัวไปตลาดกันผมใส่เสื้อเรียบร้อยที่ไว้ทำงานของผม วีใส่แขนกุดมีลูกไม้วิวใส่เสื้อน่ารักๆระบายแต่งเยอะ นาไม่ยังไม่มีเสื้อผ้าอะไรเลย เธอใส่เชิ้ตสีเทา กางเกงสามส่วนสีดำ
เราพากันเดินไปเรื่อยเมื่อไปถึงตลาด เราเดินผ่านร้านดาบ เข้าสู่ร้านหนังสือ มีคนอยู่ในร้าน ประมาณ 5 คนมันแน่นๆนิดหน่อย
“สวัสดีครับพี่สติ๊ว”
“เอ้าว่ายังไงวารี”
พี่สติ๊วเจ้าของร้านหนังสือเธอผมยาวดูแลดี ตัวอวบขึ้นอย่างเห็นได้ อายุประมาณสามสิบกลางๆ ดูสมบูรณ์มีกินมีใช้มากขึ้นกว่าเดิม กิจการดีหรือ?
“ผมมาซื้อหนังสือครับ”
“เอ๋? วันนี้ไม่เช่าเหรอ? มีตั้งหลายเรื่องที่ฉันจะแนะนำ”
วี, วิว, และนาพากันไปดูหนังสือ
“ไม่ครับวันนี้ผมมาซื้อ การซื้อคราวนี้ค่อนข้างสำคัญ”
“อย่างนั้นเหรอ ได้สิ เอาหนังสืออะไรบ้างเดี๋ยวพี่หยิบให้”
“ว่าแต่กิจการดีแน่นอนเลยใช่มั้ยพี่ ช่วงนี้ดูดีขึ้นเยอะนะ”
“โอ้โหน้องเอ๋ยพี่ล่ะไม่อยากจะพู้ดดดไม่อยากจะพูด ที่พี่ขอความคิดน้องมาใช้ ไอ้ที่ให้เช่าหนังสือน่ะ คนนะ แห่กันมาเช้ายันเย็นไม่ขาดสาย-”
“เรื่องนี้เช่ากี่เงินพี่”
“ครู่นะจ้ะ น้อง! ดูลูกค้า!”
เธอหันไปตะโกนให้คนหนึ่งผู้น่าจะเป็นพนักงานที่ยืนอ่านหนังสืออยู่ดูอวบๆแต่ไม่เท่าพี่สติ๊ว
พวกเธอพาลูกค้าออกห่างพวกเรา
“จากนั้นน่ะพี่ต้องจ้างคนนู้นมาทำนั่น คนนั้นมาทำโน่น โหยยย พี่นี้แทบจะผอมไปเลยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“มันดีจริงๆเลยนะครับ ยินดีด้วย”
“นั่นแหละนะ ขอบคุณจ้ะ ว่าแต่จะซื้ออะไรมั่งล่ะ”
“พาไปที่เงียบกว่านี้ก่อนมั้ยครับ และผมแนะนำให้พี่เอากระดาษจด”
“ได้จ้า มานี่มา”
ผมไปหลังร้านกับพี่สต๊ว
—มุมมองวี—
วันนี้มันน่าเบื่อ!
พวกเราไม่ได้ฝึกกันเลย พี่วารีพูดๆๆๆๆ จากนั้นพี่โดโรเธียก็เห็นด้วยๆๆ แม้มีการไม่เห็นด้วยอยู่ไม่กี่ครั้ง สุดท้ายก็เปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่เปลี่ยนๆๆ พี่วารีพูดอะไรก็ได้หมดนั่นแหละ! ไม่เห็นต้องคิดนานเลย!
ฉันมองดูพวกหนังสือโดยไม่ได้สนใจมันมาก นาเลือกของเธอไป วิวก็เลือกของวิวไป
ไหนจะนาจะมาอยู่กับเราอีก! แล้วนาบอกว่ามันเหมือนเป็นแฟน! แต่พี่วารีไม่ปฏิเสธ! มันหมายความว่าอะไรพี่วารี! ถ้าได้ฝึกคู่กันนะ หนูจะข่วนหน้ารัวๆให้สามแต้มเลย!
แต่กฏที่พี่เขาเปลี่ยนนั้นก็เพื่อพวกเราและตัวเขาด้วย บ่นก็ไม่ได้อีก!
“จึ”
วิวหันมามองฉัน ทำหน้าตากังวลเล็กน้อยและเลือกหนังสือต่อ
“นา”
ฉันเรียกนา
“เธออยากเป็นแฟนพี่วารีเหรอ?”
“เอ๋? ม่ะ-ไม่นะ เปล่าเลยนะ”
“แล้วทำไมเธอพูดถึงว่ามันเหมือนเป็นแฟน”
วิวถามมั่ง ทำได้ดีมากวิว!
นาหันซ้ายหันขวาหันไปมองข้างหลังแล้วรีบไปเลือก นั่นมันนิยาย!
เราตามไปติดๆ
“ถ้าอย่างนั้นเธอคิดยังไงกับพี่วารี?”
“อ่ะ-เอิ่ม พี่เขาดีนะ ให้งานฉันทำ เงื่อนไขก็ดี้ดี ถ้าคิดดีๆทำแล้วสบาย ได้เงินเยอะ ง่ายอีกต่างหาก จากฉันที่ไม่มีอะไรเลย”
จากนั้นเธอก้มหน้าปากตก ฉันมองหน้าวิว วิวส่ายหน้าน้อยๆ แต่ฉันยังไม่จบ ตบกับฉันสิ!
“เรื่องความรัก แล้วถ้าหนีฉันจะกัดหูเธอ!”
“พี่วี นั่นมากไปนะพี่”
“พี่ต้องรู้ให้ได้!”
“ฉัน-ฉัน”
นาลากเสียงยาวๆ
“ฉันไม่รู้”
จากนั้นพูดเสียงเบาๆ
ตอบแบบนี้แล้วฉันจะตอบโต้ยังไง ยัยนา! มันเป็นตัวเธอ เธอต้องรู้!
วิวหลับตาปี๋คิ้วขมวดแล้วเอามือมาจับคาง
“หนูคิดออกแล้ว หนูคิดออกแล้ว!”
วิวเสียงดังขึ้นมา
“เรามาทำสัญญากันเราสามน้องวารี แต่เราอยากถามความรู้สึกเธอก่อน”
สัญญา? ถามความรู้สึก? ไม่ต้องถามหรอกทำสัญญาเลยวิว!
“ถ้าวันนึงตอนเธอ 15 พี่วิวมาขอเป็นแฟน-”
นาหน้าแดงอีกแล้ว เรากำลังเคืองเธออยู่นะนา!”
“จากนั้นพอพี่เขา 21 พี่เขามา-”
—มุมมองบุคคลที่สาม—
เด็กสาววัยน่ารักทั้งสามทำสัญญาความรักกันต่อไป โดยแม้พวกเธอจะอยู่ในร้านใหญ่ที่มีหนังสือซ้ายขวา
สำหรับพวกเธอเรื่องรักของเธอสำคัญกว่าในตอนนี้
ลูกค้าผู้อยู่ข้างๆเธอ กำลังอ่านหนังสือความรักของ 7 คน เล่มสี่ การตีกันของเราทั้ง 7 โดยยิ้มกริ่มเงี่ยหูฟังพวกเธอไปด้วย
พนักงานร้านผู้อยู่ต่อจากเธอกำลังตั้งใจรอลูกค้าพร้อมอยู่อย่างแข็งขัน เพราะเธออ่านเวลามีคนมาก่อนหน้านี้ เธออาจถูกตำหนิได้
ประตูไปห้องหลังร้านที่มีไฟจ้าเหมือนตัวร้านอยู่ข้างใต้ช่องว่างของประตูกำลังมีเด็กหนุ่มกับผู้หญิงกำลังคุยเรื่องงานกัน
ไฟนั้นมาจากสัตว์รู้ปร่างประหลาดขาสั้นๆ หางยาวๆ หัวเมือนงูที่เมื่อได้กินอาหารวันละนิดเดียวก็จะปล่อยแสงจ้าให้คนในห้องทั้งหมดได้เห็น มันชื่อว่าลิช
จากนั้นเมื่อเข้าไปในห้องสติ๊วกำลังกดเบเรชหนุ่งสัตว์ตัวคิดเลขที่มีกระดองเป็นกระดานขรุขระมีนุ่ม มีเส้นตีแบ่งกรอบกลุ่มสัญลักษณ์แปลกๆ
ทุกคนในโลกรู้ว่าสัญลักษณ์นั้นคือตัวเลขที่สลับไปไม่มีลำดับ ยกเว้นวารีกับเหล่าเด็กสาวๆน้องเขา
ที่สัตว์สื่อสารได้แต่ยังไม่ถูกต้องนักเพราะสิ่งที่มนุษย์ทำอย่างแรกคือเลี้ยงสัตว์ และเหล่าสัตว์ส่วนใหญ่เข้าสู่ยุคสัตว์เลี้ยงตั้งแต่นานนม
มนุษย์ขยันเลี้ยง ขยันปรับสายพันธุ์ให้เหมาะแก่การเลี้ยงมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งพวกมันเริ่มกลายพันธุ์กลายเป็นกึ่งมนุษย์ จากนั้น ที่ทุกคนเป็นมนุษย์กลายเป็น “ทุกคน”
แต่คนมาขัดแย้งกันเสียเองจนลืมเลี้ยงมันไปยาวนาน
—มุมมองวารี—
“จากนั้นจะมีอักขระที่เธอต้องไปจำขึ้นมา เด้งขึ้นมา ปึ้ง! แบบนี้แหละ! ถ้าแบบนี้แปลว่าทั้งหมด 131 ทอง”
ผมต้องสร้างห้องเก็บหนังสือกับที่นั่งอ่านไว้หลังบ้านเด็กกำพร้า ไว้เป็นห้องสมุดเล็กๆสำหรับเก็บหนังสือที่นนาจะอ่านและหัดใช้ตัวคิดเลข เข้าใจแล้ว
“พี่เลือกหนังสือที่พี่คิดว่าเหมาะสำหรับเด็กสักประมาณ 50 ทองด้วยนะครับ”
“ได้สิ”
“แล้วก็เดี๋ยวดูด้วยว่าเพื่อนผมซื้ออะไร จากนั้นก็รวมของเธอด้วย นั่นแหละครับทั้งหมด”
“ได้จ้า”
พวกเราพากันเดินออกนอกห้องและเข้าเดินไปหาวี, วิว, และนาพวกเธอแต่ละคนดูอารมณ์ไม่ดีแต่ไม่พูดอะไรกัน พวกเธอเป็นอะไร?
ผมไปยืนข้างๆ นิ่งๆ พวกเธอไม่ทักทายผม วียืนกอดอก วิวเลือกหนังสือดูเศร้าๆ นากำลังอ่านหนังสือคิ้ว, หรี่ตา, และแยกเขี้ยวน้อย พี่สติ๊วเดินมา
“เอ้าสาวๆเอาหนังสืออะไรกันเลือกกันได้ยัง?”
“หนูไม่ซื้อวันนี้ค่ะ”
“หนูเอาเล่มนี้ค่ะ”
“หนูเอา เอ่อ เล่มนี้ เล่มนี้ อืม เล่มนี้อีกเล่ม!”
วีไม่ซื้อเลย นาเลือกเล่มที่เธอกำลังอ่าน วิวเลือกสุ่มๆมา
จากนั้นพี่สติ๊วเดินออกไปห้องหลังร้านสักพัก ผมหันไปถามวี
“ทำไมพวกเธอดูอารมณ์เสียกันล่ะหือ?”
“บอกไม่ได้!”
วีรีบตอบ พวกเธออีกสองคนไม่พูดอะไร อย่างนั้นเหรอ เธอไม่พอใจกันแต่ไม่ได้ทะเลาะหรือด่ากัน เธอตกลงกันแล้ว หรือยังไม่ได้ตกลงกันล่ะ? แม้ผมสงสัย ถ้าเธอบอกไม่ได้ ก็หมายถึงไม่ได้ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่การตื้อใช้ได้
“อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ลองเลือกดีๆมีอะไรอีกมั้ย”
“ไม่เหมือนว่าเรามาที่ไม่ได้อีกนะพี่วารี”
“นั่นสินะวิว ไว้วันหลังก็ได้”
พี่สติ๊วออกมาจากหลังร้าน ระหว่างเธอเดินผมมองดูเหล่าผู้คนภายในร้านที่สว่างด้วยสัตว์ปล่อยแสงคล้ายกิ้งก่าผู้อยู่นิ่งๆ
“นั่นเรียกว่าอะไรพี่”
“ลิชตัวปล่อยไฟ กินข้าวคำนึงแล้วปล่อยไฟทั้งคืนถ้าไม่ได้ยืนอยู่บนต้นไม้, หญ้า, และพื้นดิน มันจะไม่ไปไหน”
“อ่อ ขอบคุณครับ”
“ทั้งหมด 214 พี่ลดให้เหลือ 199”
“ขอบคุณมากๆครับ ใจดีจัง ขอให้รุ่งเรือง”
ผมยิ้มและยื่นมือไปจะจับมือพี่สติ๊ว
“แหม เกินเด็กจังนะเธอเนี่ยวารี มานี่เลย ฉันล่ะหมั่นไส้เธอมานานละ!”
เธอสวมกอดผม แต่เพราะผมรู้ว่าเธอจะเข้าหาโดยไม่มีเจตนาสู้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันหรือเลี่ยงหลบ แม้เธอจะทำร้ายผม ผมตัดสินใจแล้วว่าเธอไม่ใช่ภัยเพราะผมฝึกมามากจนตัดสินว่าเอาชนะเธอได้
“อื้มมมมมม!”
เธอกอดผมค้างสักพัก ยกขึ้น และวางลง
“หนักดีนะ แต่ไม่อ้วน? แปลกดี ไม่เคยเห็นที่ไหนเลย”
ไม่มีการเพิ่มน้ำหนักกล้ามเนื้อกันในโลกนี้หรือ? ผมเก็บคำถามนั้นไว้ในมุมใจไปวิเคราะห์วันหลัง
“ไปละครับ แล้วเจอกันพี่”
“จ้า จ้า หัดไปเล่นไปเลิ่นให้เหมือนเด็กๆมั่งนะเราน่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ครับ”
เราออกจากร้านหนังสือกันมา เราไปที่ร้านเสื้อผ้าเพื่อให้นาเลือกชุดที่เธอใส่บาย เธอเลือกเสื้อกล้ามใส่ทับในพร้อมกระโปรงสั้น เพื่อให้ผิวรับแดดได้หรือ? เราออกจากร้าน
“ไปเลือกของกินเล่นที่อยากกินมาสักอย่างแล้วมารวมกันที่นี่แบบเร็วๆ พี่จะเดินอยู่ซอยนี้แหละ วีฝากซื้อเนื้อแห้งให้พี่ทีครับ”
“กับหนูไม่ต้องสุภาพได้มั้ย! หนูบอกหลายทีแล้ว”
“จ้า จ้า พี่จะเปลี่ยน”
ผมนำความคิดที่ว่าต้องเลิกพูดสุภาพกับวีมาไว้ลำดับความสำคัญหนึ่งในสิบ เธอบอกผมมาหลายครั้งแล้ว
ผมดูร้านขายของชำข้างๆ แล้วเดินออกไปให้กลางซอยย่านร้านแผง
ผมมาที่นี่หลายครั้งจนผมจำได้แบบไม่ต้องคิดแล้วว่าร้านไหนส่วนใหญ่อยู่ตรงไหน ดังนั้นจริงๆแล้วผมแค่ดูพ่อค้าแม่ค้าคุยกัน ไม่นานเหล่าสามสาวก็มา
“มาแล้ว อ่ะนี่เนื้อแห้ง”
“ขอบใจนะ”
พวกเราเดินกันมาร้านช่างเหล็กเจอพี่ดวอร์ฟวัยกลางคนตัวกำยำ พี่อูลเค็นใส่เสื้อกล้ามแสดงกล้ามปูดเยอะมากกว่าเมื่อแปดปีที่แล้ว
“หวัดดีพี่”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัดดีค่ะ เอิ่ม ทำไมเรามาที่นี่อ่ะ?”
“ว่าไงคะพี่”
“ว่าไงเหล่าเด็กหนุ่มสาวเป็นไงบ้าง”
ผมยิ้ม
“ดีครับ แล้วพี่ล่ะ?”
เขาถอนหายใจ
“ตอนแรกพี่ก็ขายดีอยู่เพราะคนพากันซื้อเกราะโซ่แบบที่น้องสั่งทำตอนนู้นให้เหล่าลูกหลานหรือคนรักของพวกเธอ”
“มันไม่หนักไปเหรอ?”
“นั่นแหละ ลุงเลยไม่ได้ทำเป็นเหล็กไร้มลทินแต่ขายเป็นเกราะเหล็กอ่อนแทน แม้มันอ่อนแต่มันเหนียว มันขายดีมาสักพักใหญ่ จนพี่สอนเจ้าพวกลูกสิทธิ์นี้ได้”
เขาชี้ไปที่เหล่าลูกศิษย์ของเขาข้างหลังด้วยนิ้วโป้ง มีดวอร์ฟเหมือนกันตีเหล็กอย่างเร็วและแรง จากนั้นน่าจะเป็นกึ่งควาย เขามีเขาตัวใหญ่มีกล้าม ตีเหล็กแรงกว่าเหมือนแข่งกันอยู่
“แต่พอข่าวลือว่าที่นี่ผลิตเกราะออกไป มีกลุ่มคนคนมีแผลเป็นหลายที่ทุกคนมาถึงก็ทำตัวอันธพาลพูดหยาบคายที่ดูน่าสงสัยว่าเป็นกลุ่มโจรค่อนข้างจะแน่นอนพากันมาเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อพากันซื้อ แต่พี่ไม่ขาย เมื่อดูจากทรงมันไม่น่าไว้ใจ หลังจากนั้น เขาให้คนแปลกๆมาขอเหมือนจะรีบๆซื้อ ฉันก็ไม่ขายเขามีคนเปลี่ยนมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ฉันเลยหยุดขายมาสักพักแล้วสอนเจ้าพวกนี้ได้ออกไปหลายคนแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ แย่จังนะพี่”
“อืมนั่นแหละเรื่องที่ลุงเจอ เอาล่ะซื้อหรือสั่งได้เลย”
“ผมจะทำไม้เหล็กไร้มลทิลเป็นเหลี่ยมๆเกือบกลม พี่ทำได้มากสุดกี่เหลี่ยม?”
“หืม? ได้เก้าแต่ราคาจะสูงนะ”
“ได้ครับ ยินดี จากนั้นทำหัวโค้งเหมือนค้อนหัวโค้ง แต่ไม่แหลม มีด้ามจับ-”
“แป้ปๆ!”
เขาเดินไปหยิบกระดาษพิมพ์เขียว, ดินสอสีดำ, และไม้ตีเส้นมา
“งานนี้สำคัญใช่มั้ย”
“ครับ มันจะกลายเป็นอาวุธหลักของพวกเรา”
“อืมๆ ขอเขียนแบบแป้ปเดียว”
เขาเขียนแบบอย่างรวดเร็วมากเหมือนนักเขียน ตีเส้นวาดและเขียนรายละเอียด เมื่อดูพี่เขาทำงานมันไม่รู้สึกว่านานเลย
“ต่อๆ”
“มีด้ามจับกันลื่นดีที่สุด, กระบังกลมแบบกันมือพี่ได้, และมีส่วนโค้งป้องกันกันจากการฟันมือ แต่กว้างแค่แค่ครึ่งของครึ่งกลม”
ไม่นานเขาก็วาดเสร็จ ดูแบบไม่นาน จากนั้นวิ่งไปหลังร้าน แล้วก็หยิบก้อนแร่เหล็กแปลกๆมาแล้วรีบพูด
“ฉันจะขอแนะนำนี่ ถ้านายจะใช้ไปนานนม เหล็กผู้บุกเบิก!”
“มันคืออะไรครับ?”
“มันเป็นเหล็กในตำนานตั้งแต่ยุคสร้างที่หาที่ไหนไม่ได้แล้ว มีคนไม่รู้ราคามาขายให้ฉันดูรีบๆเหมือนมองมันเป็นขยะ ฉันเลยได้ราคามาถูก แต่ราจริงมันแพงมากๆ นายจะทำกี่อัน?”
“ตามแบบหกอัน กับมีดคมเดียวปลายโค้งหลังเล่มมีดเป็นฟันปลา สามเล่มครับ”
เขาไปคำนวณเลขบนกระดาษ
“มันน่าจะใช้ครึ่งหนึ่งของนี่ ถ้าอย่างนั้นมันจะ 200 ทอง มันแพงแต่เหล็กนี่ดีที่สุดแล้วในโลกนี้ตอนนี้ พี่จะเอาเงินไว้ไปพักร้อนที่คอสตาแลนด์กัลกัลพี่อยากเที่ยวดูทะเลที่นั่นบ้าง”
ผมเชื่อใจเขา แต่ราคามันสูง
“ได้ครับแต่พอทำเสร็จแล้วก่อนจ่ายผมจะลองเอาอันตามแบบหวดดาบไร้มลทิลแล้วเอาดาบไร้มลทินฟันมันทดลอง ถ้ามันบิ่นแล้วเหล็กไร้มลทินไม่เป็นไร ผมซื้อแน่นอน”
“ได้เลยน้องเอ๋ย ยินดี!”
มีการรับประกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมก็สบายใจได้
“ใช้เวลานานเท่าไหร่ครับ?”
“หนึ่-สอง! สองเดือนน้อง”
มันค่อนข้างนาน แต่นี่คืองานใหญ่ ดังนั้นมันไม่เป็นไร
ผมยื่นมือไปจะจับมือพี่เขา
“เอาน่า นายอุส่าห์ซื้อเจ้านี่”
เขาสวมกอดเหมือนพี่สติ๊ว แต่มันเจ็บกว่า แต่ก็ไม่มากจนผมมีอาการ ผมกอดเขาคืนเบาๆ ตบหลังครั้งสองครั้ง แล้วเขาก็ปล่อย
“ฟู่ เสร็จแล้วนะ”
“ครับ เรียบร้อยแล้ว ผมกลับบ้านแล้วนะครับ”
“อื้มๆ เจอกัน”
ผมคำนับเล็กๆแล้วเดินออกจากร้าน
“เอ้าถอยๆฉันจะทำงาน!”
ผมได้ยินเสียงเขาก่อนพ้นจากร้าน
ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จสักที กว่าจะเสร็จ อีกสักพักใหญ่มันก็จะเย็นแล้ว ดี! มีเวลา!