การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 2 ปัญหาในความเงียบ
- Home
- All Mangas
- การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก
- ตอนที่ 2 ปัญหาในความเงียบ
กองไฟยังคงลุกไหม้โชติช่วง ลีโอยืนอยู่ไม่ไกลจากมันนั้นมากนัก เขามองไปยังความมืดที่พวกโจรวิ่งหนีไป ความเงียบเข้าครอบงำพื้นที่รอบตัว ยกเว้นเสียงลมและเสียงแตกเบาๆ จากกองไฟ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเงียบงัน ไม่ใช่เพราะความอ่อนล้าจากการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีความสับสน และความหวาดระแวงต่อสิ่งที่เขาเพิ่งเห็น
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็รวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยปากถามออกมา “ท่านใช้เวทมนตร์แบบนั้นได้ยังไง?”
ชายผมยาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เวทมนตร์ไหน?”
“สิ่งที่ท่านทำกับพวกโจรเมื่อครู่” ลีโอพูดต่อ “มันไม่เหมือนเวทมนตร์ทั่วไป ข้าเคยอ่านมาบ้าง แต่ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันดู… ซับซ้อนเกินไปหน่อย”
“ข้าเพียงแค่ปกป้องตัวเอง”
“แค่นั้นหรือ?” ลีโอหันกลับมามองเขา “ท่านพูดราวกลับว่า ที่ท่านทำลงไปเมื่อครู่นี้ เป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาอย่างนั้น”
“ใช่แล้ว… ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ชายประหลาดตอบสั้นๆ
ลีโอหวนคิดถึงสิ่งที่เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์มาในอดีต เขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนจริงจัง แค่มีพื้นฐานความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้น แต่สิ่งที่เพื่อนร่วมแคมป์ทำเมื่อครู่นี้ มันต่างจากเวทมนตร์ธรรมดา ที่เขาเห็นจอมเวทคนอื่นใช้กัน แต่ให้พูดกันตามตรง เขาก็ไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับจอมเวทบ่อยนักในชีวิตนี้ อาจจะยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้ก็เป็นได้
“ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่แค่เวทมนตร์ธรรมดาแน่ๆ” ลีโอกล่าว
“เวทมนตร์ที่ข้าใช้ก็เพียงแค่การเจรจากับจิตวิญญาณรอบๆ ตัว จิตของสิ่งแวดล้อม ของธรรมชาติ และจิตของข้าเอง” ชายแปลกหน้าพูดเรียบๆ “การใช้เวทมนตร์ ก็เพียงแค่การทำความเข้าใจ และทำให้จิตของสิ่งต่างๆ ทำในสิ่งที่เราต้องการ ซึ่งก็มีหลายวิธี”
“เจรจา?” ลีโอมองหน้าเขาอย่างสับสน “ข้าก็เพิ่งเคยได้ยินคำอธิบาย เกี่ยวกับเวทมนตร์แบบนี้นะเนี่ย”
“จิตของโลกใบนี้มีอยู่ทุกที่” เขาตอบ “การใช้เวทมนตร์ก็คือการติดต่อกับมัน ขึ้นอยู่กับว่าคนใช้เวทมนตร์จะทำอย่างไร บางคนใช้คำร่ายเพื่อสื่อถึงพันธะสัญญา บางคนใช้ความศรัทธา การอธิฐาน บางคนเพ่งจิตของตนเองออกมา และกระตุ้นจิตของสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตบางชนิดก็ทำมันได้โดยสัญชาตญาณ โดยไม่ต้องฝึกฝนอะไร”
“ถ้าอย่างนั้น… ท่านเป็นใครกันแน่?” ลีโอถามอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งเขาได้ฟังคำอธิบายเมื่อครู่ ความสงสัยในตัวชายผู้ลึกลับคนนี้ยิ่งทวีคูณ
ชายประหลาดกลับยิ้มเล็กๆ อีกครั้ง “ข้าเป็นแค่นักเดินทาง เหมือนกับเจ้า ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
ลีโอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา แต่เขาก็รู้ว่า คงไม่สามารถบังคับให้ชายคนนี้พูดออกมาได้ หากเขาไม่อยากบอกด้วยตนเอง เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ เราก็คุยกันสักพักแล้ว ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกัน ข้าชื่อลีโอฟริก วาเลมอนต์ ท่านชื่ออะไร?”
“เรียกข้าว่าอาร์วินก็พอ” ชายผมยาวแนะนำตัว
“งั้นท่านเรียกข้าว่าลีโอแล้วกัน คนส่วนมากก็เรียกข้าแบบนั้น” เขาตอบพร้อมกับนั่งลงข้างกองไฟ
“แน่นอน ลีโอสินะ ข้าจะจำไว้ก็แล้วกัน” อาร์วินยิ้มให้กับเขา
ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง ขณะที่แสงไฟจากกองไม้ค่อยๆ มอดลง แต่ในหัวของลีโอ ยังเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ
เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวของชายที่ชื่ออาร์วินนี้ บางทีเขาอาจะต้องพยายามสืบภายหลัง แต่ตอนนี้คงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน และหลับให้เต็มอิ่มเพื่อที่จะได้เดินทางต่อ
ลีโอตื่นขึ้นมาในป่าพร้อมกับเสียงนกร้องยามเช้า และแสงที่สาดลงมาผ่านแมกไม้ เขามองไปยังอาร์วินที่อยู่ไม่ไกลนัก ความคิดแรกของเขาคือการกลับไปที่เมืองใกล้ๆ นี้ก่อน นั่นคือที่ที่เขาจะรู้สึกปลอดภัยกว่าการเดินทางตามลำพังในป่าแบบนี้
“ใกล้ๆ จากที่นี่ คือเมืองลูเมนฟอร์ด ข้าจะเดินทางไปที่นั่น” ลีโอเอ่ยขึ้น ขณะที่เขาสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า “ข้าจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าเชื่อว่ากิลด์กงล้อก็คงอยากจะรู้ข่าว เกี่ยวกับรถม้าที่ไปไม่ถึงที่หมายของพวกเขา”
อาร์วินพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นสินะ”
ลีโอรู้สึกว่าคำตอบของอาร์วินฟังดูเรียบง่ายเกินไป เขามองชายคนนั้น และสงสัยว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
“แล้วท่านล่ะ?” ลีโอถามพลางมองเขา “ท่านจะไปที่ไหน?”
อาร์วินเงยหน้ามองลีโอและยิ้มเล็กน้อย “ข้าคงจะตามเจ้าไปที่เมืองด้วย”
ลีโอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านจะไปกับข้า?”
“ไม่ได้งั้นหรือ?” อาร์วินตอบ “ข้าเองก็ไม่อยากเดินทางคนเดียว ในป่าที่เต็มไปด้วยโจรแบบนี้”
แม้ว่าคำตอบของอาร์วินจะฟังดูมีเหตุผล แต่ลีโอยังคงอดสงสัยไม่ได้ ชายคนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การมีเพื่อนร่วมทาง ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น อย่างน้อยก็จนกว่าจะกลับถึงเมือง
ทั้งสองออกเดินทางไปตามเส้นทางในป่า ลีโอมองไปตามข้างทาง เพื่อหาสัญญาณของอันตรายเพิ่มเติม ระหว่างทาง พวกเขาพบกับสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ต้องหยุดชะงักลง
“นั่นอะไร?” ลีโอหยุดเดินและชี้ไปยังร่างที่นอนนิ่งอยู่ในพงหญ้า
ทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้ ศพของชายคนหนึ่งนอนคว่ำอยู่กลางทาง เขาน่าจะตายไปแล้วเนื่องจากไม่มีการตอบสนอง ส่วนชุดเสื้อผ้าดูมอมแมม และขาดรุ่งริ่งอย่างดูไม่ได้ อาร์วินย่อตัวลงเพื่อตรวจดูศพใกล้ๆ ลีโอกลืนน้ำลายดังอึก ในใจเขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก ศพถูกอาร์วินพลิกอย่างช้าๆ ก่อนที่ใบหน้าจะปรากฏชัดขึ้น
“นี่มัน…” ลีโอจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง เขาจำใบหน้านี้ได้ “…หนึ่งในพวกโจรเมื่อคืน”
อาร์วินคลำบนร่างของศพ ดูรอยฮีกของเสื้อและแผลบนตัวเขา ดูเหมือนเขาจะตายจากการสูญเสียเลือดจากของมีคม “แผลลึกเหมือนกัน ข้าจำไม่ได้… นี่ใช่รอยแผลที่เจ้าทำไหม?”
ลีโอส่ายหน้า เขาโจมตีไปที่แขนของโจรคนหนึ่ง เป็นรอยเฉือนเท่านั้น ไม่ใช่แผลที่เอวที่ลึกขนาดนี้ อาร์วินพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะชี้ให้ดูอะไรบางอย่าง “ข้าก็ว่าไม่น่าจะใช่ดาบของเจ้าเหมือนกัน… มีรอยไหม้ตรงรอยเสื้อที่ขาดนี่ด้วย”
“มันแปลกมาก…” ลีโอขมวดคิ้ว มองแผลที่อาร์วินตรวจสอบ “ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน อาวุธอะไรที่จะมีรอยเผาบนผ้าแบบนี้ แล้วยังจะเฉือนเข้าใปในเนื้อได้อีก?”
“อย่างน้อยก็ไม่น่าใช่พวกเราทั้งคู่ที่ฆ่าโจรคนนี้” อาร์วินยิ้ม ก่อนจะหันมาถาม “เจ้าต้องรายงานเรื่องนี้ที่เมืองด้วยไหม?”
ลีโอมองหน้าอาร์วินเล็กน้อย “ไม่… พวกเขาคงเป็นคนนอกกฏหมาย พวกที่ถูกประกาศว่าเป็นคนนอกกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์คุ้มครองใดๆ แจ้งเรื่องนี้ไป ก็ไม่มีใครสนใจหรอก”
“แปลว่าพวกดจรแบบนี้ ตายไปก็ไม่มีใครสนใจงั้นหรือ?” อาร์วินถามต่อ ขณะที่เขายังคงตรวจดูศพต่อ
“ส่วนใหญ่ไม่” ลีโอตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าพวกเขาหนีการลงโทษ พวกเขาก็ถูกประกาศว่าเป็นคนนอกกฏหมาย ไม่มีใครยอมรับพวกเขาอีกแล้ว เว้นแต่จะมีใครมีอำนาจพอให้อภัยโทษพวกเขา ซึ่งนั่นเกิดขึ้นน้อยมาก”
“เต็มที่ ถ้าพวกเข้ามีบ้านให้กลับ ก็อาจจะไปซ่อนตัวที่บ้านกับครอบครัว ใช้ชีวิตสงบๆ ได้ แต่วันไหนถูกใครทำร้าย ทางการก็จะไม่คุ้มครองพวกเขาอยู่ดี” ลีโออธิบายต่อ “การที่มาเป็นโจรแบบนี้ ก็อาจจะเพราะไม่มีคน ยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาเหมือนกัน”
อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นกฎที่… น่าสนใจ”
ลีโอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนหรือ? นี่มันกฏหมายเบื้องต้นเลยนะ หลายๆ อาณาจักรก็ใช้ธรรมเนียมแบบนี้”
อาร์วินยิ้มเล็กน้อย “เคยได้ยินมาบ้าง ข้าเพียงแต่ไม่เคยคิดว่า จะมีการแบ่งแยกสิทธิ์ของคนได้ขนาดนี้”
“บางทีพวกเขาอาจไม่สมควรต้องจบชีวิตแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าพวกเขาเลือกจะเป็นโจรเอง” ลีโอกล่าวอย่างเศร้าๆ ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “แปลก… ทำไมเขาถึงเหลือคนเดียว? รอบๆ นี้ก็ไม่มีโจรคนอื่นๆ ที่หนีมาจากพวกเราอีก”
“ถูกของเจ้า บางทีเขาอาจจะพลัดหลงจากกลุ่ม” อาร์วินตอบพลางลุกขึ้นยืน “แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด… ข้าว่าเราเดินทางให้ถึงเมือง ไปทำธุระของเจ้ากันเถอะ”
ทั้งสองมองศพอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อารืวินจะลุกขึ้นและออกเดินทางต่อ ทิ้งศพปริศนาของโจรคนนั้นไว้เบื้องหลัง
ลีโอและอาร์วินเดินทางต่อจนมาถึงประตูเมืองลูเมนฟอร์ด เมืองใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทุ่งราบที่ทำการเกษตรโดยรอบ ลูเมนฟอร์ดเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าสำคัญของภูมิภาค มีถนนหลายสาย เชื่อมเข้ากับตัวเมือง ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาค้าขาย และแลกเปลี่ยนสินค้าที่นี่เป็นประจำ
ด้านนอกเมืองมีโรงแรมเล็กๆ และโรงม้าตั้งอยู่เพื่อรองรับ นักเดินทางและพ่อค้า ที่อาจมาถึงหลังเวลาประตูเมืองปิด หรือพักก่อนเข้าเมืองในช่วงกลางวัน แต่วันนี้บรรยากาศหน้าประตูเมือง กลับดูเงียบเหงาอย่างประหลาด และดูเหมือนความตึงเครียดจะแผ่ไปทั่วอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อพวกเขาทั้งคู่เข้าใกล้ประตูเมือง ทหารสองคนที่ประจำการอยู่ มองมาทางพวกเขาด้วยความระมัดระวัง “เดินทางมาจากไหน? มีธุระอะไร?” ทหารคนหนึ่งถามพลางมองสำรวจพวกเขา
ลีโอหยิบจดหมายยืนยันตัวตนออกมา และยื่นให้กับทหารยาม “เรามาจากเส้นทางป่าทางใต้จากตรงนี้ ข้าจะไปที่สำนักงานกิลด์กงล้อ”
ทหารรับจดหมายไปก่อนเปิดอ่าน ขณะที่อีกคนมองไปที่อาร์วิน เหมือนว่าจะถามคำถามเดียวกัน แต่คนที่อ่านจดหมายก็พูดขึ้นมาก่อน
“ท่านทั้งสองคนผ่านไปได้ ลูเมนฟอร์ดยินดีต้อนรับ”
อาร์วินยิ้มให้กับทหารทั้งคู่ แต่ไม่พูดอะไร ส่วนลีโอก็รับจดหมายกลับมา
“ขอบคุณ” ลีโอกล่าวสั้นๆ ก่อนที่จะก้าวผ่านประตูเมืองเข้าไป ขณะที่อาร์วินเดินตามมาเงียบๆ
บรรยากาศภายในเมืองลูเมนฟอร์ดยิ่งดูแปลกขึ้นไปอีก แม้จะเป็นเมืองใหญ่ ในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้ แต่ถนนสายหลักกลับมีผู้คนเพียงประปราย บางร้านค้ายังปิดเงียบ
“เมืองนี้ควรจะมีผู้คนเดินทางเข้าออกตลอดเวลา ทำไมมันถึงเงียบแบบนี้?” ลีโอพึมพำเบาๆ ขณะที่เดินผ่านถนนที่ดูอ้างว้าง เขาสังเกตเห็นเพียงไม่กี่คน ที่เดินสวนไปมา ทุกคนต่างเร่งรีบและไม่หยุดคุยกัน
บ้านเรือนและตึกใหญ่ที่เรียงรายข้างถนน สร้างจากหินตัดอย่างดี แสดงถึงฐานะและคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง บางร้านค้ามีป้ายแขวนหน้าร้าน ป้ายเหล่านั้นโยกไปมาตามลมเอื่อยๆ แต่กลับไม่มีพ่อค้าออกมาต้อนรับ หรือเรียกหาลูกค้าบนท้องถนน ลีโอเหลือบไปเห็นร้านขนมปังแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอมลอยออกมา แต่ประตูหน้าร้านก็ปิดเงียบเช่นกัน
“เดี๋ยวข้าจะตรงไปที่สถานีการค้าของกิลด์กงล้อเลย” ลีโอบอกกับอาร์วิน “ท่านจะไปที่ไหนหรือเปล่า?”
อาร์วินส่ายหน้า ก่อนจะตอบกลับมา “ข้าขอตามเจ้าไปก่อนดีกว่า ข้าก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรกับที่นี่เหมือนกัน”
ทั้งคู่เดินตรงไปยังสถานีการค้า และสำนักงานใหญ่ของกิลด์กงล้อ อาคารใหญ่ที่สร้างจากหินอ่อน มีลวดลายแกะสลักงดงามตั้งอยู่ใจกลางจตุรัสน้ำพุ ที่มีด้านหลังเป็นโกดังเก็บสินค้า และสถานีการค้าใหญ่ของกิลด์กงล้อ ซึ่งควรจะคึกคัก เต็มไปด้วยพ่อค้า และรถม้าที่ขนสินค้าจากทั่วทุกสารทิศ แต่แม้ที่นี่ก็ยังดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาด ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างดูเร่งรีบ และเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ลีโอและอาร์วินเข้าไปในสถานีการค้าของกิลด์กงล้อ บรรยากาศภายในสถานี การค้าดูตึงเครียด พนักงานหลายคนเหมือนกำลังตรวจสอบสินค้าอย่างช้าๆ และมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เสียงพูดคุยเบาๆ แทรกเข้ามาในบรรยากาศดังกล่าว แต่ถึงกระนั้น กลับยังมีความเงียบงันผิดปกติอยู่เบื้องหลัง เหมือนเมืองทั้งเมืองอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ
“ดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่” ลีโอพึมพำ ขณะที่เขามองไปรอบๆ
อาร์วินพยักหน้าเบาๆ “ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เรื่องการค้า”
ไม่ช้าพวกเขาก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ของกิลด์กงล้อ เขาเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
“มีธุระอะไรหรือขอรับ?” เจ้าหน้าที่ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้ลึกๆ
“ข้าพบซากรถม้าในป่า ริมถนนโรสเวย์ ระหว่างทางมาที่นี่ ดูเหมือนจะเป็นของกิลด์พวกท่าน” ลีโอกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันถูกโจมตี และสินค้าถูกปล้นไปหมด ข้าเลยคิดว่าควรจะต้องมาแจ้งให้พวกท่านทราบ”
เจ้าหน้าที่พยักหน้า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ขบวนพ่อค้าของเรา ถูกโจมตีบ่อยครั้งขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะใน่วงหลัง ที่การลาดตระเวน ตามถนนหนทางลดลง”
ลีโอขมวดคิ้ว “ข้าสังเกตเรื่องนั้นเหมือนกัน ทำไมกองลาดตระเวนถึงลดลงล่ะ?”
เจ้าหน้าที่ถอนหายใจลึก “เพราะข่าวลือเรื่องปีศาจในช่วงหลังๆ นี้น่ะสิ ทางโบสถ์กลางได้ส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาที่ลูเมนฟอร์ด และตอนนี้พวกเขา กำลังเกณฑ์ทหารจากเมืองเพื่อเตรียมการไล่ล่าหาเจ้าปีศาจที่ว่า ทำให้หน่วยทหารที่เคยลาดตระเวนเส้นทางนี้ ถูกดึงกำลังไปหมด”
ลีโอมีท่าทางแปลกใจ “ปีศาจ? มันถึงขั้นที่ต้องเกณฑ์ทหารขนาดนั้นเลยหรือ?”
เจ้าหน้าที่พยักหน้า “ใช่ มีคนอ้างว่าเห็นปีศาจอยู่ในป่า ดูท่าทางมันน่าจะแข็งแกร่งมากทีเดียว แต่ลูเมนฟอร์ดอยู่ลึกในเขตแดนของอาณาจักร ห่างจากชายแดนอยู่มากโข… แต่เพราะอย่างนั้น ทางโบสถ์จึงต้องส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ มาที่เมืองนี้เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ”
ลีโอครุ่นคิด เขาได้ข่าวเกี่ยวกับการรบพุ่งกับกองทัพของจอมมารมาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะมีข่าวว่ามีผู้กล้าสามารถสังหารจอมมารลงได้ในที่สุด และมีการเฉลิมฉลองชัยชนะที่เมืองหลวงไปแล้ว แต่สงครามก็ยังไม่สงบลงเสียทีเดียว เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่ชายแดนเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้
“เรากำลังหานักผจญภัย ที่พร้อมจะช่วยคุ้มกันพ่อค้าของเราในเส้นทางนี้ อยู่เช่นกัน” เจ้าหน้าที่กล่าว “ท่านสองคนดูมีความสามารถ ท่านสนใจไหม?”
ลีโอส่ายหน้า “ข้ายังไม่มีกลุ่มนักผจญภัยน่ะ และเพื่อนร่วมทางของข้าคนนี้ ก็ไม่ใช่นักผจญภัยด้วย… ใช่ไหม?”
อาร์วินพยักหน้าตอบรับคำถามนั้นเบาๆ
“ข้าคงไม่สามารถรับงานนี้ได้ ขออภัยจริงๆ” ลีโอโค้งศีรษะเล็กน้อย
เจ้าหน้าที่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปทำงานต่อ “เข้าใจล่ะ แต่ถ้าท่านเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็ติดต่อมาที่กิลด์ได้เสมอนะ”
ลีโอกล่าวลา ก่อนที่เขาและอาร์วินจะเดินออกมาจากสถานีการค้า ลีโอยังคงมีท่าทางครุ่นคิด เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน ขณะที่พวกเขา เดินไปตามถนนของเมืองลูเมนฟอร์ด
“ปีศาจในป่า…” ลีโอพึมพำเบาๆ ขณะมองรอบๆ เมืองที่เงียบเหงาอย่างผิดปกติ “มันแปลกเกินไป”
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าต้องกังวลเรื่องนี้หรอก” อาร์วินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ “ปีศาจไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะจัดการได้ง่ายๆ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์”
ลีโอหันมามองเขาเล็กน้อย “ท่านดูไม่กังวลเลยนะ ขนาดทางโบสถ์ยังต้อง ส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์มา ข้าว่าข่าวลืออาจจะมีมูลความจริงก็ได้”
“ข้าแค่คิดว่าพวกเขาอาจจะกำลังวุ่นวาย กับเรื่องที่อาจไม่มีอยู่จริง” อาร์วินยักไหล่ “ปีศาจไม่ได้ปรากฏตัวง่ายๆ แบบนั้นหรอก อีกอย่าง พวกมันแพ้สงครามไปแล้วนี่นะ”
ลีโอขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าตาม อาร์วินก็พูดถูก ถ้ามีปีศาจอยู่ในป่าจริง เขาก็น่าจะเจอมันไปแล้ว… แต่ถ้าได้เจอจริงๆ เขาก็ไม่น่าจะรอดมาถึงเมืองแบบตอนนี้
“ท่านคิดว่าเราควรจะทำอะไรต่อ?”
อาร์วินหยุดเดินชั่วครู่ “ข้าคิดว่า… อยากไปเดินสำรวจในเมืองเสียหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยแล้วกัน” ลีโอยิ้มเล็กน้อย “ยังไงเสีย ข้าก็อยากหาข้อมูลเพิ่มเหมือนกัน”