การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 173
ตอนที่ 173
“กิลด์?”
ซูฮยอนไม่เข้าใจเลย เหตุใดลีจุนโฮถึงเห็นด้วยกับความคิดของฮักจนและโทมัส
ความคิดที่ฮักจนและโทมัสเสนอมาไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร หากสมาชิกภายในกิลด์ประกอบไปด้วย ซูฮยอน ฮักจุน โทมัส และ ลีจุนโฮ กิลด์ที่พวกเขาสร้างขึ้นจะกลายเป็นกิลด์ชั้นนําของประเทศเกาหลีในชั่วข้ามคืน
แต่จะมีผลเสียตามมาทีหลัง นั่นก็คือพวกเขาจะกลายเป็นจุดสนใจจากทุกคน ประหนึ่งดอกลิลลี่สีทองที่งอกงามกลางพื้นที่โล่งกว้าง อีกอย่างสังคมอาจเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ทําไมพวกเขาถึงตัดสนใจสร้างกิลด์ขึ้นมา? มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือป่าว? วันๆคงไม่ต้องทําการทํางานนั่งตอบคําถามนักข่าวอย่างเดียว
ซูฮยอนเปิดปากถาม “มีเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้ไหม? เพราะอะไร ทําไมพวกเราต้องสร้างกิลด์ขึ้นมาผูกมัดตัวเองด้วย?”
ลีจุนโฮตอบกลับ “ฉันมั่นใจว่าต่อให้พวกเราสร้างกิลด์ขึ้นมา ชีวิตประจําวันของพวกเราก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก นายเคยบอกฉันว่าโลกของเรากําลังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จําได้ไหม?”
“จําได้สิ”
“และการเปลี่ยนแปลงที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นแค่ประเทศเกาหลีเท่านั้น ประเทศใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น จีน หรือกระทั่งประเทศที่ตั้งอยู่ไกลออกไป อย่างเช่นประเทศในแถบทวีปอเมริกา นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินปรากฏขึ้นในประเทศเหล่านั้น? ชะตากรรมคงจบไม่สวยแน่ๆ”
“อืม….หมายความว่า…”หลังจากได้ยินคําพูดของลีจุนโฮเต็มหู ในที่สุดซูฮยอนก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร “นายอยากให้พวกเราออกแรงช่วยเหลือพวกเขายามคับขัน?”
“ถูกต้อง เป็นไงบ้างเหตุผลของฉันพอจะฟังขึ้นไหม?”
“ก็ได้อยู่ นายกําลังจะบอกให้พวกเราควรสร้างกิลด์ขึ้นและปฏิบัติการเหมือนทหารรับจ้างสินะ?”
“ใช่แล้ว นายปราดเปรื่องกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเนี่ย”
ทหารรับจ้างเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทําให้ผู้ตื่นขึ้นหลายคนตกลงใจก่อตั้งกิลด์ขึ้น เพื่อเป็นตัวกลางในการเจรจารับงานจากผู้ว่าจ้าง หารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัว
<<ไม่น่าเชื่อจริงๆว่า ฮักจนชายหนุ่มคนนั้น จะมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวด้วย >>
แนวคิดเกี่ยวกับกิลด์ทหารรับจ้างจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างจริงจังในอีกอนาคตข้างหน้า
จุดเริ่มต้นเกิดจากผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์เคยเป็นอดีตทหารรับจ้างและรับงานจากกิลด์อื่นๆมาก่อน เล็งเห็นช่องทางทํามาหากินที่ยังไม่มีผู้ตื่นขึ้นคนไหนริเริ่มทํา โดยปกติแล้วเป็นเรื่องยากมากที่ทหารรับจ้างจะออกจากประเทศบ้านเกิด เพื่อไปโจมตีดันเจี้ยนต่างประเทศ เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้ว่าจ้างหรือได้รับการไหว้วานผ่านทางกิลด์เท่านั้น ถึงจะสามารถโจมตีดันเจี้ยนต่างแดนทั่วทุกมุมโลกได้ แนวคิดกิลด์ทหารรับจ้างเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2030 เพราะช่วงเวลานั้น ดันเจี้ยนทั่วโลกผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด เพื่อพิชิตดันเจี้ยนให้ได้ ก่อนที่มันจะเกิดการระบาด กิลด์ทหารรับจ้างจึงได้รับความนิยมและมีความจําเป็นมาก
<< สถานการณ์ช่วงนี้ยังไม่เลวร้ายอะไรมาก อัตราการเกิดดันเจี้ยนอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก แต่คงอีกไม่นาน >>
เมื่อถึงตอนนั้น ผู้ตื่นขึ้นจะหยุดโจมตีดันเจี้ยนและหันมาทะเลาะเบาะแว้งกันเอง มีปากมีเสียงกับฝ่ายตรงข้าม จนบานปลายกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะขัดแย้งทางผลประโยชน์กันและกัน เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ในอนาคตดันเจี้ยนที่ควรโจมตีจะมีจํานวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กิลด์ต่างๆจึงต้องใช้เวลาเตรียมตัววางแผนการโจมตีให้รอบคอบและเป็นระบบระเบียบมากที่สุด
ด้วยเหตุนี้เอง แนวคิดเกี่ยวกับกิลด์ทหารรับจ้างจึงถือกําเนิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
ทหารรับจ้างจะเริ่มโจมตี ก็ต่อเมื่อได้รับเงินจากผู้ว่าจ้างแล้วเท่านั้น การดํารงอยู่ของกิลด์ทหารรับจ้าง ทําให้ผู้ตื่นขึ้นสามารถขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยไม่จําเป็นต้องติดต่อผ่านตัวกลางอย่างรัฐบาลหรือนัก การเมืองยิ่งราคาว่าจ้างถูก ก็ยิ่งได้รับงานจ้างเยอะ
“เนื่องจากนายไม่สนใจเรื่องเงินๆทองๆ นายปล่อยเรื่องส่วนนั้นให้ฉันจัดการเอง เมื่อพวกเราสร้างกิลด์ขึ้นมา และเริ่มปฏิบัติงานในฐานะทหารรับจ้าง พวกเราสามารถเพิกเฉยต่อระบบราชการที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนได้”ลีจุนโฮเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“พูดตรงๆ พวกเราไม่จําเป็นต้องรีบสร้างกิลด์ตอนนี้ก็ได้ เพราะประเทศส่วนใหญ่ไม่อยากยืมมือผู้ตื่นขึ้นจากต่างแดนอยู่แล้ว เพราะพวกเขากลัวโดยแย่งส่วนแบ่งหินอีเธอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินที่โผล่ขึ้นบนแผ่นดินบ้านเกิด พวกเขาลุ่มหลงและหวงแหนทรัพยากรที่อยู่ด้านในยิ่งกว่าอะไรดี”
“ก็แค่เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแหละ”
“นายพูดถูก ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น” ลีจุนโฮกล่าวพร้อมเผยสีหน้าหมองคล้ํา
เขาและซูฮยอนเฝ้าติดตามอัตราการเกิดดันเจี้ยนอย่างใกล้ชิด เผลอๆอาจมีพวกเขาแค่ 2 คนด้วยซ้ําที่สนใจ เรื่องนี้มากกว่าคนอื่น
เขากล้าพูดได้เต็มปากว่ายิ่งนานวันเข้า อันตรายต่อมนุษย์ชาติก็ยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น
ลีจุนโฮเอ่ยปากพูดต่อ “ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานประเทศส่วนใหญ่ต้องยอมลดราวาศอก ไม่กีดกันความช่วยเหลือจากต่างประเทศแน่นอน ตอนนี้มีเพียงประเทศที่มีกําลังพลผู้ตื่นขึ้นน้อยเท่านั้น ที่ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ตื่นขึ้นต่างประเทศ โดยยอมแบ่งทรัพยากรที่ค้นพบภายในดันเจี้ยนให้ครึ่งหนึ่ง ประเทศที่ทรงอํานาจและมีกําลังพลผู้ตื่นขึ้นเหลือเฟือ ที่ฉันอยากจะขยายความก็คือ….”
“หากกําลังพลผู้ตื่นขึ้นทั้งหมดมุ่งเน้นไปยังพื้นที่ของใครของมัน…”
“พื้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกจะถูกทําลายย่อยยับและไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมาเป็นตามเดิมได้ เหมือนอย่างประเทศอินเดีย”
ซูฮยอนพยักหน้าเห็นด้วยกับคําพูดของลีจุนโฮ
ภัยพิบัติที่ประเทศอินเดียประสบพบเจอ ส่งผลให้ประชาชนล้มตายหลายแสนชีวิต เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์นั้น ซูฮยอนเคยคาดเดาไว้อยู่แล้ว ว่ากิลด์ทหารรับจ้างอาจเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
“ความคิดที่นายเสนอมาไม่แย่ ค่อนข้างดีเลยแหละ”
ตามจริงซูฮยอนไม่อยากให้กิลด์ทหารรับจ้างเกิดขึ้นเลย เพราะมันเหมือนเป็นการยอมรับกลายๆว่าอัตราการเกิดดันเจี้ยนเพิ่มมากขึ้น
แต่ก็เป็นการดีเช่นกัน ยิ่งกิลด์ทหารรับจ้างถือกําเนิดขึ้นได้เร็ว ก็ยิ่งส่งผลดีกับโลกใบนี้มากขึ้นเท่านั้น
ซูฮยอนเอ่ยปากพูดด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อพวกนายเห็นพ้องต้องกัน ฉันก็ไม่ขัดข้อง เอาสิ มาสร้างกิลด์ของพวกเรากันเถอะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ว่าแต่จะตั้งชื่อว่าอะไรดี?”
“ฉันยังนึกไม่ออก รอให้พวกเราอยู่พร้อมหน้ากันก่อน ค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีก็ได้ แต่เรื่องกิลด์มาสเตอร์..”
“ระหว่างนายกับฉัน ใครจะรับหน้าที่เป็นกิลด์มาสเตอร์?”ซูฮยอนถามอย่างสงสัย
“ฉันขออาสารับหน้าที่เป็นกิลด์มาสเตอร์เอง ลีจุนโฮกล่าวตอบ
“ฉันรู้ดีว่านายไม่ชอบความวุ่นวาย ดังนั้นนายไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก อีกอย่างกิลด์ที่พวกเราสร้างมีสมาชิกอยู่แค่ไม่กี่คน แค่คนเดียวก็เหลือแหล่”
“แต่ว่า งานที่นายทําอยู่ทุกวันนี้ก็หนักหนาพออยู่แล้ว ฉันเป็นห่วงว่านายจะเหนื่อยเกินไป…”
“นายไม่ต้องกังวล ฉันถนัดออกคําสั่งอยู่เบื้องหลังมากกว่า เทียบกับสัตว์ประหลาดทั้ง 3 อย่างพวกนายแล้ว กระดูกของฉันคนละเบอร์กับพวกนายและไม่เหมาะแก่การใช้กําลังอยู่แนวหน้าหรอก ปล่อยให้ฉันควบคุมอยู่แนวหลังเถอะ”
ลีจุนโฮเผยสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมทั้งโบกมือไปมา คล้ายกําลังแจ้งให้ซูฮยอนทราบว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของเขา
คําพูดของลีจุนโฮถูกต้องทุกประการ เทียบกับเพื่อนๆทั้ง 3 คน ความแข็งแกร่งของลีจุนโฮอ่อนด้อยที่สุด
สมมุติพวกเขา 4 คน จําเป็นต้องแบ่งหน้าที่กัน ลีจุนโฮจะเหมาะสมกับงานควบคุมดูแลบริหารกิจการภายใน และติดต่อเจรจาทางธุรกิจเสียมากกว่า ส่วน 3 คนที่เหลือจะเหมาะแก่งานใช้พละกําลัง
“ในเมื่อนายยืนกรานเสียงแข็งขนาดนั้น ฉันฝากตําแหน่งกิลด์มาสเตอร์ให้นายจัดการด้วยแล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา อ้อจริงสิ นายเอานี่ไปด้วย”ลีจุนโฮพูดจบพลันเอื้อมมือหยิบแท็บเล็ตพีซีออกจากกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อน ยื่นส่งให้ซูฮยอน
“ว่างๆอย่าลืมตรวจสอบเนื้อหาที่อยู่ในแท็บเล็ตพีซีด้วย ขาดเหลืออะไรรีบบอก จะได้จัดหาให้เพิ่ม”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนายมาก”
หลังจากบอกลาลีจุนโฮเสร็จเรียบร้อย ซูฮยอนรีบวิ่งรถมุ่งหน้าไปยังร้านของชินซูยองต่อทันที
ร้านเพชรพลอยที่แม่ของเขาเปิดกิจการ ประสบความสําเร็จอย่างท่วมท้น ขยายสาขาไปอีกหลายจังหวัด และขายดีเป็นเทน้ําเทท่า เธอคงไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ หากไม่มีลูกชายคอยเกื้อหนุนอยู่ด้านหลัง เธอจึงตัดสินใจโทรไปหาซูฮยอนและกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจังว่า “ลูกรัก ขอให้แม่เลี้ยงอาหารดีๆกับลูกสักมื้อเถอะ!!” ซูฮยอนที่ได้ฟังก็ปฏิเสธไม่ลง เลยตกปากรับคําไปและนัดหมายเจอกันช่วงเย็น เพื่อออกมาทานอาหารนอกบ้านพร้อมกัน
การพักผ่อนหย่อนใจในวันนี้ ซูฮยอนมีความสุขและเพลิดเพลินอย่างยิ่ง ซึ่งเขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้นานมาก….
*************
วันต่อมา ซูฮยอนค่อยๆปรือตาขึ้น เวลาที่เขาตื่นนอนเป็นช่วงมื้อเที่ยงพอดิบพอดี แสงแดดกําลังร้อนอบอ้าวได้ที่
เนื่องจากเมื่อวานดื่มหนักเกินไป ยังไม่หายสร่างเมาดี เขาจึงรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
ขณะที่ซูฮยอนกําลังหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขายื่นมือหยิบขวดน้ําที่วางไว้ข้างเตียงขึ้นมาดื่มแก้คอแห้ง พลางคิดทบทวนกับตัวเอง
<< เฮ้อ ฉันไม่น่าตะบี้ตะบันดื่มเยอะขนาดนั้นเลย >>
ซูฮยอนคาดไม่ถึงว่าชินซูยองจะเป็นนักดื่มคอทองแดง ดื่มหนักและดื่มเก่ง เขาจําได้ว่าในอดีตเธอแทบจะไม่แตะต้องเครื่องดื่มมึนเมาเลย จากคําพูดที่เธอเล่าให้ฟังเมื่อคืนเหมือนเธอพึ่งกลับมาดื่มจริงจัง เมื่อไม่นานมานี้เอง
สงสัยคงเป็นเพราะชีวิตของเธอช่วงนี้ ไม่ได้ลําบากยากแค้นเหมือนอย่างที่แล้วๆมาล่ะมั้ง?
ซูฮยอนรู้สึกซาบซึ้งกินใจเป็นอย่างมาก คนที่ชอบดื่นเหล้าอย่างเธอ กลับยอมฝืนทนความอยากของตัวเอง เพื่อมัธยัสถ์เงินไว้ให้ลูกชายสุดที่รัก กินดีอยู่ดีไม่อดอยากปากแห้ง หลังจากรู้ว่าเธอกลับมาเต็มที่กับการดื่มอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เพราะมันหมายความว่า ในที่สุดแม่ของเขาก็สามารถสนุกสุดเหวี่ยงไปกับชีวิตที่เหลือได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง..
ซูฮยอนเอื้อมมือหยิบมือถือบนหัวเตียง ตรวจสอบข้อความที่ใครบางคนส่งมา…
[สวัสดียามเช้า ตื่นหรือยัง? โทมัสร้องไห้โยเยอยากเจอนายใจจะขาด นายช่วยทําอะไรสักอย่างกับเด็กคนนี้ ที่ฉันเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว!!!]
ข้อความที่ลีจุนโฮส่งมาถึงเขา มีด้วยกันทั้งหมด 2 ข้อความ..
[ฉันส่งข้อมูลให้กับนักข่าวไปแล้ว สปอนเซอร์ที่สนับสนุนพวกเรามี ซองอิลกรุ๊ป และ บริษัทกอร์ดอน ฉันหารือกับผู้อํานวยการพึ่งเสร็จ ช่วงเย็นของวันนี้ นายอย่าลืมมาที่อาคารชงโนชั้นที่ 20 ด้วย เข้าใจใช่ไหม]
“สมแล้วที่เป็นลีจุนโฮ ดําเนินงานได้เร็ว แถมยังเล่นใหญ่จัดเต็มอีกต่างหาก”
ซูฮยอนร้องขอให้ลีจุนโฮช่วยงานอย่างหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายทํางานออกมาได้ดีเกินคาด
ซองอิลกรุ๊ป และ บริษัทกอร์ดอน
บริษัททั้ง 2 แห่ง หนึ่งแห่งเป็นบริษัทตัวแทนของเกาหลี และ อีกหนึ่งแห่งเป็นบริษัทตัวแทนของสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 บริษัทคือสปอนเซอร์ที่ตกลงจะสนับสนุนพวกเขา
<< ไม่น่าเชื่อว่าบริษัททั้ง 2 แห่งที่ติดสิบอันดับโลกด้านการเงินจะสนับสนุนพวกเรา >>
บริษัทกอร์ดอนแตกต่างกับซองอิลกรุ๊ป เพราะครอบครัวของกอร์ดอนโรฮันร่ํารวยจากกิจการค้าขายน้ํามันดิบ และเป็นเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการน้ํามัน เทียบกันแล้วสถานะทางการเงินของบริษัทกอร์ดอนจึงมีความล่ําซ้ํา เหนือกว่าซองอิลกรุ๊ป
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซองอิลกรุ๊ปจะด้อยกว่าบริษัทกอร์ดอนจนเทียบไม่ติด ซองอิลกรุ๊ปถือเป็นอาณาจักรธุรกิจแห่งใหญ่ ซึ่งดําเนินกิจการโดยชาติตระกูลเก่าแก่ที่สุดในเกาหลีใต้ นอกจากซองอิลกรุ๊ปจะเป็นที่รู้จักกัน อย่างกว้างขวางในประเทศเกาหลีแล้ว ซองอิลกรุ๊ปยังมีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วโลกอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นซองอิลกรุ๊ปหรือบริษัทกอร์ดอน ซูฮยอนแทบไม่ได้ความสนใจเลย เขาสนใจบุคคลที่เป็นเจ้าของบริษัทมากกว่า
<< ดูเหมือนฉันจะได้เจอเขาเร็วกว่าที่คิดแฮะ >>
กอร์ดอนโรฮัน ตัวแทนระดับสูงจากบริษัทกอร์ดอนและเป็นหนึ่งในสิบผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ก่อนที่ซูฮยอนจะปรากฏตัวขึ้น กอร์ดอนโรฮันเคยถูกมองว่าเป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งมากที่สุดในโลกอีกด้วย
ซูฮยอนคิดว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก จนกว่าจะถึงสงครามแก่งแย่งอันดับครั้งต่อไป แต่เพราะสถานการณ์ไม่คาดคิด ทําให้พวกเขาหวนกลับมาพบกันอีกครา
เขาพิมพ์ข้อความตอบลีจุนโฮกลับไปว่า [เข้าใจแล้ว] ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ํา
ท่าทางวันนี้ ซูฮยอนคงหนีไม่พ้นต้องเหน็ดเหนื่อยอีกวัน
และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…
โลกกําลังจะได้พบกับการเปลี่ยนแปลง
****************
อาคารชงโน
คือตึกสูงระฟ้าตั้งผงาดอยู่ใจกลางเขตชงโน ซึ่งเป็นที่ทําการของสมาคมผู้ตื่นขึ้นประจําประเทศเกาหลี รอบ ข้างมีห้างสรรพสินค้า โรงแรม และร้านอาหารหรูหรา สร้างเรียงรายติดกัน จึงกลายเป็นย่านที่มีความคึกคัก ประชาชนสัญจรขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย
และในยามนี้ คนจากทั่วมุมโลกกําลังจับตามาที่อาคารชงโน
“โอ้โห!! คนมารวมตัวกันเยอะมาก”
แลนด์มาร์กชื่อดังของอาคารชงโน คือ ร้านพูดบัฟ
หากคุณต้องการเพลิดเพลินไปกับอาหารบุฟเฟต์สุดหรูหรา และมีเนื้อที่ร้านกว้างขวางถึง 6600 ตาราเมตร ค่าเข้าใช้บริการ 175 ดอลลาร์ต่อหัวต่อคน ร้านพูดบัฟเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหล่านักชิมตัวยงปรารถนาอยากลองสักครั้งในชีวิต รายได้ต่อวันของร้านพูดบัฟไม่เคยต่ํากว่า 100,000 ดอลลาร์ และรายได้ต่อปีมากถึง 40 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป…
สภาพร้านพูดบัฟที่ตั้งอยู่ด้านในอาคารชงโนวันนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากวันก่อนๆพอสมควร ภายในร้านเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา บรรยากาศโดยรวมยังเหมือนเดิม แต่โต๊ะนั่งรับประทานอาหารถูกขนย้ายออกไปจนหมด กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง
“นายพูดถูก วันนี้คนเยอะผิดปกติจริงๆ”
“กะด้วยสายตาคร่าวๆ มีประมาณ 500 คนเห็นจะได้”
“ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงของแต่ละคนก็ไม่ธรรมดาด้วย”
“หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย มั่นใจในตัวเองหน่อยสิครับ ในสถานีของเราหัวหน้าคือนักข่าวที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่แพ้นักข่าวคนอื่นเหมือนกันนะ”
“ไม่ต้องมาป้อยอฉัน นายไม่รู้เลยหรือไงว่าที่นี่ ไม่ได้มีแต่นักข่าวที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังมีผู้ตื่นขึ้นรวมตัวอยู่ที่นี่ด้วย”
นักข่าวจากสถานีจงซิมเดลี่ นามว่า โกมีป้องกยุน เริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ติดขัดคล้ายมีอะไรอุดตัน เขาจําไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ต้องเอาตัวเข้าไปพัวพันกับบรรยากาศอึมครึมแบบนี้คือเมื่อไหร่
ไม่สิ จะตีโพยตีพายโทษบรรยากาศอย่างเดียวก็ไม่ถูก
<< หรือฉันจะพักผ่อนไม่เพียงพอ จนเกิดความเครียด? >>
เขาเคยพบปะสนทนากับผู้ทรงอิทธิพลมาหลายคนและมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้บ่อยครั้ง แต่วันนี้เป็นข้อยกเว้น บอกตามตรงว่าเขารู้สึกตกตะลึงไม่น้อย ที่ภายในห้องแห่งนี้เป็นศูนย์รวมบุคคลที่มีความสามารถ
<< ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S นับสิบ นักข่าวชื่อดังและสื่อสิ่งพิมพ์รายใหญ่จากต่างประเทศ ซีอีโอหรือประธานบริษัทชื่อดังอีกหลายคน ตัวตนของพวกเขาสามารถเขย่าแวดวงการเมืองให้สั่นสะเทือนได้ >>
เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ ทําให้พวกเขามารวมตัวกันในวันนี้
ความร่วมมือระหว่างซองอิลกรุ๊ปและบริษัทกอร์ดอนเพียงอย่างเดียว ไม่อาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ดังกล่าวได้
<< ทั้งหมดเป็นเพราะ คิมซูฮยอน >>
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะชื่อเสียงของคิมซูฮยอนล้วนๆ อีกฝ่ายแจ้งกับสาธารณชนว่ามีแผนจะทําคู่มือโจมตีสําหรับผู้ตื่นขึ้น และมีเรื่องสําคัญที่จะป่าวประกาศให้ทราบ
<< ซูฮยอนบอกว่าจะเปิดเผยความรู้ของตัวเอง แต่เพราะอะไรกัน? ทําแบบนั้นแล้วเขาจะได้อะไรกลับไป?
ปัจจุบันมีหนังสือจํานวนมากที่เขียนโดยผู้ตื่นขึ้น เนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มระดับความแข็งแกร่ง เมื่อใดก็ตามที่ผู้ตื่นขึ้นสามารถเลื่อนไปถึงแรงค์ B ได้ เนื้อหาที่เขียนอยู่ในหนังสือจะหมดประโยชน์ทันที
หนังสือที่ผู้ตื่นขึ้นใช้อ้างอิงนั้น บางครั้งก็ไม่ต่างอะไรกับดาบสองคม นําพามาซึ่งความสูญเสียและอาจอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากเนื้อหาที่ระบุอยู่ในหนังสือ บางอันเป็นข้อมูลจริง บางอันเป็นข้อมูลเท็จ
ผู้ตื่นขึ้นระดับสูง อย่างเช่นแรงค์ S ส่วนมากพวกเขามักขลุกอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบ เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองให้ก้าวหน้า แทบจะหลงลืมเรื่องโลกภายนอก พวกเขาเก็บงําข้อมูลอย่างมิดชิดและ คงไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลที่มีชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันให้ใครง่ายๆด้วย
แต่ทว่า….
<< นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่คู่มือโจมตีเขียนโดยผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S แถมคนที่เขียนยังเป็นถึงคิมซูฮยอนเสียด้วย >>
หมายความว่าการกระทําของซูฮยอนครั้งนี้ ย่อมถูกจับตามองจากผู้ตื่นขึ้นทั่วโลกอย่างแน่นอน
และเหตุการณ์คล้ายแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว…
<< คล้ายอย่างกรณีของจอห์นนี่ แบรด ที่เป็นตัวตั้งตัวตีต้นคิดสร้างดันเจี้ยนเสมือนจริงขึ้น >>
ระบบที่คิดค้นโดยจอห์นนี่แบรด น่าตื่นตกใจพอๆกับคู่มือโจมตีของซูฮยอน ระบบสร้างดันเจี้ยนเสมือนจริง มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงสําหรับผู้ตื่นขึ้น เพราะมันช่วยให้ผู้ตื่นขึ้นสามารถฝึกซ้อมการโจมตีดันเจี้ยนล่วงหน้า ก่อนจะเข้าสู่สนามจริงได้ และยังลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ตื่นขึ้นได้อีกด้วย
<< กอร์ดอนโรฮัน , คิมซูฮยอน , และ จอห์นนี่ แบรด >>
วันนี้ถือเป็นวันสําคัญ เพราะผู้ตื่นขึ้นระดับแนวหน้าของโลก นัดหมายรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน และ โกมีป้องกยุนมาที่นี่ เพื่อนําเสนอข่าวสารให้สาธารณชนรับทราบ
โกม็องกยุนคิดกับตัวเองในใจ << ถ้าฉันเดาไม่ผิดละก็ ต่อจากนี้อะไรหลายสิ่งหลายอย่าง คงเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ >>
เวทีขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้ากลุ่มฝูงชนที่กําลังวุ่นวาย
ด้านหลังเวที ซูฮยอนนิ่วหน้าขึ้นพลางขยับมือปรับตําแหน่งเน็กไท หมุนตัวซ้ายขวาตรวจสอบความเรียบร้อยของชุดสูท รูปลักษณ์ของเขาเหมือนนักธุรกิจหนุ่มก็ไม่ปาน
“สีหน้าของนายดูไม่ค่อยดีเลยนะ รู้สึกอึดอัดกับชุดที่ใส่อยู่เหรอ?”
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาประชิดพร้อมกล่าวคําทักทาย ชายที่ว่าคือ กอร์ดอน โรฮัน
กอร์ดอนโรฮั่นทักทายปราศรัยเป็นภาษาเกาหลีได้อย่างคล่องปาก เขาบอกกับซูฮยอนว่า ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เขามีเวลาว่างเยอะ ไม่รู้จะทําอะไรดี เลยลองศึกษาภาษาเกาหลีฆ่าเวลาเล่นๆ ฝึกฝนเพียงไม่กี่เดือน แต่กลับพูดภาษาเกาหลีได้คล่องแคล่วอย่างไม่น่าเชื่อ แสดงว่าเขาเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วและหัวไว
ซูฮยอนตอบกลับ “ใครมันจะไปเหมือนกับนายกันล่ะ ที่ใส่ชุดสูทเกือบทุกวัน ฉันไม่ใช่นักธุรกิจเสียหน่อย นานๆจะมีโอกาสได้ใส่ชุดที่เป็นทางการแบบนี้สักที”
“แค่นี้ทําเป็นบ่นกระปอดกระแปด ฉันว่าชุดเกราะที่นายสวมใส่อยู่ทุกวัน น่าอึดอัดยิ่งกว่านี้อีกจริงไหม?”
“เทียบกับชุดสูทแล้ว ฉันคุ้นชินกับชุดเกราะมากกว่า”
“นั่นสินะ คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”กอร์ดอนโรฮันพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนใช้สายตากวาดมองสํารวจรอบห้อง
“ฉันคิดว่าสถานที่โกโรโกโสแบบนี้ ไม่เหมาะแก่งานแถลงข่าวเลยจริงๆ คงจะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่า หากนาย เลือกหอคอยกอร์ดอนเป็นสถานที่จัดงาน”
“สถานที่ไม่สําคัญ เนื้อหาสาระต่างหากที่สําคัญ จริงไหม?”
“ก็ถูกของนาย”
กอร์ดอนโรฮันยังคงปรายตามองรอบห้องไม่เลิกตรงมุมหนึ่งของห้อง โทมัสนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางจ้องเขม็งไปยังกอร์ดอนโรฮันด้วยสายตาแหลมคม ส่วนทางด้านฮักจุนกําลังพูดพึมพํากับตัวเองคนเดียวด้วยที่ท่าประหม่า
กอร์ดอนโรฮันครุ่นคิดสักพัก ก่อนเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “ฉันได้ยินมาว่า นายคิดจะสร้างกิลด์ เป็นเรื่องจริงหรือป่าว?”
“นายรู้เรื่องนั้นได้ไง?”
“ชายคนหนึ่งที่ฉันพบก่อนหน้านี้เป็นคนบอก เขาบอกกับฉันว่าจะสร้างกิลด์ โดยใช้ชื่อกิลด์ว่า [พารากอน] เป็นชื่อที่ฟังดูดีเลยทีเดียว แถมความหมายของชื่อก็ลึกซึ้งด้วย ตอนที่ฉันได้ยินครั้งแรกขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเลย”
“พารากอน
คือชื่อกิลด์ที่ลีจุนโฮคิดขึ้น หลังจากที่นอนกระวนกระวายใจมาหลายวัน ซึ่งความหมายของชื่อก็ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ลึกซึ้งแต่อย่างใด
“ดีแล้วที่นายตัดสินใจเลือกใช้ชื่อ กิลด์ [พารากอน] หากเปลี่ยนไปใช้ชื่อ กิลด์ [ฮีโร่] คงตลกพิลึกใจจริง นายเองคงไม่ชอบชื่อ กิลด์ ฮีโร่] เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
เหตุผลที่พวกเขาเลือกใช้ชื่อ กิลด์ [พารากอน] เพราะมันเหมาะสมกับบุคลิกภาพของซูฮยอนที่เป็นอยู่อย่าง ทุกวันนี้ ตอนแรกพวกเขาคิดจะใช้ชื่อ กิลด์ [ฮีโร่] แต่หลังจากชั่งใจคิดพักใหญ่ พวกเขาลงความเห็นว่า มันเป็นชื่อที่ดูเด็กเกินและไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่นัก จึงปัดตกไป ซึ่งซูฮยอนเห็นดีเห็นงามกับการตัดสินใจของพวกเขา
กิลด์ที่พวกเขาพร้อมใจกันสร้างขึ้นมีลีจุนโฮเป็นกิลด์มาสเตอร์ ซูฮยอนเลยมอบโอกาสให้อีกฝ่ายตั้งชื่อกิลด์ได้ตามใจชอบ เพราะการสร้างกิลด์คนที่ลําบากมากที่สุดและมีงานล้นมือคงหนีไม่พ้นลีจุนโฮ ที่รับหน้าที่เป็นกิลด์มาสเตอร์และบริหารจัดการกิลด์อ
“กิลด์ที่พวกนายคิดจะสร้าง มีสมาชิกอยู่แค่ 4 คน…”กอร์ดอนโรฮันหัวเราะเบาๆในลําคอ คล้ายกับพบเจอเรื่องตลก ก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของซูฮยอนและกล่าวต่อด้วยเสียงเนิบนาบ
“ฉันมั่นใจว่ากิลด์ของพวกนายยังมีที่ว่างเหลือเยอะ จะเป็นอะไรไหม หากฉันจะขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกกิลด์ด้วยคน?”