การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 163
ตอนที่ 163
คําตอบจากซูฮยอนส่งผลให้ใบหน้าของคาร์เน่ทิ้งตึง มังกรตัวอื่นก็มีปฏิกิริยาใบหน้าคล้ายๆกัน มีมังกรเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังมีใบหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิมเผ่าพันธุ์มังกรเหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดการที่ซูฮยอนบอกว่ามังกรแดงที่สูงศักดิ์เป็นลูกของตัวเองไม่ต่างอะไรกับการดูหมิ่นเผ่าพันธุ์มังกรเลย
“น่าขันจริงๆ” คาร์เน่สบถในลําคอพร้อมระบายลมหายใจออกมาทางจมูก
หลังจากได้ยินคําตอบที่ออกมาจากใจจริงของซูฮยอน มิรุที่กําลังร้องไห้สะอึกสะอื้น กลับมามีท่าทางร่าเริงขึ้นอีกครั้งเหมือนมิรุจะดีใจกับคําตอบของซูฮยอนไม่น้อยเลยยิ้มหน้าบานไม่หุบ
“อิริยาบถดูไม่ได้เลยจริงๆ นี่นะเหรอทายาทที่ยิ่งใหญ่ของราชามังกร…”
เมื่อเทียบกับมังกรที่อยู่ที่นี่ มิรยังเด็กอยู่มาก แต่เขาเป็นถึงมังกรแดงสูงส่ง การที่ต้องมาเห็นภาพมังกรแดงที่ในอดีตกาลเคยปกครองเหล่ามังกรทุกตัวยอมเชื่อฟังคําสั่งของมนุษย์อย่างว่าง่ายเป็นสิ่งที่คาร์เน่ทนรับไม่ได้เขากระเดาะลิ้นและจ้องมองซูฮยอนตรงๆ
คาร์เน่สูดหายใจเข้าลึกๆและเอ่ยปากขึ้นว่า “เข้าเรื่องของพวกเราเถอะ ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามาที่นี่ทําไม?มีเป้าหมายอะไร? หากไม่มีเป้าหมาย ข้าอยากให้เจ้ารีบออกไปจากเมืองแห่งนี้ซะ”
“ท่าน!!”
“คาร์เน่ เจ้าคิดว่าตัวเองใหญ่โตนักหรือไง ถึงสามารถไล่ใครไปก็ได้?”
“ชิ ใช้แต่อารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง มีผู้นําแบบนี้ ไม่นานมังกรทุกตัวคงถึงคราวได้สูญพันธุ์แน่”
“พวกเจ้าช่วยเงียบหน่อย คาร์เน่อาจมีแผนอะไรอยู่ในใจก็ได้ อย่าพึ่งโวยวาย รอดูไปก่อนเถอะ”
เพราะคาร์เน่ด่วนตัดสินใจเกินไปรอบข้างจึงเกิดเสียงคุยเซ็งแซ่ขึ้น เหล่ามังกรที่รอคอยการกลับมาของมังกรแดงบ้างส่งเสียงทัดทาน บ้างก็ส่งเสียงดุด่าว่ากล่าวมังกรที่ติดตามคาร์เน่มานานพยายามห้ามปรามมังกรที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของคาร์เน่ ภาพสถานการณ์ที่กําลังปรากฏตรงหน้าทําให้ซูฮยอนเข้าใจเรื่องราวของเมืองแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
<<บล็องก์เคยบอกว่า ในเมืองแห่งนี้ มีมังกรอาศัยอยู่เพียง 500 ตัว>>
มังกรที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นมังกรที่มีบทบาทสําคัญในเผ่าพันธุ์มังกรด้วยกัน
<<ไม่ใช่มังกรทุกตัวจะเป็นศัตรูกับมิรุ…>>ซูฮยอนคิดในใจ
มีมังกรครึ่งหนึ่งต้องการผลักไสไล่ส่งมิรุ แต่ก็มีมังกรอีกครึ่งที่มีความต้องการต่างออกไป ประชากรมังกร 500 ตัวแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย หากมังกรทุกตัวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คาร์เน่คงสามารถถีบหัวส่งซูฮยอนและมิรุออกไปจากเมืองได้นานแล้ว
<<เพราะมังกรแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คาร์เน่จึงไม่กล้าโจมตีมิรสุ่มสี่สุ่มห้า>>ซูฮยอนคิด
มังกรครึ่งหนึ่งเป็นพันธมิตร และอีกครึ่งหนึ่งเป็นศัตรู
<<หมายความว่าฉันและมังกรไม่มีความจําเป็นต้องปะทะกันคาร์เน่ที่อยากกําจัดมิรุออกไปก็ได้แต่เก็บความคิดไว้ในใจไม่กล้าเปิดเผยออกมาเพราะเขาไม่อยากให้มังกรแตกแยกไปมากกว่านี้ >>
“ผมไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกับพวกผู้อาวุโสเหมือนกัน”ซูฮยอนกล่าวและเลือนสายตามองไปที่มิรุ
“เหตุผลที่ผมมาที่นี่ เพราะผมมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับสัตว์อสูรที่อยู่ข้างนอก”
“กับสัตว์อสูร.?”
“มนุษย์นั่นพูดบ้าอะไรของมัน?”
มังกรที่ยืนรอบๆซูฮยอนเริ่มกระซิบกระซาบกันคาร์เน่พอรู้มาบ้างว่าสัตว์อสูรเคยบุกทําลายโลกของซูฮยอนมาก่อนแต่คาร์เน่ยังไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ให้มังกรตัวอื่นฟัง..
“เจ้าต้องการทําอะไรกันแน่?”คาร์เน่ถาม
“ตอนนี้ผมยังจากที่นี่ไปไม่ได้ แต่หากงานผมเสร็จเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปจากที่นี่ทันที”
“เจ้าหมายความว่าไง?”
“ผมได้ยินมาว่าพวกคุณยังอยู่ในช่วงสงครามใช่ไหม?”ซูฮยอนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เหลือบมองมิรุแวบหนึ่ง
“พวกเราจะช่วยพวกคุณเอง
“ช่วยพวกเรา?”
“ข้าหูฝาดไปหรือป่าว? มนุษย์คนนั้นบอกว่าจะช่วยพวกเรางั้นเหรอ?”
“มังกรแดงแข็งแกร่งก็จริง แต่มังกรแดงที่อยู่ตรงหน้า ยังเด็กอยู่เลย…”
คิ้ว!!
เมื่อมิรุได้ยินคํากล่าวของมังกรตัวหนึ่งบอกว่ามันเป็นเด็กมันเปล่งเสียงคํารามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดสายตาถมึงทึ่ซูฮยอนยกมือลูบหัวปลอบใจมิรุ
“ผู้อาวุโสคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ หากผมสังหารสัตว์อสูรที่อยู่ด้านนอก?”
“เชิญตามสบาย”คาร์เน่พยักหน้า
“ทําในสิ่งที่เจ้าอยากทํา ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเรา เจ้าเป็นคนเสนอตัวเองและบอกว่าจะช่วยพวกเราแต่พวกเราไม่เคยพูดเลยสักคําว่าจะยื่นมือช่วยเหลือเจ้า”
“ตกลงตามนั้นครับ”
“มังกรทุกตัวได้ยินเสียงของข้าใช่หรือไม่? ห้ามมังกรหน้าไหนยื่นมือช่วยเหลือมนุษย์และมังกรแดงเด็ดขาด
“แต่ท่านคาร์เน่….”
“นี่คือคําสั่งจากผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์มังกร หากทายาทมังกรแดงต้องการกลับมาอยู่กับพวกเราเขาต้องชดใช้ความผิดที่เคยก่อไว้ในอดีต”คาร์เน่พูดจบก็หมุนกายเดินจากไป
มังกรที่รอคอยการกลับมาของทายาทราชามังกรมองไปที่มิรูด้วยสายตาเศร้าสร้อย ไม่นานเหล่ามังกรที่รวมตัวอยู่รอบๆซูฮยอนและมิรุก็หายไปที่ละตัวพวกมังกรจากไปอย่างรวดเร็วเพราะเปิดใช้งานเทเลพอร์ต…
“จริงสิ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกเจ้า
จู่ๆเสียงของคาร์เน่ก็ดังขึ้นในหัวซูฮยอน
-หากเจ้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เจ้าลองสอบถามเรื่องเกี่ยวกับป่าจินดามณีจากปากบล็องก์ดูสิถ้าเจ้าสามารถแย่งชิงดินแดนแห่งนั้นกลับมาได้มังกรที่เคยปฏิเสธเจ้าจะเปิดใจยอมรับมังกรแดงและเจ้าทันที
“ป่าจินดามณี….?”
บล็องก์ที่ได้ยินเสียงพึมพําของซูฮยอนเผยสีหน้าตกใจออกมา
“ป่าจินดามณีอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”ซูฮยอนหันไปถามบล็องก์
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ไง?”บล็องก์ถามอย่างสงสัย
“มังกรเจ้าอารมณ์ที่ชอบกระโชกโฮกฮากเป็นคนบอกผม เขาบอกว่า ถ้าผมและมิรุสามารถแย่งชิงดินแดนแห่งนั้นกลับมาได้ เหล่ามังกรจะเปิดใจยอมรับ”
“เฮ้อ..”บล็องก์ถอนหายใจเสียงดัง ที่ผ่านมาบล็องก์มีสีหน้านิ่งเฉยมาโดยตลอด แต่พอได้ยินคําว่าป่าจินดามณีสีหน้าของบล็องก์กลับมืดมนลงทันตาเห็น
“เป็นอะไรไปครับอย่าบอกนะว่าเป็นคําพูดโกหกป่าแห่งนั้นไม่มีอยู่จริง?”
“ไม่ใช่คําโกหกหรอก แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าไปที่นั่น”
“ทําไมเหรอครับ?”
“ป่าจินดามณีอันตรายเกินไป เจ้าไม่ควรไปที่นั่นคนเดียว คําพูดของคาร์เน่ ไม่ต่างอะไรกับการไล่เจ้าไปตาย”
“ป่าจินดามณีอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอครับ? แค่จัดการมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ ดินแดนแห่งนั้นก็เป็นของเราแล้วใช่ไหม?
“ถูกต้อง แต่ไม่ว่ายังไง เจ้าก็ไม่ควรไปที่นั่นอยู่ดี” บล็องก์พูดพร้อมออกท่าออกทางวิตกกังวล
“เจ้าอาจคิดว่าง่าย เพราะเจ้าไม่เคยย่างกรายเข้าไปในป่าแห่งนั้น ในบรรดาดินแดนที่เผ่าพันธุ์มังกรสูญเสียให้กับมอนสเตอร์ ดินแดนที่เรียกว่าป่าจินดามณีปัจจุบันหนาแน่นไปด้วยฝูงมอนสเตอร์หลากหลายสายพันธุ์นอกจากมอนสเตอร์แล้วยังมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ด้วยถ้าเจ้าไปที่นั่นคนเดียวมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลครับ”ซูฮยอนหันหน้าไปพูดกับบล็องก์ เพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความสบายใจ
“ถ้าผมรู้ว่าตัวเองไม่ไหว ผมจะรีบหนีออกมา”
ซูฮยอนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับป่าจินดามณีเลย แต่เขามีแผนการเตรียมไว้อยู่ในใจ
<<ถ้าฟาฟเนียร์ไม่อยู่ในป่าแห่งนั้น สมมุติเจอเหตุการณ์ผิดปกติด้านใน ฉันสามารถถอยหนีมาตั้งหลักใหม่ได้>>
ซูฮยอนเชื่ออย่างยิ่งยวดว่าความแข็งแกร่งของตัวเองสามารถฝ่าวงล้อมของพวกมอนสเตอร์ได้แม้ภายในปาสจะเต็มไปด้วยภยันตรายมากมายแต่เขาจําเป็นต้องเข้าไป เพราะชื่อป่ามันตรงกับคําใบ้ที่ผู้อารักขาเคยบอก
<<ผู้อารักขาบอกให้ฉันตามหาจินดามณี >>
คําใบ้ที่ได้จากผู้อารักขาไม่เคยผิดพลาดจินดามณีที่ผู้อารักขาบอกให้ตามหาอาจซ่อนอยู่ในป่าจินดามณีก็ได้ด้วยความแข็งแกร่งของซูฮยอนในปัจจุบันคงไม่ยากเกินไป
<< นี่คือบททดสอบที่เตรียมไว้สําหรับฉันโดยเฉพาะเลยสินะ>>
หอคอยแห่งการทดสอบจะมอบหมายภารกิจที่แตกต่างกันให้ผู้ตื่นขึ้นปฏิบัติ แม้ว่าผู้ตื่นขึ้นจะทําการทดสอบบนหอคอยชั้นเดียวกันเลือกระดับความยากอย่างเดียวกันแต่ภาพรวมของภารกิจที่ได้จะไม่เหมือนกัน
สาเหตุที่หอคอยแห่งการทดสอบมอบหมายภารกิจเกี่ยวกับมังกรให้ซูฮยอน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวตนของมิรุ
<<ฉันต้องทําให้สําเร็จ>>
ซูฮยอนเผยรอยยิ้มกริ่มออกมา คําพูดที่คาร์เน่กล่าวให้ฟังเป็นข้อมูลชั้นดี ป่าจินดามณีต้องเป็นส่วนหนึ่งในการผ่านชั้นที่ 40 แน่ๆ
<<คิดไปคิดมาก็ตลกเหมือนกันแฮะ>>ซูฮยอนยิ้มมุมปาก
คาร์เน่ให้คําแนะนําแก่ซูฮยอน โดยที่เจ้าตัวไม่ทราบ
<<ฉันจะแสดงให้เขาได้เห็นว่าลูกชายของฉัน ไม่สามารถมองข้ามได้>> ซูฮยอนลูบหัวมิรุ ภายในแววตา เกิดแสงสว่างเปล่งประกาย
วุป!! วุป!!
นขึ้นขี่หลังมิร มือจับลําคอของมิรเอาไว้ เพื่อยึดร่างกายไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม สายตามองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ด้านล่าง ไม่รู้ว่าวันนี้มิรุคึกอะไรถึงได้บินเร็วกว่าทุกครั้ง
ขณะนั่งกินลมอยู่บนหลังมิรุซูฮยอนนึกย้อนไปถึงคําพูดที่บล็องก์เคยกล่าว
[อย่างที่ข้าเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ป่าจินดามณี เป็นดินแดนที่เนืองแน่นไปด้วยฝูงมอนสเตอร์และสัตว์อสูรพวกเรากลับไปที่ป่าจินดามณีหลายครั้ง พยายามยึดดินแดนกลับคืนมา แต่สุดท้ายก็คว้าน้ําเหลว]
[ป่าจินดามณีอยู่ตรงไหนเหรอครับ?]
[ออกจากเมืองไป ให้เจ้าหันหัวไปทางพระอาทิตย์ตกดิน มุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆก็เจอเอง อาจต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวัน กว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่นได้]
[ขอบคุณมากครับ]
[ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเลยจริงๆ การไปที่นั่นคนเดียวเป็นความคิดที่โง่มาก เหตุผลที่คาร์เน่แนะนําให้เจ้าไปที่นั่นเพราะต้องการให้ป่าจินดามณีเป็นหลุมฝังศพเจ้า แต่ต่อให้พูดจนน้ําลายหมดปากเจ้าก็ไม่ฟังข้าอยู่ดี]
บล็องก์พยายามห้ามปรามซูฮยอนไม่ให้ไปที่ป่าจินดามณีอย่างเอาเป็นเอาตาย ระหว่างเพียรรบเร้าซูฮยอนสีหน้าของบล็องก์ฉาบไปด้วยความกังวลหมายความว่าป่าแห่งนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความอันตรายดังนั้นซูฮยอนจึงตัดสินใจขอข้อมูลเพิ่มเติมจากปากบล็องก์
(ภายในป่าจินดามณีมีเต่ายักษ์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งมันเป็นมอนสเตอร์ที่อันตรายมากที่สุดภายในป่าเลยก็ว่าได้]
[เต่ายักษ์…?]
[มันเป็นสัตว์อสูรตัวใหญ่ที่รอดชีวิตจากสงคราม ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เต่ายักษ์ตัวนั้นเก็บตัวเงียบและไม่เคยก้าวออกมาจากป่าเลยคาร์เน่พยายามจัดการกับมันหลายครั้งแต่ก็หนีหัวซุกหัวซุนกลับมาตลอดมังกรตัวอื่นๆก็จนปัญญาไม่รู้จะจัดการยังไงได้แต่ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ที่นั่นต่อไป]
ซูฮยอนทราบดีว่าเต่ายักษ์ที่อธิบายให้ฟังคือตัวอะไร…
<<เต่ายักษ์ที่ว่า ต้องเป็นเต่าไททันไม่ผิดแน่>>
ขนาดตัวของเต่าไททันมีความใกล้เคียงกับอูโรโบรอสเต่าไททันเป็นสัตว์อสูรที่มีความดุร้ายและอันตรายมากตามปกติเต่าจะขึ้นชื่อเรื่องความเชื่องช้าแต่เต่าไททันกลับคล่องแคล่วว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อไม่สมกับข นาดตัวที่ใหญ่เทอะทะ
เมื่อซูฮยอนทราบข้อมูลว่าสัตว์อสูรที่อันตรายที่สุดในป่าจินดามณี คือเต่าไททัน ความกังวลที่สุมอยู่ในใจค่อยๆทุเลาลง
<<ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงจัดการมันไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันทําได้แน่>>
หากซูฮยอนปราศจากดาบบัลมุงก์ เขาคงไม่สามารถจัดการกับเต่าไททันได้ เพราะการทะลวงเกราะป้องกันของเต่าไททันไม่ใช่เรื่องง่าย อาวุธทุกประเภทแทบไม่สามารถสร้างรอยขีดขวนบนกระดองเต่าไททันได้เลย
แต่ตอนนี้ซูฮยอนมีดาบบัลมุงก์อยู่ในมือ กระดองเต่าไททันที่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนขนานนามว่าเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด เขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าความคมของดาบบัลมุงก์ สามารถฉีกกระชากเกราะป้องกันที่ว่านั้นได้
<<ใกล้จะค่ําแล้วเหรอ>>ซูฮยอนเงยหน้ามองพระอาทิตย์แล้วพูดในใจ
บล็องก์บอกให้ซูฮยอนหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ตกดิน แล้วมุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงที่หมายต้องใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งวัน ซึ่งคําพูดของบล็องก์ถูกต้องทุกประการพระอาทิตย์ที่เคยลอยเหนือหัวเริ่มคล้อยต่ําจนหายลับขอบฟ้าไป
ซูฮยอนมองเห็นผืนป่าขนาดใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา ผืนดินด้านล่างจากเดิมมีสีเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผืนดินสีดําท้องฟ้าเหนือผืนป่าด้านบนมีกลุ่มเมฆก่อตัวหนาเตอะ
หลังจากบินพ้นดินแดนที่อยู่ในการครอบครองของเหล่ามังกร สภาพแวดล้อมรอบๆเปลี่ยนไปจนน่าตกใจบรรยากาศอึมครึมราวกับว่าอยู่คนละโลกกันดินแดนที่กําลังปลดปล่อยกลิ่นอายมืดมนออกมาคือดินแดนที่ยังถูกยึดครองโดยมอนสเตอร์และสัตว์อสูร
“มิรุไม่ต้องบินต่อแล้ว ลงไปข้างล่างเถอะ”
คิ้ว!!
มิรุมองสํารวจหาพื้นที่ว่างด้านล่างเพื่อลงจอดตามคําพูดของซูฮยอน แม้ว่ามิรุจะบินต่อเนื่องครึ่งค่อนวันแต่ดูเหมือนมิรุจะไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลย
ซูฮยอนขบคิดภายในหัวพลางก้าวเท้าลงจากหลังมิรุ <<มิรุมีสายเลือดราชามังกรไหลเวียนอยู่ ระยะทางบินสั้นๆแค่ครึ่งวันคงไม่เหนื่อยเกินไปสําหรับเขา>>
ซูฮยอนลูบหลังมิรุเพื่อขอบคุณที่มันแบกเขามาส่งถึงที่หมาย จากนั้นเขาก็หันหน้าเพ่งสายตามองลึกเข้าไปในป่าที่มืดมิด ต้นไม้สูงชะลูดหลายสิบเมตรดําเป็นตอตะโกและยืนต้นตายทั้งอย่างนั้นผืนดินและท้องฟ้าก็เช่นกันทุกอย่างดูแห้งแล้งไปหมด แต่น่าแปลกที่มีต้นไม้บางต้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโหดร้ายแบบนี้ได้
“ได้เวลาเดินเท้ากันต่อ”ซูฮยอนกล่าว
คิ้ว!!
มิรุเดินตีคู่ขนาบไปกับซูฮยอน บรรยากาศรอบตัวเป็นไปด้วยความมืดมน แต่มิรุกลับแสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมาซูฮยอนเดาว่าเหตุผลที่มิรุตื่นเต้นดีใจคงเป็นเพราะเจ้าตัวได้ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกมิรุและซูฮยอนใช้เวลาอยู่ด้วยกันข้างนอกแทบจะนับครั้งได้..
ซูฮยอนเดินลึกเข้าไปในป่าพร้อมสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆอย่างละเอียด ผืนดินแห้งกร้านต้นไม้ใบหญ้า
พากันลมตาย
<<สภาพแวดล้อมแบบนี้ ทําให้ฉันหวนนึกถึงภาพในสมัยก่อนเลยแฮะ>>
ซูฮยอนเคยมีประสบการณ์เหยียบผืนป่าที่มีลักษณะคล้ายๆแบบนี้มาก่อนหลายครั้ง ไม่ใช่แค่ในหอคอยแห่งการทดสอบเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกแห่งความจริงด้วย
เมื่อมนุษย์โลกมากกว่าครึ่งหนึ่งเสียชีวิตลง บรรยากาศบนโลกที่แสนมืดมนก็กลายเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ยุคหลังพบเจอทุกวันและต้องปรับตัวให้เข้ากับมัน
โฮกกก..
เสียงคํารามทุ่มต่ําดังขึ้น ฟังจากเสียงคํารามเหมือนบริเวณใกล้เคียงจะมีมอนสเตอร์แอบซ่อนตัวอยู่ซฮยอนปล่อยพลังเวทออกไปตรวจจับสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ จนพบว่าด้านหลังมีมอนสเตอร์กลุ่มหนึ่งกําลังไล่ตามมามอนสเตอร์เว้นระยะห่างจากพวกเขาไกลพอสมควรหากเดาไม่ผิดพวกมันคงอยากจับตาดูเป้าหมายไว้ก่อนสักระยะหนึ่งและรอมอนสเตอร์ตัวอื่นๆตามมาสมทบ
บรู้วววว!!
ไม่นานหมาป่าจํานวนหลายสิบตัวพลันกระโจนออกมาจากมุมมืดและกระจายตัวล้อมรอบซูฮยอนกับมิรุหมาป่าที่โผล่ออกมาในหนึ่งตัวมี 2 หัว 6 ตาพวกมันเป็นสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้
ทันทีที่เห็นพวกมันมุมปากของซูฮยอนปรากฏรอยยิ้มบางๆ
“พวกแกใจร้อนจริงๆ ไม่คิดรอเพื่อนๆตัวอื่นที่กําลังตามมาสมทบเลยเหรอ?”
เนตรที่สามค่อยๆแย้มเปิดกลางหน้าผากซูฮยอนและจ้องเขม็งไปที่ฝูงหมาป่า
“หรือว่าฝูงของพวกแกมีกันอยู่แค่นี้?”
บรู้วววว
หมาป่าพยายามตีวงให้แคบลง พวกมันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ท่าทางหมาป่าจะสัมผัสได้ว่าซูฮยอนไม่ใช่เหยื่อธรรมดาที่พวกมันเคยล่า ถ้าหมาป่ามีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดและสติสัมปชัญญะที่สูงส่งกว่านี้พวกมันต้องรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากร่างกายซูฮยอนและควรหนีไปให้ไกลที่สุด แต่เพราะหมาป่าซื่อตรงต่อสัญชาตญาณนักล่ามากจนเกินไปผนวกกับความอยากอาหารจนกว่าพวกมันจะได้รับบาดเจ็บเลือดตกยาง ออก พวกมันจึงยังไม่มีความคิดที่จะหนี
ฟรี่บ!! ฟรี่บ!!
ฝูงหมาป่าที่กระจายตัวโอบล้อมซูฮยอนรอบทิศทาง กระโจนเข้าโจมตีพร้อมกัน
เมื่อเห็นฝูงหมาป่ากําลังเข้าประชิดตัว ซูฮยอนบ่นพึมพํากับตัวเองแผ่วเบา “ให้ตายเถอะเห็นภาพแบบนี้แล้วทําให้ฉันหวนรําลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเลย”
ซูฮยอนไม่ได้แสดงอาการหวาดวิตกออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาค่อยๆดึงดาบที่เก็บรักษาไว้ในฝึกออกมาใบดาบส่องแสงเปล่งประกาย…