การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 162
ตอนที่ 162
หลังจากยุติการต่อสู้กับซิกฟรีดได้ระยะหนึ่ง ซูฮยอนได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับมังกรแดงจากปากของบล็องก์โดย ตรง บล็องก์อธิบายถึงสาเหตุที่มังกรตัวอื่นเรียกมังกรแดงว่าเป็นผู้ทรยศและยังบอกถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับ ของมังกรแดงด้วย
“จะเรียกว่าทรยศก็ไม่ถูกต้องนัก ตามความรู้สึกของข้า เรียกว่าถูกทอดทิ้งจะเหมาะสมกว่าในหมู่มังกรด้วยกัน มังกรแดงรู้จักกันดีในฐานะผู้หนีสงคราม ระหว่างประจันหน้ากับบอสมอนสเตอร์”
“หนีสงคราม? พวกเขาหนีไปที่ไหน?”ซูฮยอนถาม
“เรื่องนั้นไม่มีมังกรตัวไหนทราบ มังกรบางตัวสันนิษฐานว่ามังกรแดงทอดทิ้งโลกใบนี้ แล้วย้ายไปอยู่โลกอื่นเจ้าอาจไม่รู้ มังกรแดงมีพลังที่สามารถข้ามมิติได้”
“มังกรเนี่ยนะข้ามมิติได้? พูดเป็นเล่น?”
“ข้าพูดเรื่องจริง ด้วยความสามารถที่ข้ามมิติได้ มังกรบางตัวจึงคิดเองเออเองว่ามังกรแดงทอดทิ้งพวกเราปล่อยให้มังกรที่รอดชีวิต ดูแลตัวเองตามบุญตามกรรม สิ่งที่ข้าพูดมาทั้งหมดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทําให้มังกรบางส่วนใส่ร้ายป้ายสีมังกรแดงว่าเป็นผู้ทรยศ”
ขณะฟังคําพูดของบล็องก์ ซูฮยอนหันหน้าตรวจสอบปฏิกิริยาของมิรุไปพลางๆ มิรยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิมสีหน้าไม่กระตือรือร้นกับเรื่องเล่าของมังกรแดงเลยสักนิด ทั้งที่หนึ่งในมังกรแดงอาจเป็นพ่อ แม่หรือ บรรพบุรุษ ของมันก็ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องเล่าน่าเบื่อเกินไปหรืออย่างไร มิรุหาวออกมาหวอดใหญ่หนังตาปรือพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทราทุกเมื่อ
“แต่สิ่งที่ข้าพูดไป ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงหรือความเท็จ มันเป็นแค่การสันนิษฐานเบื้องต้น เท่านั้น แต่ คาร์เน่ และมังกรส้มตัวอื่นพากันเชื่อแบบนั้น การหายตัวไปของมังกรแดงทําให้มังกรส้มที่เหลือรอด อ้างตนว่าเป็นทายาทราชามังกรรุ่นต่อไป”บล็องก์ยักไหล่และกล่าวต่อ
“มังกรบางส่วนรวมถึงข้า ไม่เชื่อการสันนิษฐานและคําพูดลมปากของพวกมังกรส้ม ข้ารู้จักมังกรแดงดีพอพวกเขาไม่มีทางทอดทิ้งพวกเราแน่”
“มังกรที่มีความคิดเหมือนผู้อาวุโส ยังเหลืออีกเยอะไหมครับ?”
“เมื่อก่อนเยอะ แต่ตอนนี้เหลือครึ่งต่อครึ่ง” บล็องก์กลว่า
“ตอนแรกมังกรจํานวนมากยังไม่เชื่อคําพูดของคาร์เน่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มังกรแดงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา คาร์เน่ที่มีชีวิตปกติสุข พูดกรอกหูให้มังกรตัวอื่นฟังไม่หยุด พวกมังกรหนุ่มเริ่มตาบอดหลงเชื่อคําพูดกรอกหูของคาร์เน่ไปโดยที่ไม่รู้ตัวยิ่งนานเข้าวันจํานวนมังกรที่เชื่อคําพูดของคาร์เน่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น”
“กาลเวลายังเปลี่ยนแปลง ไม่แปลกที่จิตใจจะเปลี่ยนตาม”
ระหว่างที่ซูฮยอนกําลังเดินตีไหลไปกับบล็องก์ จู่ๆเขาก็รู้สึกสะดุดใจเรื่องหนึ่ง เมืองออกจะใหญ่โตขนาดนี้แต่กลับมีมังกรเดินสวนทางพวกเขาไปแค่ไม่กี่ตัว มังกรบางตัวที่สังเกตเห็นพวกเขาจู่ๆก็รีบวิ่งวิ่งหนีจากไปราวกับพวกเขาเป็นอสูรร้ายอย่างงั้นแหละ จนถึงตอนนี้นอกจากบล็องก์และซิกฟรีดซูฮยอนเห็นมังกรแปลกหน้าเพียง 5 ตัวเท่านั้น
“ผมคิดว่าบรรยากาศภายในเมืองแห่งนี้ ค่อนข้างโหวงเหวงชอบกล”ซูฮยอนเอ่ยเสียงชุด
“คงเป็นเพราะเมืองแห่งนี้ ไม่ใช่เมืองของมนุษย์กระมัง”บล็องก์กล่าวตอบ
“จะเมืองมังกรหรือเมืองมนุษย์ ก็เหมือนๆกันนั้นแหละครับ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสภาพเมืองที่ดูโหวงเหวงเลย?”
“หลังสงครามเริ่มซาลง มีมังกรเพียง 50 ตัวเท่านั้นที่รอดชีวิต หลังจากผ่านมาหลายปีจํานวนประชากรมังกรเพิ่มมากขึ้น จากเดิมมี 50 ตัว เพิ่มมาเป็น 500 ตัว”
“500 ตัว?”
ซูฮยอนมองไปรอบๆเมืองด้วยสายตาประหลาดใจ เมืองที่ใหญ่โตแต่กลับมีมังกรอาศัยอยู่แค่ 500 ตัว เป็นสัดส่วนที่มองยังไงก็หาความลงตัวไม่เจอ
มังกรในเมืองมีน้อยผิดปกติ คงเป็นเพราะข่าวมังกรแดงไปถึงหพวกเขาแล้ว”บล็องก์กล่าว
“ทําไมข่าวกระจายไปเร็วจัง”ซูฮยอนถาม
“เพราะพวกเรามี [ดวงตา] ด้วยวิธีนี้ข่าวจึงแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็ว”
“[ดวงตา?]”
“มันเป็นวิธีสื่อสารระยะไกลของเผ่าพันธุ์มังกรเรา ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน เสียงก็ไปถึง แถมยังสามารถพูดคุยหารือกับมังกรหลายๆตัวพร้อมกันได้ด้วย”บล็องก์กล่าวออกมาพร้อมยึดอกตัวเองราวกับว่าภูมิใจการสื่อสารระยะไกลของเผ่าพันธุ์มังกร แต่ซูฮยอนกลับไม่รู้สึกตกใจหรือแสดงสีหน้าประทับใจออกมาเลย
<< สรุปสั้นๆคือไม่ต่างอะไรกับมือถือของโลกมนุษย์ >>
หมายความว่าข่าวเกี่ยวกับซูฮยอนและมิรุล่วงรู้ไปถึงหูมังกรตัวอื่นแล้ว…
ระหว่างทางไปที่พักอาศัยของบล็องก์ ซูฮยอนคิดกับตัวเองเงียบๆในใจ จนหัวสมองจะระเบิดอยู่รอมร่อ
<<การทดสอบของชั้นที่ 40 ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นเพราะตัวตนของมิรุ หากเดาไม่ผิด ภารกิจที่ฉันต้องทําคือการยุติสงครามกับมอนสเตอร์ที่รอดชีวิตอยู่บนโลกแห่งนี้และเป็นปัญหาคั่งค้างที่คาราคาซังมานาน>>
บล็องก์เคยกล่าวไว้ว่าสงครามยังคงดําเนินต่อไป แม้ฟาฟเนียร์จะออกไปจากโลกนี้แล้วแต่มอนสเตอร์ที่ฟาฟเนียร์ยกพลมายังคงอาศัยอยู่บนโลกใบนี้
<<เพื่อการนั้น ฉัน…>>
ครีน!!
ฉับพลันนั้น ดวงตาสีแดงเถือกก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซูฮยอนและบล็องก์ที่กําลังเดินตีคู่กัน
-ผู้อาวุโสบล็องก์
เสียงพูดดังออกมาจากดวงตา
บล็องก์หยุดฝีเท้าและตอบกลับดวงตานั้นว่า “เมรันย่ารี”
-ใช่แล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้พูดคุยกันนาน เห็นท่านผู้อาวุโสสบายดี ข้าก็อุ่นใจ”
“นานซะที่ไหน หากข้าไม่ถูกชายคนนี้รบกวน ป่านนี้ข้าคงยังไม่ตื่นจากการจําศีลหรอก”
<< ฉันรู้สึกสํานึกผิดเหมือนกันแฮะที่ปลุกเขาขึ้นมา >>
คําพูดของบล็องก์ทําเอาซูฮยอนเกิดความรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ไม่นานเขาก็สามารถสลัดความอายออกไปได้พร้อมเลื่อนสายตามองไปยังดวงตาสีแดงเถือก
<< นี่คือดวงตาที่บล็องก์พูดถึงสินะ? >>
ลักษณะภายนอกเหมือนดวงตาของยักษ์ไม่มีผิด เสียงที่ถ่ายทอดออกมาผ่านดวงตา คล้ายน้ําเสียงของหญิงงานมีทั้งความไพเราะและรื่นหูสุดจะพรรณนา
<< ทั้งมังกรเขียวและมังกรที่กําลังพูดคุยผ่านดวงตา ต่างเรียกบล็องก์ว่า [ผู้อาวุโส] แสดงว่าอายุของมังกรฟ้าตัวนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ >>
แม้ระดับสีจําเป็นตัวกําหนดชนชั้นวรรณะของเหล่ามังกร แต่บล็องก์เป็นมังกรที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานก่อนที่ชนวนสงครามจะเริ่มเสียอีกนอกจากบล็องก์ มังกรที่มีชีวิตอยู่ก่อนช่วงสงครามและรอดชีวิตมาถึงตอนนี้เหลือเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น
-ข้าได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสอยู่กับมังกรแดง เรื่องจริงรี?
“เรื่องจริง”
-ท่านคาร์เน่อยากพบผู้อาวุโสบล็องก์ มังกรแดง และ มนุษย์ ผู้อาวุโสบล็องก์ช่วยนําทางพวกเขามาหาท่านคาร์เน่จะได้หรือไม่?
“ข้าจําเป็นต้องทําตามคําสั่งด้วย?”
“ฝากไปบอกคาร์เน่ด้วยว่า ถ้าอยากเจอนัก ก็มาด้วยตัวเอง และห้ามคิดมิดีมิร้ายกับอาคันตุกะของข้าโดยเด็ด ขาด ถ้าข้ารู้ ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่”
-รับทราบเจ้าค่ะ ข้าจะแจ้งให้ท่านคาร์เน่ทราบ
“ดีมาก ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอจบการพูดคุยไว้แต่เพียงเท่านี้”
สิ้นเสียงของบล็องก์ ดวงตาสีแดงก็ค่อยๆจางหายไป ซูฮยอนตรงสายตาไปยังจุดที่ดวงตาปรากฏขึ้นและหายไป
“มังกรที่ผู้อาวุโสพูดด้วยเมื่อครู่ ใช่มังกรส้มหรือป่าวครับ”
“เจ้ารู้ได้ไง?”
“เพราะสีของดวงตา มีสีส้มแกมอยู่ด้วย อีกทั้งความเข้มข้นของพลังเวทยังสูงกว่ามังกรทุกตัวที่ผมเคยเจอ
“ซิกฟรีดจอมขี้เกียจเป็นตัวกระจายข่าวให้มังกรตัวอื่นทราบเป็นแน่”
“ช่างเขาเถอะครับ พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหน? ผมมีเรื่องที่ต้องทําด้วยสิ ไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ”
“เชื่อข้าเถอะ เจ้ารอไม่นานหรอก”
หลังจากบล็องก์พูดจบ ซูฮยอนเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆเมือง ก่อนจะพูดพึมพําขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสพูดได้ตรงเผงเลย”
กลุ่มหมอกควันหนาเตอะเริ่มปรากฏขึ้นบริเวณรอบตัวซูฮยอนและบล็องก์ หลังม่านหมอกควันมองเห็นเพียงเงาเลือนลางยืนรอไม่นานมังกรส้มและมังกรเหลืองพลันก้าวออกมาจากกลุ่มหมอกควัน
ขณะใช้สายตามองสํารวจพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ซูฮยอนพลางคิดกับตัวเองในใจว่า
<< นี่มันเหมือนเทเลพอร์ตเลยไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่ามังกรระดับสูงมีความสามารถแบบนี้ทุกตัว?น่าอิจฉาชะมัด >>
ในหมู่ผู้ตื่นขึ้นด้วยกัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ครอบครองสกิลที่มีความสามารถคล้ายคลึงกับการเทเลพอร์ตโดยเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังอีกจุดหนึ่ง แค่สกิลกระโดดไกลธรรมดาผู้ตื่นขึ้นยังตามหากันเลือดตาแทบกระเด็นแม้แต่ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ยังไม่สามารถถือครองสกิลประเภทเทเลพอร์ตได้เลย
<<ดูเหมือนมังกรที่ใช้ความสามารถเทเลพอร์ตได้ จะมีแค่มังกรระดับสีเหลืองขึ้นไปเท่านั้น>>ซูฮยอนประเมินความสามารถของมังกรใหม่
<<อย่างงี้ก็แปลว่ามังกรเขียวที่ฉันเคยเผชิญหน้า เป็นแค่พวกปลายแถวนะสิ น่าผิดหวังจริงๆ >>
แต่ไม่ว่ายังไงมังกรก็เป็นมังกรอยู่วันยังค่ํา ต่อให้มันจะอ่อนแอสักแค่ไหน สุดท้ายเผ่าพันธุ์มังกรก็จัดอยู่ในสายพันธุ์ระดับสูงสุดของบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี…
“นั่นนะเหรอ? มนุษย์ที่มากับทายาทของราชามังกร”
“ทายาทของราชามังกร? พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย มังกรแดงตัวนั้นเป็นทายาทผู้ทรยศต่างหาก”
“ขอเถอะ อย่าหยิบยกข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันขึ้นมาพูดจะได้ไหม? และห้ามใช้อารมณ์ส่วนตัวเข้าปะทะกับมังกรแดงด้วย พวกเราล้วนเป็นมังกรเหมือนกัน จะทะเลาะกันไปทําไม?”
ซูฮยอนสามารถทําความเข้าใจคําพูดที่มังกรทุกตัวกําลังกล่าวได้ เพราะบล็องก์ใช้พลังเวทถอดความภาษาของมังกรให้มนุษย์อย่างซูฮยอนเข้าใจง่ายขึ้น และเหมือนมิรุจะเข้าใจคําพูดของมังกรตรงหน้าด้วยเช่นกันมิรุที่ยืนอยู่ข้างๆซูฮยอนก้มศีรษะลงน้ําตารื้นขอบตาใกล้จะร้องไห้เต็มทน
เมื่อเห็นมิรแสดงสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ ความรู้สึกคั่งแค้นของซูฮยอนพลุ่งพล่านอยู่ในตัว
ซฮยอนใช้สายตาขึงขังมองสํารวจมังกรที่กําลังยืนล้อมรอบ ในแววตามังกรที่เพ่งพิศมายังพวกเขาให้ความรู้สึกเหมือนกําลังชมลิงชิมแปนซีที่ถูกขังอยู่ในกรงของสวนสัตว์อย่างไรอย่างนั้น
กลุ่มมังกรที่ยืนอยู่ตรงหน้าส่วนมากเป็นมังกรเหลือง มีเพียง 5 ตัว เท่านั้นที่เป็นมังกรส้ม
ในกลุ่มมังกรที่ยกโขยงกันมามืดฟ้ามัวดิน ซูฮยอนสะดุดตาเข้ากับมังกรตัวหนึ่ง ซึ่งตัวสูงกว่ามังกรตัวอื่นและยืนอยู่ใจกลางวง
<< ถ้าเดาไม่ผิด มังกรตัวนั้น คงเป็นผู้นําของเหล่ามังกรตอนนี้สินะ >>
มังกรทุกตัวมีกลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์ แต่มังกรตัวสูงที่สุดในกลุ่ม มีกลิ่นอายที่พิเศษยิ่งกว่ามังกรทุกตัวมังกรตัวสูงที่ซูฮยอนจ้องมองไม่วางตามีนามว่าคาร์เน่
เมื่อคาร์เน่สัมผัสได้ถึงสายตาของซูฮยอนที่กําลังมองมา มันถลึงตาใส่ซูฮยอนกลับไป ทําให้สายตาของมังกรและมนุษย์ประสานกัน
คาร์เน่เป็นฝ่ายแรกที่เปิดปากพูดกับซูฮยอนก่อน “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ที่นําทายาทของราชามังกรมาที่เมืองของพวกเรา?
คาร์เน่ถามด้วยน้ําเสียงสุภาพอ่อนน้อม มังกรที่ซูฮยอนเคยเจอก่อนหน้าอย่างซิกฟรีด เทียบกับคาร์เน่แล้วคนละเรื่องกันเลย ถึงแม้อีกฝ่ายจะใช้เสียงที่ฟังดูสุภาพ แต่สายตาและการแสดงออกของคาร์เน่เหมือนซิกฟรีดทุกระเบียบนิ้ว
“หากผู้อาวุโสกําลังพูดถึงมิรุ ก็ตรงตามที่ผู้อาวุโสว่า”
“มิรุ…ในภาษาบ้านเกิดของเจ้า ความหมายชื่อ แปลว่ามังกรใช่หรือไม่?”
ซูฮยอนรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่คาร์เน่ทราบถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อมรุ
คาร์เน่กล่าวพร้อมใบหน้าที่เอิบอาบไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องตกใจข้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกของเจ้าแต่ข้ามีชีวิตอยู่มานานเลยได้ยินเรื่องเล่าต่างโลกจากปากมังกรตัวอื่นผ่านหูมาบ้าง”
“ดูเหมือนผู้อาวุโสจะรู้เรื่องอะไรหลายๆอย่างพอตัวเลย”ซูฮยอนกล่าว
“ความรู้ของข้า ต่อให้มนุษย์มีอายุมากกว่าร้อยปีก็ศึกษาไม่หมด”
“ในเมื่อผู้อาวุโสเป็นมังกรที่มากความรู้และมีอายุยืนยาว ทําไมผู้อาวุโสถึงแสดงความเป็นศัตรูกับเด็กอายุ 3 ขวบด้วย?”
คลื่นพลังเวทของซูฮยอนและคาร์เน่เข้าปะทะกันกลางอากาศ เศษเสี้ยวพลังเวทแตกกระจายไปทั่วทุกสาร ทิศ คลื่นพลังเวทคาร์เน่พุ่งเป้าไปที่มิรุโดยเจตนา สมาธิและพลังเวทของคาร์เน่ไม่ธรรมดามันแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ ตื่นขึ้นแรงค์ S บางคนที่ซูฮยอนเคยเผชิญหน้าด้วยเสียอีกซูฮยอนถึงขั้นต้องรีดเค้นพลังเวทออกมาเพิ่มเติมเพื่อยับยั้งคลื่นพลังเวทของคาร์เน่
<< มิน่าเล่า ทําไมซิกฟรีดพลาดท่าให้กับ
ภายในใจของคาร์เน่เต็มไปด้วยความประหลาดใจก่อนจะมาพบซูฮยอนด้วยตัวเอง เขาสงสัยในตัวของฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอดหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถยับยั้งพลังเวทของตัวเองได้คาร์เน่ก็เปิดใจเชื่อคําพูดของซิกฟรีดซูฮยอนแตกต่างจากมนุษย์ทุกคนที่เขาเคยพบเจอ
“ผู้อาวุโสชื่อคาร์เน่ใช่ไหมครับ?”ซูฮยอนถาม
คาร์เน่ไม่นึกมาก่อนว่าจะมีมนุษย์กล้าใช้สายตาแบบนั้น มองมาที่ตนเองตรงๆและเอ่ยปากพูดกับเขาแบบนี้
“ไม่ผิด เป็นข้าเอง”
“ผมได้ยินเรื่องราวของผู้อาวุโสมาเยอะ ในเมื่อผู้อาวุโสมากความรู้ ช่วยคลายความสงสัยให้ผมหน่อยจะได้ไหม? มังกรแดงทรยศมังกรตัวอื่นจริงเหรอ?”
การตั้งคําถามจากซูฮยอน เป็นเหตุให้คาร์เน่อดไม่ได้ต้องมั่นคิ้วขึ้น..
“เจ้าพยายามแก้ต่างให้มังกรแดง? ไม่มีประโยชน์หรอก พวกมังกรแดงขี้ขลาดตาขาว ทอดทิ้งพวกเราโดยไม่เหลียวแลโลกใบนี้ไม่มีที่ยืนสําหรับมังกรแดงอีกต่อไป”
“ผู้อาวุโสเห็นมังกรแดงหนีด้วยตาตัวเอง?”
“แน่นอน ข้าเห็นเต็ม 2 ตา โชคดีที่ในสงครามครั้งนั้น ข้าเป็นมังกรเพียงตัวเดียวที่รอดชีวิตหากมังกรแดงยังอยู่ป่านนี้มังกรตัวอื่นๆคงยกย่องชมเชยมังกรแดงที่ช่วยกอบกู้โลกใบนี้ไปแล้ว”
“ผมเข้าใจแล้ว”ซูฮยอนพูดพร้อมพยักหน้า
“แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่พวกคุณก็ยังไม่ลืมความโกรธ มังกรแดงที่ทอดทิ้งพวกคุณไป เป็นมังกรรุ่นก่อนไม่ใช่เด็กคนนี้เสียหน่อย”
“หืม?”
คาร์เน่และมังกรตัวอื่นขมวดคิ้วให้กับคําพูดของซูฮยอน
ซูฮยอนหันหน้ามองมิรุที่ยืนข้างตัว
“เด็กคนนี้ไม่ได้ทอดทิ้งพวกคุณ แต่ทําไมพวกคุณถึงเอาความโกรธมาลงที่เด็กคนนี้ด้วย?”ซูฮยอนส่ายหัวราวกับกําลังสมเพชเหล่ามังกรที่อยู่ตรงหน้า
“พวกคุณบอกว่ามังกรแดงทอดทิ้งเผ่าพันธุ์มังกรของพวกคุณ ในเรื่องนั้นผมพอทําความเข้าใจได้เพราะมังกรแดงไม่ได้อธิบายอะไรให้พวกคุณทราบและหลบหนีไปแบบดื้อๆ แต่พวกคุณเคยคิดบ้างไหมว่าการเอาความผิดของมังกรตัวอื่นมาโยนใส่เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อีเหน่เป็นการกระทําที่ไม่สมควร? เพราะเด็กคนนี้มีสายเลือดของมังกรแดงไหลเวียนอยู่พวกคุณเลยเอาความโกรธที่สั่งสมมาอย่างยาวนานมาระบายลงที่เด็กคนนี้เหรอ? ทั้งที่ความจริงเด็กคนนี้ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ในอดีตเลยรู้ไหมอะไรไหม เผ่าพันธุ์ชั้นต่ําที่พวกคุณเรียกว่ามนุษย์ยังมีความคิดสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดสมมุติมีพ่อแม่คู่หนึ่งกระทําความผิดคนที่สมควรโดนด่ามีแค่พ่อกับแม่เท่านั้นอย่าดึงเด็กที่ไม่รู้ความเข้าไปเกี่ยวข้อง
พฤติกรรมที่เหล่ามังกรกําลังแสดงออกมาเหมือนเป็นการโจมตีผู้อื่นโดยอ้างเหตุผล เพื่อไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้เหตุผลอธิบายความผิดที่มังกรแดงรุ่นก่อนเคยก่อไว้ตั้งแต่ปีมะโว้ จึงตกมาอยู่ที่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบต่อไปแม้ในโลกยุคปัจจุบันแนวคิดแบบเดียวกับมังกรจะเลือนหายไปบ้างแล้วแต่ก็พอหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างสังคมมังกรและสังคมมนุษย์มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
เพราะมิรุเป็นเผ่าพันธุ์มังกรแดง พวกเขายังคงติดใจเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจึงไม่ยอมเปิดใจยอมรับและให้โอกาสมิรุพิสูจน์ตัวเอง
“ข้าไม่อย่าเสียเวลาเสวนากับเจ้าที่นี่นานนัก เจ้าตั้งใจฟังให้ดี สาเหตุที่สภาพแวดล้อมทางสังคมของมังกรเป็นเช่นนี้ เพราะมันคือความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์และมังกร”
“ความแตกต่างระหว่างมนุษย์และมังกรเหรอ?”ซูฮยอนกล่าว…
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นกิจธุระของเผ่าพันธุ์มังกรเรา ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือการดํารงชีวิตมนุษย์ และมังกรมีจุดแตกต่างกันมากโข เจ้าไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายเรื่องภายในของพวกเราหวังว่าเจ้าจะเข้าใจคําพูดของข้าถ้าเจ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร”คาร์เน่ใช้สายตามองสลับไปมาระหว่างซูฮยอนและมิรุก่อนจะถามด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทําไมเจ้าต้องโกรธแทนมังกรน้อยตัวนั้นด้วย? ความสัมพันธ์ของเจ้ากับมังกรน้อยตัวนั้นคืออะไรกันแน่?”
“คําตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ผู้อาวุโสยังจะถามอีกนะ”ซูฮยอนตอบคําถามของคาร์เน่กลับไป พลางลูบหัวปลอบโยนมิรุที่กําลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เขาคือลูกชายของผม ผู้อาวุโสรู้แค่นั้นพอ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากผมจะโกรธแทนลูกชายตัวเอง”