การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 153
ตอนที่ 153
เปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์อัดแน่นเต็มโพลงถ้ําความร้อนที่เกรี้ยวกราดกวาดล้างฝูงมอนสเตอร์ด้านหน้าที่กําลังพุ่งตรงมาหาซูฮยอน…
ปราณมังกรที่มิรุปล่อยออกมามีขนาดใหญ่กว่าเมื่อก่อนเยอะมากเพราะปราณมังกรปล่อยออกมาในโพลงถ้ําที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงอํานาจพลังที่สําแดงออกมาจึงเห็นเด่นชัดมากปกติ
ซากไร้วิญญาณของมอนสเตอร์นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเปลวเพลิงสีขาวลุกท่วมเผาผลาญร่างกายของพวกมันไม่ยอมหยุด
“เยี่ยมมากมรุ”
ซูฮยอนลูบหัวมิรุที่เคลื่อนตัวมาอยู่ข้างๆเขามังกรที่เคยมีขนาดเล็กสามารถจับได้ด้วยมือข้างเดียวตอนนี้มีขนาดใหญ่มากขึ้น จนมือ 2 ข้างจับไม่หมด…
คิ้ว!! คิ้ว!!
กระทั้งน้ําเสียงของมังกรที่ร้องออกมาก็แตกเนื้อหนุ่ม….
ซูฮยอนมองสํารวจร่างกายมิรให้ดีๆครั้งนี้เป็นรอบแรกที่มิรออกมาข้างนอกหลังจากเก็บตัวอยู่นานในมิติร่างกายของมิรุเติบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเยอะมากขนาดพอๆกับเสือโคร่งโตเต็มวัยมิรุเอาหัวของมันถูใบหน้าของซูฮยอนอย่างมีความสุข
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ นายตัวใหญ่กว่าฉันอีกนะดูสิน้ําลายของนายเลอะหน้าฉันหมดแล้ว”
ซูฮยอนผลักมิรออกไปให้ห่างจากแก้มเขาใช้ฝ่ามือลูบหัวของมิรเบาๆท่าทางมิรุจะมีความสุขมากที่ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอก…
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางที่มิรุแสดงออกมาซูฮยอนรู้สึกผิดในใจเล็กน้อยที่ไม่อัญเชิญมิรุออกมาข้างนอกแม้เขาอยากให้มิรุออกมาข้างนอกบ้าง แต่ก็ทําไม่ได้ เพราะขนาดตัวที่ใหญ่อาจทําให้ประชาชนที่พบเห็นคิดว่ามรุเป็น มอนสเตอร์…
<<ฉันนึกว่ามิรุจะตัวใหญ่มากกว่านี้ซะอีกที่ไหนได้เล็กกว่าที่ไว้เยอะเลย>>
ผ่านมาได้ประมาณ 1 ปี หลังจากมิรฟักออกมาจากไข่…
ซงฮยองกิผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บอกว่าโดยปกติมังกรส่วนใหญ่จะย่างเข้าสู่วัยรุ่นเมื่อมีอายุครบ 1 ปีซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเพราะเขาเคยอ่านเจอในหนังสือของมัลคอล์มจากการทดสอบบนหอคอยชั้นที่ 30 มาก่อน
แต่ว่า..
<<เหตุผลที่การเติบโตของมิรุช้ากว่ามังกรตัวอื่นเพราะมิรุจัดอยู่ในเผ่าพันธุ์มังกรแดงหรือป่าว?ซงฮย็องกิบอกว่ามิรุจําศีลเนื่องจากกําลังอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต…>>
เป็นความจริงที่ขนาดตัวของมิรุขยายใหญ่ขึ้นแต่เมื่อเทียบกับมังกรฟ้าของซงฮยองกิ มังกรของเขามีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แม้ขนาดตัวของมิรุจะเล็กกว่าเผ่าพันธุ์มังกรด้วยกันแต่การที่ได้เห็นมังกรที่ตัวเองฟูมฟักมา 1 ปี เติบใหญ่ขึ้นซูฮยอนที่เป็นเจ้าของก็พลอยดีใจไปด้วย
เขาเลิกสนใจมิรุและกวาดสายตามองไปยังโพลงถ้ําที่มีความร้อนจากปราณมังกรคุกรุ่น
<<ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่พลังทําลายล้างของมิรุมีอานุภาพรุนแรงขึ้นกว่าเก่า>>
ความจริงมิรสามารถออกมาสู่โลกภายนอกได้ตั้งนานแล้วมิรุใช้เวลาจําศีลเพื่อย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น แค่ 15 วัน เท่านั้น
แต่ซูฮยอนไม่อยากเปิดเผยตัวตนของมิรุให้คนอื่นทราบถ้าเขาอัญเชิญมิรออกมา งานสงครามแก่นแย่งอันดับคงยุติลงอย่างรวดเร็วฉะนั้นภายในดันเจี้ยนแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ซูฮยอนจะได้ตรวจสอบความสามารถของมิรุอย่างจริงจัง
<< มิรุแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนกันนะ….>>
ซูฮยอนลูบหัวมิรุสักพัก ก่อนเอ่ยปากพูดขึ้นว่า…..
“ลุยกันต่อเถอะ จะได้พิชิตดันเจี้ยนให้จบเร็วๆ”
คิ้ว!! คิ้ว!!
ตัดภาพไปที่สถานการณ์ภายในดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินอีกแห่ง…
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
“ฉันนึกว่าจะถึงคราวตายซะแล้ว”
หลังจากฝ่าฟันการต่อสู้ที่แสนดุเดือดมาได้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนที่คัดเลือกจากผู้อํานวยการทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นมอนสเตอร์หลายประเภทไม่ว่าจะเป็นประเภทแมลงหรือประเภทสัตว์เลื้อยคลานต่างพร้อมใจกันวิ่งกรูมาหาพวก เขา แถมแต่ละตัวยังแฝงไปด้วยความดุร้ายเพราะพวกมันเป็นมอนสเตอร์กินเนื้อที่ปกครองผืนป่าขนาดใหญ่แห่ง
“มีใครได้รับพิษบ้าง?”
“ทางนี้ครับ ระหว่างการต่อสู้ ผมโดนมอนสเตอร์กัด”
คังซึ่งชอลแจกยารักษาพิษให้กับคนในกลุ่มที่โดนมอนสเตอร์กัดยาแก้พิษที่แจกจ่ายให้กับทุกคน ถูกนํา ออกมาจากหอคอยแห่งการทดสอบราคาที่ต้องจ่ายมหาศาลจนไม่อยากพูดถึง เพราะยาแก้พิษมีประโยชน์ในการโจมตีดันเจี้ยนประเภทนี้ แม้ราคาจะสูงไปหน่อย แต่เพื่อความปลอดภัยถือว่าคุ้มค่า
“สถานการณ์แบบนี้ ฉันล่ะอยากได้ผู้ตื่นขึ้นที่เชี่ยวชาญสกิลฟื้นฟูมาอยู่ในทีมจริงๆ”
“คงยาก ผู้ตื่นขึ้นที่เชี่ยวชาญสกิลฟื้นฟูหาตัวยากจะตายด้วยเหตุผลนี้ทําให้ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสกิลฟื้นฟูได้รับค่าตอบแทนเยอะกว่าผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A ที่ทํางานให้กับกิลด์เสียอีก…”
บักหยูนกิวพูดพึมพําอยู่คนเดียว แต่ลีจุนโฮที่เดินเข้ามาหยุดข้างกายกล่าวตอบคําพูดของเขา
“พวกเรายังโชคดีที่มีโทมัสอยู่ด้วย หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากโทมัสความสูญเสียในการโจมตีดันเจี้ยนครั้งนี้ต้องใหญ่กว่านี้แน่”
พูดจบลีจุนโฮก็มองไปยังโทมัสที่กําลังหยอกล้อกับฮักจนอย่างสนุกสนาน
เมื่อพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ต่อสู้ท่าทางที่เหมือนเด็กของโทมัสเปลี่ยนไปทันตาเห็นเขาพยายามเต็มความสามารถเพื่อปกป้องคนในกลุ่ม ต่อสู้กับฝูงมอนสเตอร์อย่างไม่กลัวตายทําตามคําพูดที่ซูฮยอนเคยฝากฝังไว้
<< นี่นะเหรอความสามารถของ โลกาแห่งความมืดมิด]…>>
[โลกาแห่งความมืดมิด] เป็นสกิลที่โทมัสครอบครอง
สกิล [โลกาแห่งความมืดมิด] สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายวิธี…
ตัวอย่างเช่น กลุ่มเมฆสีดําที่ลอยตัวอยู่เหนือหัวมันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่สร้างขึ้นมาจากฝีมือโทมัสกลุ่มเมฆสีดํามีบทบาทสําคัญในการปกป้องสมาชิกในทีมจากมอนสเตอร์ประเภทแมลง
<<สกิลที่สามารถป้องกันก็ได้ โจมตีก็ดีแบบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนถือหอกข้างหนึ่งกับถือโล่ข้างหนึ่งเลยแฮะโทมัสมีพลังเวทย์ในร่างกายเยอะมากผนวกกับสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เฉียบขาดทําให้สามารถใช้สกิลได้ อย่างอิสระ>>
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโทมัสคือผู้ตื่นขึ้นที่มากล้นด้วยพรสวรรค์ในสงครามแก่งแย่งอันดับมีเพียงซูฮยอนและกอร์ดอนโรฮันเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าโทมัส
<<ถ้าโทมัสไม่อยู่ที่นี่ล่ะก็…..>>
สถานการณ์โดยรวมอาจแย่ลงกว่านี้มอนสเตอร์ประเภทแมลงมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ทุกตัวต่างมีพิษร้ายแรงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A สามารถต่อสู้กับมอนสเตอร์พร้อมป้องกันควบคู่ไปด้วยได้อย่างไม่มีปัญหาแต่ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B ลงไปคงเป็นการยากที่จะป้องกันตัวเองระหว่างการต่อสู้ที่ชุลมุน…
<<ต้องขอบคุณซูฮยอนจริงๆที่ให้ยืมตัวผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 2 คน หากไม่มีพวกเขาคนมากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มต้องจบชีวิตไปกับการต่อสู้>>
ความยากของดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินยากกว่าดันเจี้ยนอื่นๆที่บักหยุนกิวเคยพิชิตมาหลายเท่า ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทําไมซูฮยอนถึงกล้าพูดว่ากิลด์ฮาโฮตาลไม่มีความสามารถมากพอในการโจมตีดันเจี้ยน
“ไม่รู้ว่าทางด้านซูฮยอนสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
ลีจุนโฮพูดจึมงําเพราะอดเป็นห่วงซูฮยอนไม่ได้
โทมัสที่หูได้ยินเข้า จึงเปิดปากถามขณะโอบไหล่ฮักจนเขาพูดด้วยเสียงดังฟังชัดได้ยินไปหลายกิโล
“เกิดอะไรขึ้นกับซูฮยอนเหรอ?”
“หืม?”ลีจนโฮปรายตามองโทมัสด้วยความประหลาดใจอีกฝ่ายได้ยินเสียงพูดในลําคอของเขาได้ยังไงระยะห่างออกจะไกลซะขนาดนั้น
โทมัสพูดภาษาเกาหลีไม่ได้เลยแต่เหตุผลที่เขาสนใจคําพูดของลีจุนโฮ เพราะมีชื่อ [ซูฮยอน]หลุดออกมาจากปาก
“เปล่าไม่มีอะไร ฉันแค่กังวลความปลอดภัยของซูฮยอนนิดหน่อยเขาคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งถ้าเจอปัญหาเขาคงจัดการด้วยตัวเองได้…”
ลีจุนโฮรีบกล่าวตอบเป็นภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายให้โทมัสเข้าใจว่าเขากําลังเป็นห่วงซูฮยอนที่โจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเพียงคนเดียว..
ทีแรกลีจุนโฮก็นึกว่าโทมัสเป็นห่วงซูฮยอนเหมือนกับเขาแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้…
“เอาเวลาเป็นห่วงคนอื่น มาเป็นห่วงกลุ่มพวกเราดีว่าไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีใครตายบ้าง”โทมัสพูดด้วย เสียงแผ่วเบาขณะที่มือโอบไหล่ฮักจนไม่ปล่อย
“ซูฮยอนไม่ได้อ่อนแอ คิดมากไปก็มีแต่ปวดหัวแถมยังสร้างความไม่สบายใจให้ตัวเองด้วย”
“นั้นสิเนอะ…”
“คนอย่างซูฮยอน ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บจากพวกมอนสเตอร์กกก๊อกหรอกจริงไหม?”
[ปราณมังกร]
ฟู!!
ปราณมังกรของมิรุกวาดร่างมอนสเตอร์หนอนยักษ์ที่กระโจนเข้าโจมตีด้านหน้า
[ปราณมังกร] สร้างเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นพร้อมแผดเผาร่างมอนสเตอร์ทุกตัวที่ขวางหน้าเมื่อโดนคลื่นความร้อนอบไปเรื่อยๆจากเดิมที่ร่างมอนสเตอร์มีความยืดหยุ่นบิ๊กบึนก็ค่อยๆเริ่มแห้งเหี่ยวลงทีละนิดซูฮยอนอาศัยจังหวะที่มิรุเปิดช่องว่างให้ เหวี่ยงดาบฟันไปด้านข้าง
ฉวะ!!
ส่วนหัวของมอนสเตอร์หนอนถูกคมดาบเลือนจนขาดและตกแหมะลงไปบนพื้น เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่ของมอนสเตอร์ส่งผลให้การสังหารพวกมันเป็นเรื่องยาก แต่การตัดส่วนหัวของมอนสเตอร์ออกได้ผลเกินคาดใช้เวลาไม่นานมอนสเตอร์ที่หัวขาดหมดลมหายใจตายจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเก็บกวาดมอนสเตอร์หนอนยักษ์จนหมดซูฮยอนสะบัดเลือดสีเขียวที่เกาะอยู่บริเวณใบดาบออก ก่อนเก็บเข้าฝัก
“โพลงถ้ําใหญ่กว่าที่คิดอีกแฮะ”ซูฮยอนพึมพําพร้อมใช้สายตาสํารวจโพลงถ้ําใต้ผืนทราย ที่มีเส้นทางซับ ซ้อนเหมือนเขาวงกต
ซูฮยอนเดินโต๋เต่สํารวจโพลงถ้ําแห่งนี้มาแล้วกว่า 1 วันเต็มๆโดยไม่หยุดพักเอาแรง ทั้งหมดเป็นเพราะบัฟของมิรุและผลจากสกิลฟื้นฟู
ที่สําคัญการต่อสู้ที่ผ่านมา ซูฮยอนแทบไม่ได้ใช้พลังเวทเลยเขาอาศัยความสามารถทางกายภาพในการเข้าต่อสู้ซึ่งหมายความว่าเขาไม่เสียพลังเวทในร่างกายเลยแม้แต่หยดเดียวแถมพลังเวทย์ที่หดหายไปจา กการต่อสู้กับสมาชิกกิลด์ฮาโฮตาลก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมาที่ละนิด
ยุทธวิธีที่ซูฮยอนเลือกใช้ในการโจมตีดันเจี้ยนและสํารวจโพลงถ้ําคือเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นการที่เขาไม่หยุดพักทําให้ระยะทางในการเดินมีความคืบหน้าไปเยอะมาก
<<ใกล้ถึงจุดจบดันเจี้ยนแห่งนี้แล้วใช่ไหมหนอ?>>
เมื่อประมาณครึ่งวันซูฮยอนทราบแล้วว่าตําแหน่งที่บอสอาศัยอยู่คือจุดไหนแต่เขาเลือกเดินสํารวจรอบโพลงถ้ํามากกว่าไปเผชิญหน้ากับบอสตรงๆเพราะเขาตั้งใจสังหารมอนสเตอร์ทุกตัวที่พบในโพลงถ้ําให้หมดเสียก่อนค่อยไปเผชิญหน้ากับบอสที่หลัง
ซูฮยอนปล่อยพลังเวทย์ออกมาอ่อนๆเพื่อให้ฝูงมอนสเตอร์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขาเพราะพวกมันจะวิ่ง มาหาเขาด้วยตัวเอง
การต่อสู้ลากยาวไปถึง 1 วันเต็มในที่สุดเขาก็สามารถสังหารมอนสเตอร์หนอนยักษ์ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายได้…
“มิรุ”
คิ้ว?
“ยังสู้ไหวไหม?”
คิ้ว!!!
มิรุตอบคําถามของซูฮยอนกลับมาอย่างกระฉับกระเฉงตั้งแต่มิรุออกมาจากมิติมันปล่อยปราณมังกรไปแล้วทั้งหมด 5 ครั้งแต่เหมือนเจ้ามังกรจะไม่มีอาการเหนื่อยหอบ
แสดงว่าความแข็งแกร่งของมิรพัฒนาขึ้นมากกระทั่งบัฟของมิรุและสกิลฟื้นฟูก็มีอานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด…
ซูฮยอนถีบตัวกระโดดขึ้นหลังมิรุแม้ขนาดตัวมิรุจะไม่ใหญ่โตเท่ามังกรฟ้าของซงฮย็องกิแต่ขนาดตัวมิรุมพื้นที่เพียงพอให้หนึ่งคน
“ในเมื่อนายยังไหว งั้นพวกเราเดินหน้าต่อเถอะ”
ฟรีบ!!
มิรุสยายปีกออกแล้วลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ…
ซูฮยอนขี่หลังมิรุและระบุตําแหน่งให้มังกรบินกลับไปเส้นทางเดิมที่พวกเขาเคยเดินผ่านมาตลอดทางเต็มไปด้วยซากมอนสเตอร์หนอนยักษ์นอนเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่
เส้นทางที่มิรุบินผ่านมีทางแยกยิบย่อยเต็มไปหมดหากเดินหลงเข้าไปมีหวังหาทางออกไม่เจอแน่…
ครืน!!
ทันใดนั้นเอง ซูฮยอนก็สัมผัสได้ว่าโพลงถ้ําแห่งนี้ยังเหลือมอนสเตอร์อยู่เพราะพวกมันเคลื่อนตัวพร้อมกันทําให้โพลงถ้ําเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย
<<เหลือเยอะขนาดนี้เลยเหรอ นึกว่าหมดแล้วนะเนี่ย>>
ซูฮยอนทราบแล้วว่าตําแหน่งห้องบอสอยู่ตรงไหนแต่พวกเขาเลือกที่จะเดินผ่านห้องบอสไปเพราะมีจุดประสงค์อยากจัดการมอนสเตอร์หนอนยักษ์ที่ขจัดขจายอยู่ทั่วโพลงถ้ํา
เมื่อพวกเขาใกลถึงตําแหน่งที่ตั้งห้องบอสซูฮยอนปล่อยพลังเวทสํารวจสภาพแวดล้อมด้านในเขาพบว่าในห้องบอสมีมอนสเตอร์จํานวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ เทียบกันแล้วมอนสเตอร์ที่แออัดอยู่ข้างในห้องบอสมากกว่ามอนสเตอร์นอกโพลงถ้ําเสียอีก
ค่อนข้างชัดเจนว่าทําไมมอนสเตอร์ถึงมารวมตัวกันที่นี่…
พวกมันมีหน้าที่ปกป้องบอส ที่เปรียบเสมือนแม่ของพวกมัน
อีกแค่ไม่นานพวกเขาก็จะถึงห้องที่บอสอาศัยอยู่ซูฮยอนลูบหัวมิรเพื่อส่งสัญญาณให้หยุดบินเขาเพิ่งสายตามองสํารวจห้องบอสอย่างละเอียด..
เปาะ!!
ซูฮยอนดีดนิ้วเพื่อสร้างบอลเปลวเพลิงขนาดเล็กขึ้นมาก่อนที่จะขว้างเข้าไปด้านใน บอลเปลวเพลิงทําหน้าที่ให้แสงสว่างเมื่อมีแสงสว่างสายตาของเขาจึงมองเห็นสภาพแวดล้อมด้านในห้องบอสได้ชัดเจนขึ้น
ห้องที่บอสอาศัยอยู่มีโครงสร้างแบบโดมกีฬาขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมี….
มอนสเตอร์หนอนคลานยุ่บยั่บเต็มพื้นที่โดมตรงใจกลางของพวกมันมีหนอนขนาดตัวเบ้อเริ่มเพิ่มนอนแน่นิ่งอยู่กะด้วยสายตาขนาดตัวของหนอนที่นอนอยู่ตรงใจกลางตัวนั้นใหญ่กว่าหนอนทุกตัวที่อยู่ในห้องนี้
คิ้ว…
เมื่อเห็นสภาพด้านในห้องบอส มิรเผลอส่งเสียงร้องครวญครางแม้ว่าซูฮยอนจะไม่เข้าใจภาษาของมังกรแต่ก็พอทําความเข้าใจได้เหตุผลที่มิรุส่งเสียงร้องออกมา มันต้องการสื่ออะไรหมายถึงอะไร
หากผู้ตื่นขึ้นคนอื่นมาเจอห้องที่มีสภาพแบบเดียวกันนี้อย่างน้อยพวกเขาต้องเกิดอาการลังเลบ้าง
แค่จินตนาการว่าต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์หนอนจํานวนมากและตัวแม่ของพวกมัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขา จะรู้สึกขนลุกขนพอง
“มิร”
คิ้ว?
“มาเริ่มโจมตี พวกมันกันเถอะ เอาแบบจัดหนักจัดเต็มเลยนะ”
ซูฮยอนพูดจบก็กระโดดลงไปจากหลังมิรุ
อุป!
คลื่นพลังเวทมากมายมหาศาลเริ่มรวมตัวอยู่ในอุ้มปากมิรุตามปกติแล้วมิรุจะรีบปล่อยปราณมังกรออกไปทันทีแต่มาคราวนี้มิรปิดปากแน่นสนิทจนแก้มสองข้างของนูน
ความหนาแน่นและปริมาณพลังเวทที่รวบรวมไว้ในปากค่อนข้างมีอานุภาพอันตรายถึงชีวิต ซูฮยอนที่กําลังคิดพุ่งไปข้างหน้าโดยเมินเฉยปราณมังกร ถึงกับต้องหยุดลงทันควัน
<<ถ้าฉันฝืนบุกเข้าโจมตี โดยไม่สนใจปราณมังกรของมิรที่กําลังปล่อยออกมามีหวังได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่>>
เพื่อความปลอดภัยซูฮยอนจึงตัดสินใจรอให้มิรุปล่อยปราณมังกรก่อน
เพียงไม่นาน…
ฟู!!
[ปราณมังกรขั้นสูง]
ปราณมังกรที่พ่นออกมาจากปากของมิรุครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่ารอบที่ผ่านมาจนเทียบไม่ติด
ก๊ากกกก!!!
ลําแสงสีขาวบริสุทธิ์อันเป็นผลจากปราณมังกรเข้าปกคลุมห้องบอสขนาดใหญ่อย่างสมบูรณ์คลื่นความร้อนที่แผดเผาผลักซูฮยอนให้ก้าวถอยหลังดวงตาทั้ง 2 ข้างเกือบถลนออกจากเบ้า
<<เป็นพลังที่รุนแรงมาก…>>
เขาบอกให้มิรุโจมตีแบบจัดหนักจัดเต็มแต่เขาไม่คิดว่ามิรุจะเล่นใหญ่ขนาดนี้…
ซูฮยอนกระจ่างแก่ใจอยู่แล้วว่าปราณมังกรของมิรุทรงพลังขึ้นกว่าเดิมและจํานวนครั้งที่ใช่ได้ ก็เพิ่มมากขึ้น แต่ปราณมังกรที่มิรุปล่อยออกไปเมื่อกี้รุนแรงขึ้นอีกระดับ..
ก๊ากกก!!
มอนสเตอร์หนอนกรีดร้องโหยหวนกันระงมตามจุดต่างๆบนเนื้อตัวมีเปลวเพลิงสีขาวลุกท่วมไม่ยอมมอดดับง่ายๆ จากเดิมห้องบอสมีมอนสเตอร์หลายร้อยตัวแต่มากกว่าครึ่งหนึ่งต้องหมดลมหายใจไปเพราะถูกเปลวเพลิงคลอกตาย..
“สุดยอด”ซฮยอนอทานออกมาอย่างประทับใจ เขาพ่นลมออกจากปากพร้อมเอ่ยต่อ
“เป็นภาพที่น่าเหนือเชื่อจริงๆ”
คิ้ว!!
มิรุขานตอบซูฮยอนด้วยซุ้มเสียงแผ่วเบาสังเกตจากท่าทางอิดโรยเหมือนมิรุจะมีอาการเหนื่อยล้าแต่เมื่อมิรุได้ยินคําพูดยกยอจากซูฮยอน ทําเอามิรดีใจตัวลอยเหมือนเด็กจนลืมไปว่าตัวเองกําลังอยู่ในช่วงอ่อนแรง
“นายทําหน้าที่ได้ดีมาก มากยิ่งกว่าที่ฉันคาดการณ์ไว้อีก”
ซูฮยอนเอื้อมมือลูบหัวมิรุที่ลงมายืนอยู่ข้างตัวมังกรเอียงหัวพร้อมแสดงสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจออกมา ตั้งแต่มิรฟักออกจากไข่ มันไม่ดื้อกับเขาเลยแม้บางครั้งจะเผยท่าทิ้งอแงออกมาบ้างก็เถอะแต่มันก็ไม่เคยขัดคําสั่งของเขาเลยสักครั้งไม่แปลกใจทําไมซงฮยองกิถึงบอกว่า เมื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ฟักออกจากไข่แล้วเห็นหน้าใครเป็นคนแรกมันจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อแม่…
“เหนื่อยก็ไปพักผ่อนเถอะ เพราะที่เหลือ…”
ซูฮยอนชักดาบบัลมุงก์ออกมาจากฝักและก้าวเท้าไปหามอนสเตอร์หนอนที่ยังกรีดร้องไม่เลิกจากผลปราณมังกร
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง…”
ซูฮยอนเหวี่ยงดาบบัลมุงก์ฟันไปข้างหน้า
ห้องที่บอสอาศัยตั้งอยู่ในโพลงถ้ําลึกสุดเขาทําการสํารวจลาดเลาภายในห้องบอสเสร็จสรรพหมดแล้วจนหาคําตอบได้ว่าทางออกจากดันเจี้ยนตั้งอยู่ตรงไหน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจําเป็นต้องถนอมพลังเวทและความแข็งแกร่งอีกต่อไป…
ซูฮยอนตรึงสายตาไว้ที่บอสของเหล่ามอนสเตอร์บอสมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามอนสเตอร์ทุกตัวในห้องนี้
“เป็นโอกาสเหมาะ ที่ฉันจะได้ลองทดสอบ [สกิล] นั้น”
มีสกิลหนึ่งที่ซูฮยอนเก็บงําไว้เพราะข้อจํากัดของสกิลยุ่งยากเกินไป ทําให้ไม่สามารถใช้สุ่มสี่สุ่มห้าได้แต่ตอนนี้เขาครอบครองดาบบัลมุงก์แล้ว…
วุป!! วุป!!
ซูฮยอนแบ่งถ่ายพลังเวทไปที่ดาบบัลมุงก์ใบดาบที่นิ่งสงบเริ่มสั่นระรัวคล้ายใกล้ปริแตกเป็นเสี่ยงๆเต็มทน
ซูฮยอนจ้องมองดาบบัลมุงก์พลางพูดพึมพํา
“ดาบเกลียวคลื่น รูปแบบระเบิดกัมปนาท”