การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 152
ตอนที่ 152
“แฮ่ก แฮ่ก”
กลางผืนทะเลทรายร้อนระอุซากมอนสเตอร์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนไส้เดือนนอนหมดลมหายใจกลาดเกลื่อนเต็มพื้นเลือดสีเขียวเข้มกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วทุกหัวระแหง
กว์อนแจฮุนถือดาบสั้นไว้ในมือและหอบหายใจเหนื่อยเขากวัดแกว่งดาบปลิดชีพมอนสเตอร์ไปหลายสิบตัวแต่เขาไม่เห็นวี่แววว่ามอนสเตอร์จะลดลงเลย
“ไอ้มอนสเตอร์พวกนี้ ตกลงมีทั้งหมดกี่ตัวกันแน่?”
เขาระบุจํานวนที่แน่ชัดของมอนสเตอร์ไม่ได้แถมผืนทรายที่เดินไปข้างหน้าก็ไม่ปลอดภัยเขาไม่รู้เลยว่ามอนสเตอร์จะพุ่งพรวดขึ้นมาบนผืนทรายตอนไหน ปากขนาดใหญ่แยกกว้างและขมเขี้ยวแหลมคมของพวกมันพร้อมบดขยี้ร่างกายของเขาตลอดเวลา
ถ้ากวอนแจฮุนชะล่าใจ ไม่ระวังภยันตรายรอบตัวดันเจี้ยนแห่งนี้อาจกลายเป็นหลุมฝังศพของเขา
ตลอดระยะเวลา 20 นาที หรืออาจจะนานกว่านั้นก็อนแจฮุนใจจดใจจ่ออยู่กับการต่อสู้ไม่ได้หยุดพักการต่อสู้ยึดเยื้อกินเวลาหลายนาที่ส่งผลให้ร่างกายได้รับความเหนื่อยล้าพลังเวทย์และความแข็งแกร่งของเขาเริ่ม ถดถอยลงอย่างช้าๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงหนีความตายไม่พ้นต่อให้มีสมาธิมุ่งมั่นแค่ไหนแต่การพึ่งพาสมาธิเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถออกจากดันเจี้ยนไม่ได้
<<เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดจริงๆฉันไม่ควรมาเหยียบที่นี่ตั้งแต่แรก>>
ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน
ที่แรกก็อนแจฮุนเชื่อมั่นว่าตัวเขาคงสามารถโจมตีดันเจี้ยนแห่งนี้ได้โดยไร้อุปสรรคกวนใจตราบเท่าที่สมากิลด์เชื่อฟังคําสั่งของเขาอย่างขันแข็งและรวมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต้องพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินได้สําเร็จแน่นั่นคือสิ่งที่กวอนแจฮุนคิด…
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่วางแผนไว้กลับตาลปัตรไปหมด..
แม้ว่าดันเจี้ยนจะมีระดับสีเหมือนกันแต่ความยากในดันเจี้ยนที่ผู้ตื่นขึ้นต้องเผชิญไม่เคยเหมือนกันเลยสักครั้งยกตัวอย่างเช่นดันเจี้ยนระดับสีเขียว บนโลกมนุษย์มีการค้นพบดันเจี้ยนระดับสีเขียวมากมายหลายแห่งทว่าความยากภายในดันเจี้ยนระดับสีเขียวแต่ละแห่งที่มีการค้นพบ ไม่เคยอยู่ในเกณฑ์ที่กําหนดเลยยิ่งดันเจี้ยนมีขนาดใหญ่ ความยากด้านในจะเพิ่มระดับขึ้นตามไปได้วย
ข้อได้เปรียบของดันเจี้ยนระดับสีเขียวคือมีฐานข้อมูลใช้อ้างอิงได้เยอะผู้ตื่นขึ้นที่ได้รับภารกิจโจมตีดันเจี้ยนจึงพิชิตได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ดันเจี้ยนที่เขากําลังเหยียบย่ําอยู่ตอนนี้เป็นถึงดันเจี้ยนระดับสีฟ้าซึ่งมีการค้นพบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ฐาน ข้อมูลจึงมีน้อยมากเมื่อเทียบกับดันเจี้ยนระดับสีเขียว
ก็อนแจฮนประมาทเลินเล่อเกินไปจนลืมเตรียมความพร้อมของตัวเองให้ดี ผลลัพธ์ของการประมาทนําพาเขาให้มาเผชิญหน้าสถานการณ์อย่างปัจจุบัน
<< เหนื่อยเป็นบ้า ขอพักสักหน่อยแล้วกัน>>
ก็อนแจฮุนปล่อยพลังเวทย์สํารวจรอบๆว่ามีมอนสเตอร์ซ่อนตัวอยู่ไหมเมื่อแน่ใจว่าไม่มีมอนสเตอร์อยู่ใกล้ บริเวณนี้ เขาทิ้งตัวลงนั่งพักหายใจหายคอการต่อสู้ที่ผ่านมากเขาเอาชนะมอนสเตอร์ได้ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็จริงแต่ร่างกายของเขาหนีความเหนื่อยล้าไม่พ้นหากยังดึงดันต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่อไปความคล่องตัวของเขาจะเชื่องช้าลง..
<<ฉันยังสามารถออกไปจากดันเจี้ยนได้ถ้าพลังเวทย์ในร่างกายฟื้นตัวกลับมา>>
กวอนแจฮุนยังหาทางออกจากดันเจี้ยนไม่เจอแต่เขาเชื่อว่าทางออกคงตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางเข้ามากนักใช้สกิล [ย่นระยะ] อีกประมาณ 2-3 ครั้งอาจเจอทางออกที่กําลังตามหา…
ในเมื่อทางเข้าตั้งอยู่ใจกลางโอเอซิสหมายความว่าทางออกต้องตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่สามารถมองเห็นได้สะดุดตาหรือโดดเด่นจนผิดสังเกตกว์อนแจฮุนจึงปักใจเชื่อว่าทางออกคงหาได้ไม่ยาก..
ขณะที่กวอนแจฮุนกําลังคิดอะไรเพลินๆ
คริน!!
เสียงมอนสเตอร์เคลื่อนที่ดังออกมาจากได้ผืนทรายอีกไม่นานคงเข้าถึงตัวเขา
<<ให้ตายเถอะ พลังเวทย์ฟื้นกลับมาแค่นิดเดียวเองจะได้ออกแรงอีกแล้วเรอะ>>
ก็อนแจฮุนขบฟันและเตรียมใช้สกิล [ย่นระยะ]แต่ทันใดนั้นเอง…..
ฉัวะ!!
เลือดสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากใต้ผืนทรายใกล้จุดที่กวอนแจฮุนนั่งพัก
<<หม?…>>
มอนสเตอร์พุ่งพรวดโผล่ขึ้นมาเหนือผืนทรายลําตัวขนาดใหญ่ที่ตั้งตรงเริ่มโน้มต่ําลงเรื่อยๆจนราบเสมอผืนทรายลําตัวของมอสเตอร์เต็มไปด้วยร่องรอยของอาวุธมีคม…
บริเวณที่ใกล้ออกไปมีมอนสเตอร์โผล่ขึ้นมาจากใต้ผืนทรายหลายสิบตัวท่ามกลางวงล้อมมอนสเตอร์สายตาของก็อนแจฮุนมองเห็นร่างกายซูฮยอนเคลื่อนไหวเข้าประชิดตัวมอนสเตอร์
ซูฮยอนตวัดดาบเพียงครั้งเดียวก็สามารถกะเทาะเปลือกนอกที่แข็งแกร่งทนทานของมอนสเตอร์เมื่อเปลือกนอกที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันหลุดล่อน คมดาบจึงสามารถแทงละทุผิวหนังที่ยืดหยุ่นของพวกมันได้
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของกวอนแจฮุนไม่มีความสมเหตุสมผลเลยสักนิดมอนสเตอร์ทุกตัวที่โผล่ออกมามีความแข็งแกร่งมากพอในการทําหน้าที่เป็นบอสประจําดันเจี้ยนระดับสีเหลือง
หากกวอนแจฮุนเดินหลงไปติดอยู่วงล้อมมอนสเตอร์เขาคงเสียชีวิตโดยที่ไม่ทันขยับ
แต่มอนสเตอร์ที่กําลังกลุ้มรุมซูฮยอนพร้อมกันกลับไม่สามารถสร้างรอยขีดขวนให้ซูฮยอนได้เลย
ตูม!!!
ซากศพมอนสเตอร์ที่นอนกระจัดกระจายโดยเปลวเพลิงลุกท่วมความร้อนแรงของเปลวเพลิงไม่ได้ระอุอยู่ แค่ผืนทรายเท่านั้นแต่ยังแทรกแทรกซึมไปใต้ผืนทราย…
นอกจากซูฮยอนจะสังหารมอนสเตอร์ทุกตัวที่ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาแล้วเขายังตั้งใจจัดการมอนสเตอร์ที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผืนทรายด้วยเช่นกัน
<<เขาวางแผนจะค้นหามอนสเตอร์ที่หลบอยู่ใต้ผืนทรายและฆ่าหมดทุกตัวจริงดิ?>>
แม้กวอนแจฮุนจะสามารถปล่อยพลังเวทย์ให้แทรกซึมไปตามผืนทรายเพื่อค้นหามอนสเตอร์ได้แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเขาจําเป็นต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมสกิลและควบคุมอาวุธในมือ
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องแบ่งความคิดและพลังเวทย์ออกเป็น 2 ส่วนไม่สิต้องเป็น 3 ส่วนต่างหากเพื่อรับมือการต่อสู้ที่พร้อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
กวอนแจฮุนจ้องมองซูฮยอนต่อสู้กับมอนสเตอร์ด้วยสายตางงงันความคิดในการหลบหนีผุดขึ้นมาในหัวของเขาฉับพลัน
<<ไอ้เจ้าบ้านั้นอันตรายยิ่งกว่ามอนสเตอร์เป็นร้อยเท่า!! >>
ก็อนแจฮุนพึ่งโล่งใจจากการฝ่าฟันมอนสเตอร์ได้ไม่นานต้องมาหวาดเกรงกับปัญหาตรงหน้าอีกครั้งกวอนแจฮุนยังไม่ลืมว่าซูฮยอนและเขาเป็นศัตรูกันหากต้องเลือกว่าจะเผชิญหน้ากับใครระหว่างมอนสเตอร์และซูฮยอเขาขอเลือกเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ดีกว่าเป็นไหนๆ
<<ท่าจะไม่ดี ฉันต้องหนี>>
กวอนแจฮุนมั่นใจว่าตัวเองยังพอมีโอกาสรอดชีวิตเขาจึงตัดสินใจเปิดใช้สกิล [ย่นระยะ] อีกครั้งสภาพแวดล้อมที่สายตามองเห็นเริ่มพร่ามัวบิดเบี้ยวเขากระทืบเท้าพุ่งตัวไปข้างหน้าร่างกายไปปรากฏตัวตําแหน่งใหม่ระยะห่างไกลออกไปจากตําแหน่งเดิมที่เคยยืนอยู่เขาถอยหายใจแล้วเตรียมใช้สกิลกระโดด…
ฉีก!!
ยังไม่ทันกระโดด บริเวณขาของเขาข้างหนึ่งมีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน…
<<หึม…?>>
กวอนแจฮุนเดินไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซเขารีบก้มหน้าสํารวจขาของตัวเอง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเกิดจากสาเหตุอะไรคมหอกที่ไม่ทราบที่ไปที่มาเสียบทะลุขาของเขาข้างหนึ่ง
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บก็อนแจฮุนเงยหน้าขึ้นมองย้อนกลับไปด้านหลังเขาเห็นร่างกายซูฮยอนยืนตั้งท่าขว้างหอกอยู่ไกลๆ
<<เป็นไปได้ยังไง?>>
ซูฮยอนมองออกได้ยังไงว่าเขาคิดจะหนีไปทางไหน?หอกถึงได้แล่นลู่ลมเสียบทะลุขาของเขาแม่นแบบนี้กว์อนแจฮุนมั่นใจว่าตัวเองใช้สกิล [ย่นระยะ] ในการหลบหนีจากซูฮยอน
ในสายตาของคนทั่วไปเมื่อใดก็ตามที่ใช้สกิล [ย่นระยะ]การเคลื่อนไหวของเขาสมควรเหมือนการเทเลพอร์ตยากที่ตาเปล่าจะมองเห็น..
“นายหนีมาไกลใช้ได้เหมือนกันนะ”ซูฮยอนพูดด้วยน้ําเสียงเนิบช้าเท้าค่อยๆก้าวไปหากวอนแจฮุน
“ต่อให้นายหนีไปไกลแค่ไหนชะตากรรมของนายคงไม่พันกลายเป็นอาหารมอนสเตอร์อยู่ดี”
“ขอร้อง อย่าฆ่าฉันเลย…”กวอนแจฮุนหนีไปไหนไม่ได้เพราะหอกเสียบทะลุขาของเขาข้างหนึ่งทําให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกเขาหมดหนทางได้แต่เว้าวอนของความเมตตา
“ได้โปรดให้โอกาสฉันสักครั้งเถอะฉันสัญญาว่าจะไม่ทําเรื่องแบบนี้อีกแล้ว…”
ซูฮยอนเดินมาถึงจุดที่กวอนแจฮุนล้มลงเขาหยุดเดินเหมือนกําลังไตร่ตรองเรื่องอะไรบางอย่างก่อนเปิดปากถาม “นายเคยได้ยินคําพูดคล้ายๆกันนี้จากที่ไหนมาก่อนหรือป่าว?”
“นายกําลังพูดเรื่องอะไร?”
“อย่ามาตีหน้าเซ่อ ฉันมั่นใจว่านายต้องเคยได้ยินประโยคคล้ายๆแบบนี้มาบ้าง คําขอร้องอ้อนวอนของคนที่ นายกําลังลงมือฆ่า..”
เมื่อกวอนแจฮุนลองนึกย้อนกลับไปต้องบอกว่าเขาคุ้นเคยกับประโยคคําพูดและสถานการณ์คล้ายๆในปัจจุบันเป็นอย่างดี..
-ขอร้อง อย่าฆ่าฉัน
ก็อนแจฮุนเคยได้ยินคําอ้อนวอนแบบเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้งจากปากคนหลายคน พวกเขาร้องห่มร้องไห้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไม่อยากตายก็อนแจฮุนไม่ใจอ่อน คําตอบของเขายังคงเหมือนเดิมนั้นก็คือฆ่าเขาจึงแกว่งดาบสังหารอีกฝ่ายเพียงดาบเดียว
เพื่อให้พวกเขาจากไปสบายไม่รู้สึกทรมาน
ชะตากรรมของผู้เคราะห์ที่ตกเป็นเป้าหมายการก่อวินาศกรรมของกิลด์ฮาโฮตาลมักมีจุดจบไม่สวย
ซูฮยอนรีบกล่าวต่อ “คําตอบของฉัน…”
“ไม่ ใจเย็นก่อน!!”
ฉวะ!!
เคมดาบของซูฮยอนเหวี่ยงฟันเข้าไปที่หัวก็อนแจฮุนอย่างจัง..
“เหมือนกับของนายไงล่ะ”
ร่างไร้วิญญาณของก็อนแจฮุน ล้มพับลงไปบนผืนทราย
ครืน!! ครีน!!
ซูฮยอนสาดส่องสายตามองไปรอบๆสิ่งที่สายตามองเห็นมีแต่ทะเลทรายที่ทอดยาวไม่มีจุดสิ้นสุด
ใต้ผืนทรายกว้างใหญ่ ซูฮยอนรู้สึกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตหลายตัวกําลังเคลื่อนไหว..
นอกจากนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความปรารถนาของพวกมันได้อีกด้วย
“พวกแกอยากกินชายคนนี้เหรอ?”ซูฮยอนพูดไปลอยๆแต่ใต้ผืนทรายกับเกิดแรงสั้นกระเพื่อมอย่างหนักราวกับว่าพวกมอนสเตอร์เข้าใจภาษาของซูฮยอนและพยายามตอบกลับ
“ถ้าอย่างงั้น ไม่ต้องเสียเวลาซ่อนตัวแล้วโผล่ออกมาเลยเจ้าพวกหนอนทะเลทรายทั้งหลาย”
ตูม!!
หนอนยักษ์หลายสิบตัวโผล่ขึ้นมาเหนือผืนทรายซูฮยอนรีบกระโดดหลบขึ้นไปบนอากาศ
ร่างไร้วิญญาณของก็อนแจฮุนที่นอนกองอยู่หายเกลี้ยงไม่เหลือซากเลยสักชิ้น เพราะโดนหนอนยักษ์แทะกินระหว่างการต่อสู้กับซูฮยอน..
ซูฮยอนนั่งอยู่บนซากหนอนยักษ์ที่นอนกองพะเนินเทินทึกรอบๆตอนนี้ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตอีกแล้วนอกจากตัวเขา
“ดันเจี้ยนแห่งนี้ ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยแฮะ”
ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของทะเลทรายจะไปจบอยู่ตรงไหน?
และบอสซ่อนตัวอยู่ส่วนไหนของดันเจี้ยน?
ซูฮยอนมีประสบการณ์พบเจอดันเจี้ยนหลายลักษณะแต่ประเภทดันเจี้ยนที่เขาเกลียดมากที่สุดคงเป็นดันเจี้ยนที่มีลักษณะคล้ายๆแบบนี้การต่อสู้กับฝูงมอนสเตอร์ไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาที่แท้จริงดันเจี้ยนประเภทนี้คือการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องมากกว่า
หากซูฮยอนเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนลักษณะเขาวงกตเขายังมั่นใจว่าเดินสุ่มไปเรื่อยๆเดียวก็เจอทางออกเองแต่ดันเจี้ยนแห่งนี้มีลักษณะเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล มองไปทางไหนก็มีแต่ทรายสีขาวโพลน
<<ไม่ว่าดันเจี้ยนจะกว้างใหญ่สักแค่ไหน สุดท้ายก็มีจุดสิ้นสุดของมันอีกอย่างฉันสะกิดใจมาได้สักพักแล้วดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินแห่งนี้มันแปลกๆยังไงชอบกล>>
ซูฮยอนคาดคะเนว่าทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลที่มองเห็นผ่านสายตาอาจเป็นเพียงภาพลวงตา
เขาก้มหน้ามองซากมอนสเตอร์ที่ใช้เป็นที่นั่งรอบๆตัวของเขามีซากมอนสเตอร์กระจัดกระจายเต็มไปหมด…
มอนสเตอร์ทั้งหมดโผล่ออกมาจากใต้ดิน…
<<เป็นไปได้ไหมว่า…>>
ซูฮยอนพยายามใช้สมองคิดไตร่ตรองข้อสันนิษฐานที่เคยตั้งไว้ในใจเงียบๆ
<<มีโอกาสเป็นไปได้ว่าสภาพแวดล้อมที่เห็นในดันเจี้ยนทั้งหมด ทุกอย่างเป็นเพียงกลอุบาย?>>
แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่มันก็คุ้มค่าที่จะทดลองให้มั่นใจ
ซูฮยอนรีบลุกขึ้นยืน เขาไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าไปกับการนั่งพักเพราะความแข็งแกร่งและพลังเวทย์ใน ร่างกายของเขาไม่ได้ลดลงเยอะขนาดนั้น..
ซูฮยอนถึงดาบบัลมุงก์ออกมาจากฟักมือทั้ง 2 ข้างจับด้ามแน่นแล้วยกเหนือหัว
ใบดาบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ดาบบัลมุงก์ดูดกลืนพลังเวทย์ของซูฮยอนเข้าไปอย่างตะกละตะกลามใบดาบจึงยึดยาวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าซูฮยอนที่คิดว่าแค่นี้คงเพียงพอแล้วเลยตัดสินใจเหวี่ยงดาบลง
[หนึ่งดาบสะบั้นสรรพสิ่ง – ทลายบรรพตยักษ์]
ตูม!!
เมื่อใบดาบสัมผัสผืนทราย เม็ดทรายที่จับตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนปลิวว่อนไปทั่ว..
ซูฮยอนยืนอยู่ท่ามกลางพายุทะเลทรายที่เกิดจากการเหวี่ยงดาบเขาถ่างตาสํารวจใต้ผืนทราย เพื่อพิสูจน์ ข้อสันนิษฐานของตัวเอง
<<กะแล้วเชียว>>
หลังจากยืนยันข้อสันนิษฐานด้วยสายตาซูฮยอนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีและเดินไปเส้นทางที่สายตามองเห็น
ซูฮยอนโคจรพลังเวทย์ไว้ที่บริเวณดวงตาส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดทรายเข้าตา ก่อนเดินลงไปใต้ผืนทรายที่แยกตัวออกทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากลับมีโพลงขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ใต้ผืนทรายอีกชั้นหนึ่ง…
อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ใต้ผืนทรายมีพื้นที่แห่งอื่นซ่อนอยู่จริงด้วย
<<อืม…โพลงสร้างขึ้นมาจากใครกันนะ มอนสเตอร์เหรอ?หรือว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของดันเจี้ยนอยู่แล้ว?>>
ซูฮยอนไม่แน่ใจว่าโพลงใต้ผืนทรายใครเป็นขึ้นสร้างแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจเต็มเปี่ยมคือมอนสเตอร์ที่เคลื่อ นไหวอยู่ใต้ผืนทรายต้องเคลื่อนที่โดยอาศัยโพลงตรงหน้านี้แน่ หากพบสิ่งมีชีวิตเดินทอดนองอยู่ด้านบนผืนทรายพวกมอนสเตอร์จะโผล่ขึ้นไปและเริ่มออกล่าเหยื่อ…
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสําคัญที่ซูฮยอนควรใส่ใจ..
<<ครั้งที่ 3 แล้วเหรอเนี่ย>>
การปรากฏของดันเจี้ยนระดับสีเงินเร็วกว่าในอดีตมาจากความทรงจําของซูฮยอน ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน แห่งที่ 2 ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปีครึ่งถึงจะโผล่ออกมาบนพื้นโลก
แถมดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินแห่งที่ 2 ที่จะโผล่ขึ้นมาในอนาคตไม่ใช่ดันเจี้ยนฝาแฝดแบบนี้ด้วย
แน่นอนว่าตามประวัติศาสตร์ก็มีการค้นพบดันเจี้ยนฝาแฝดระดับสีน้ําเงินเหมือนกัน..
<<การค้นพบดันเจี้ยนฝาแฝดระดับสีน้ําเงินรู้สึกจะเป็นปี 2028 ไม่ใช่เหรอ?>>
ซูฮยอนจําได้ว่าเคยอ่านบันทึกหรือข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนฝาแฝดระดับสีน้ําเงินผ่านตามาก่อนในอดีต
<<ย้อนกลับไปตอนนั้น รู้สึกว่า…>>
ข้อมูล..
แม้ว่าซูฮยอนจะไม่รู้ข้อมูลโดยละเอียดแต่เขายังพอจําเนื้อหาคร่าวๆของดันเจี้ยนได้อยู่ ต้องขอบคุณผู้ที่ขึ้นคนหนึ่งจริงๆที่ยอมแบ่งปันข้อมูลให้เขา
ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตการปรากฏของดันเจี้ยนฝาแฝดระดับสีน้ําเงินนําพาความหวาดกลัวในผู้คนทั่วโลกเสมอ
<<ดันเจี้ยนแห่งนี้ ไม่ใช่ดันเจี้ยนใหม่อย่างที่เคยคิดไว้ มันเหมือนดันเจี้ยนเก่าที่อยู่ในความทรงจําของฉัน ทุกประการจุดที่แตกต่างออกไปคือดันเจี้ยนโผล่ออกมาเร็วกว่ากําหนดแถมสถานที่ตั้งดันเจี้ยนยังไม่เหมือ นเดิม และการที่ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินโผล่ขึ้นมาพร้อมกัน 2 แห่งแบบนี้หมายความว่าอัตราการเกิดดันเจี้ย นระดับสีน้ําเงินกําลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก>>
มีนักวิจัยท่านหนึ่งได้เขียวทฤษฎีอธิบายเอาไว้ว่าหากดันเจี้ยนระดับสูงโผล่ขึ้นมาบนพื้นโลกบ่อยจนผิดสังเกตแสดงว่าอัตราการเกิดดันเจี้ยนกําลังมีการเปลี่ยนแปลง.. ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ท่านนักวิจัยเขียวอธิบายไว้จริงๆ
<<จะกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่านี้แน่หากดันเจี้ยนระดับสีม่วงปรากฏขึ้น>>
ความยากในการพิชิตดันเจี้ยนระดับสีฟ้าแตกต่างจากดันเจี้ยนระดับอื่นอย่างมากหากมีเวลาเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบการโจมตีดันเจี้ยนจะผ่านพ้นไปอย่างง่ายดาย
บางครั้งใช้ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มากพรสวรรค์เพียงคนเดียวก็สามารถพิชิตดันเจี้ยนระดับสีฟ้าได้อย่างไม่ยากเย็นยกตัวอย่างเช่นกอร์ดอนโรฮัน
แต่จะกลายเป็นคนละเรื่องทันทีหากดันเจี้ยนระดับสีม่วงโผล่ขึ้นมา
และในวันที่ดันเจี้ยนระดับสีม่วงโผล่ขึ้นมาครั้งแรกบนโลก
ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับวันโลกาวินาศเริ่มมีเค้าลางกลายเป็นความจริง
“เฮ้อ ฉันจะกลายเป็นบ้าเพราะเรื่องปวดหัวเนี่ยแหละ”
ซูฮยอนจนปัญญานึกไม่ออกว่าทําไมอัตราการเกิดดันเจี้ยนระดับสูงถึงเพิ่มขึ้นเร็วนัก มีแต่เรื่องน่าปวดหัวประดังเข้ามาจะไม่ให้เขากลายเป็นบ้าได้ยังไง
คิดจนหัวแทบระเบิด ก็หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ….
แม้จะหาสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์ไม่พบแต่มีเรื่องหนึ่งที่ซูฮยอนมั่นใจ เขาต้องพยายามให้หนักขึ้นและ แผนการที่เคยวางล่วงหน้าเอาไว้ควรปรับเปลี่ยนให้เร็วขึ้น
<<เพราะเหตุการณ์ในอนาคตย่นเข้ามาเร็วกว่ากําหมดหลายเท่าหมายความว่าเจ้าฟาฟเนียร์ต้องโผล่ออกมาเร็วด้วยเหมือนกัน>>
สถานการณ์ที่ภายนอกอาจดูเหมือนย่ําแย่แต่ภายในกลับยังมีสิ่งที่ดีๆซ่อนอยู่ ดันเจี้ยนแห่งนี้เคยปรากฏมาก่อนในอดีตจุดที่แตกต่างมีแค่เวลาและสถานที่เกิดเท่านั้น…
<<แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้มีเวทีไว้สําหรับทดสอบฝีมือตัวเอง>>
เมื่อคิดได้ดังนั้นดวงตาของซูฮยอนพลันส่องประกายแม่ใจจริงเขาจะไม่ชอบเหตุการณ์ที่อยู่เหนือความทรงจําแบบนี้แต่เขาก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วนับตั้งแต่พิชิตดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่โผล่ออกมาโดยไม่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจําของเขาได้สําเร็จ
การเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือความทรงจําทําให้ซูฮยอนตัดสินใจปรับเปลี่ยนความคิดอ่านของตัวเองเสียใหม่..
การล่วงรู้อนาคตข้างหน้าทําให้ซูฮยอนได้เปรียบคนอื่นแต่หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาได้ข้อสรุปแล้วว่า เส้นขนานของอนาคตเดินไม่เหมือนเดิมอีกแล้วช่องว่างระหว่างซูฮยอนและคนอื่นจึงหดลดลง
ถึงกระนั้นก็ตามอนาคตข้างหนเไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆยังคงดําเนินต่อ ไปตามปกติซูฮยอนจึงได้เปรียบคนอื่นอยู่นิดหน่อย
ครีน!! ครืน!!
ดันเจี้ยนที่ซูฮยอนกําลังโจมตีกว้างใหญ่เป็นอย่างมากสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ทะเลทรายภายใต้ผืนทรายยังมีโพลงถ้ํากว้างโอ่โถงซ่อนเร้น เสียงมอนสเตอร์จํานวนมากกําลังเคลื่อนไหวดังระงมไปทั่วโพลงถ้ํา
<<เก็บเรื่องในอนาคตไว้คิดวันหลัง ตอนนี้ควรจริงจังกับดันเจี้ยนก่อน>>
โฮกกกกกก!!
เสียงคํารามจากมอนสเตอร์ดังสนั่นออกมาจากระยะใกล์ก้องกังวานมาถึงจุดที่ซูฮยอนยืนอยู่
จากการที่ซูฮยอนปล่อยพลังเวทย์ออกไปสํารวจลาดเลาเขาพบว่ามีกลุ่มมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่กําลังวิ่งกรูกันออกมาจากส่วนที่ลึกของโพลงถ้ามอนสเตอร์เบียดเสียดกันหนาแน่นจนซูฮยอนระบุจํานวนที่แน่ชัดไม่ได้….
ขณะซูฮยอนพยายามเพ่งสมาธินับจํานวนฝูงมอนสเตอร์ก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
<<ในเมื่อระบุจํานวนไม่ได้….งั้นก็>>
ซูฮยอนยิ้มกริ่มและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มิรุ”
เขาเอื้อมมือไปด้านหน้าแล้วทําการเปิดประตูมิติหัวมังกรโผล่ออกมาจากช่วงวางประตูมิติ แสงสีขาวอันบริสุทธิ์สว่างไสวไปทั่วโดยมีซูฮยอนเป็นจุดศูนย์กลางอานุภาพแสงทําให้การมองเห็นกลายเป็นอัมพาตชั่วครู่
“เก็บกวาดพวกมันให้เหี้ยน”
ฟูพ
[ปราณมังกร]