การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 151
ตอนที่ 151
หลังจากได้ยินเสียงร้องทักของซูฮยอน บรรดาผู้ตื่นขึ้นจากกิลด์ฮาโฮตาลสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ซูฮยอนก้าวเข้าสู่ดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินก่อนหน้าพวกเขาหลายชั่วโมง หากเป็นปกติซูฮยอนควรเดินสำรวจดันเจี้ยนและอยู่ไกลจากพวกเขา
แต่ซูฮยอนกลับมาดักรอพวกเขาอยู่ปากทางเข้าดันเจี้ยนพอดิบพอดี แม้ในบางกรณีปากทางเข้าดันเจี้ยนอาจกำหนดจุดลงไม่เหมือนเดิม กระนั้นพวกเขาค่อนข้างมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าซูฮยอนจงใจมาดักรอพวกเขาอยู่ที่โอเอซิสแห่งนี้
เหตุผลที่ซูฮยอนยังไม่ไปไหนเพราะว่า
<<เขากำลังรอพวกเราอยู่?>>
แต่ทำไมกัน?
ก็อนแจฮุนสังเกตการแสดงออกทางสีหน้าของซูฮยอน แววตาซูฮยอนในตอนนี้ แตกต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด แววตาของซูฮยอนเปี่ยมล้นไปได้ด้วยความเยือกเย็น แม้กระทั่งลักษณะการพูดที่ซูฮยอนพยายามสอบถามพวกเขาก็เยือกเย็นไม่ต่างกัน
“คิมซูฮยอน เหตุผลที่พวกเราเข้ามาในดันเจี้ยน เพราะพวกเราเป็นห่วงนาย พวกเรารู้ดีว่านายแข็งแกร่ง แต่การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินด้วยตัวคนเดียวมันอันตรายเกินไป”
ราวกับว่ากวอนแจฮุนเตรียมบทพูดเอาไว้ล่วงหน้า ก็อนแจฮุนตอบคำถามซูฮยอนอย่างลื่นไหลดุจสายน้ำ ไม่มีอาการตะกุกตะกักให้เห็น
ซูฮยอนจ้องมองใบหน้าของก็อนแจฮุนเงียบๆ ก่อนกระโดดลงมาจากต้นไม้ยักษ์
“อย่างงั้นเหรอ นายแอบตามฉันมา เพราะเป็นห่วงฉันเนี่ยนะ?”
“ถูกต้อง ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ นายไม่ต้องกังวลเรื่องความดีความชอบ หากดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินถูกพิชิตได้สำเร็จ ประชาชนทั่วไปยังคงเชื่อว่านายเป็นคนโจมตีคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นพวกเรามา…”
“ไอ้ลูกหมาปัญญาอ่อน คิดว่าฉันจะหลงเชื่อคำพูดที่ออกมาจากปากคนลิ้นไม่มีกระดูกอย่างนายหรือไง”
คำสบถที่ซูฮยอนเปล่งออกมาอย่างกะทันหัน ทำเอาก็อนแจฮุนตะลึงงัน…
ซูฮยอนไม่รั้งรอรีบกล่าวต่อว่า “นายพูดเองกับปากไม่ใช่เหรอ ว่าต้องการก่อวินาศกรรมกับฉัน นายอุสส่าห์เตรียมกำลังคนรออยู่ข้างนอกเกือบ 1 ชั่วโมง ก่อนตัดสินใจเข้ามาในดันเจี้ยน นายคงคิดว่าภายใน 1 ชั่วโมง พละกำลังของฉันคงถดถอยลงสินะ”
“นายกำลังพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจ..”
“ไม่เข้าใจงั้นเหรอ งั้นนายลองสังเกตบริเวณหัวไหล่ของตัวเองดูสิ”
ก็อนแจฮุนก้มมองบริเวณหัวไหล่ของตัวเอง ตามคำแนะนำจากซูฮยอน ทันใดนั้นก็อนแจฮุนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจและรีบปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ออก
“นี่มัน ตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
บางสิ่งบางอย่างที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของเขา ปลิวหายไปเหมือนควันไฟ..
สายตาที่จริงจังของก็อนแจฮุนจ้องมองหัวไหล่ตัวเองที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
“นี่มัน [ผูกเงา] ไม่ใช่เหรอ?”
[ผูกเงา] เป็นสกิลที่ไม่ธรรมดา ก็อนแจฮุนรู้จักคุณสมบัติของสกิลพอสมควร เนื่องจากในอดีตเขาเคยเผชิญหน้ากับคนที่มีสกิล [ผูกเงา] มาก่อน
สกิลนี้สามารถทำให้ผู้ใช้ติดตามการเคลื่อนไหวหรือดักฟังเป้าหมายได้อย่างแม่นยำผ่านเงาหากความชำนาญของสกิลสูงมากพอ มันสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเป้าหมายในช่วงระยะเวลาสั้นๆได้ด้วย
<<จุดด้อยของสกิลนี้คือ เมื่อเป้าหมายทราบว่าตัวเองกำลังโดนสกิล [ผูกเงา] เฝ้าติดตามคุณสมบัติของสกิลทั้งหมดจะใช้กับเป้าหมายไม่ได้ผลทันที เรียกง่ายๆว่าอำนาจของสกิลทั้งหมดเสื่อมคลายลง แม้สกิลจะติดตามตำแหน่งเป้าหมายไม่ได้ แต่สกิลจะถูกเปิดใช่งานไปเรื่อยๆจนกว่าพลังเวทย์ในร่างกายผู้ใช้จะหมด…>>
ก็อนแจฮุนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ หลังจากนึกถึงคุณสมบัติของสกิล [ผูกเงา]
หมายความว่าซูฮยอนได้ยินคำพูดของเขาทุกอย่างตั้งแต่ต้น
“การทำอะไรลับหลังคนอื่นแบบนี้ คงไม่ใช่ครั้งแรกของนายใช่ไหม? จากการสังเกตสีหน้าของนายเผลอๆอาจเกิน 2-3 ครั้งด้วยซ้ำ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆว่านายทำแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง”
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากซูฮยอน ทำให้สมาชิกกิลด์ทุกคนสะดุ้งสะเทือน พวกเขาไม่รู้จะสรรหาข้อแก้ตัวจากไหน ในเมื่ออีกฝ่ายมองพวกเขาเป็นศัตรู คงไม่ยอมฟังคำพูดของพวกเขาแน่
การก่อวินาศกรรมจะสำเร็จลุล่วงได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขาโจมตีศัตรูที่หมายตาและปล่อยให้ดันเจี้ยนเกิดการระบาด สำหรับชุมชนผู้ตื่นขึ้นทุกคนที่มีมโนธรรม จะรู้แก่ใจว่าการก่อวินาศกรรมถือเป็นการกระทำที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
ซูฮยอนมองพวกเขาด้วยสายตาเคร่งขรึม พร้อมเอ่ยพูดเสียงเย็นชา “ทุกคนคงเคยได้ยินข่าวดันเจี้ยนระบาดที่ประเทศอินเดียมาบ้างใช่ไหม?”
ข่าวโด่งดังขนาดนั้น ถ้าพวกเขาตอบไม่รู้สิแปลก
การระบาดของดันเจี้ยนระดับสีเขียวถูกบันทึกให้เป็นหายนะที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเป็นเบือ เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนเป็นสัญญาเตือนว่าโลกมนุษย์เราใกล้ถึงวันโลกาวินาศ
แม้กระทั่งซูฮยอนยังคิดไม่ถึง ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
เขารู้อยู่แล้วว่าในประเทศอินเดียจะมีดันเจี้ยนระดับสีเขียวขนาดมหึมาผุดโผล่ขึ้น แต่เท่าที่เขาจำความได้ การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่ประเทศอินเดียประสบการณ์ความสำเร็จโดยไม่มีการสูญเสีย
ซูฮยอนไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดว่าทำไมการโจมตีรอบนี้ถึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ถ้าเขาคาดเดาได้ถูกต้อง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสงครามแก่งแย่งอันดับจัดขึ้นเร็วกว่าในอดีตก็เป็นได้
การที่สงครามแก่งแย่งอันดับจัดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้ ส่งผลให้ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S จากทั่วโลกเก็บตัวขัดเกลาฝีไม้ลายมืออยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบลูกเดียว พอก้าวเท้าออกมาจากหอคอยแห่งการทดสอบก็รีบมุ่งหน้าไปเข้าร่วมงานทันที ผลที่ตามมาคือดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่ควรพิชิตได้ตั้งแต่แรก เกิดการระบาดขึ้น สาเหตุที่เกิดความเสียหายร้ายแรง เพราะผู้ตื่นขึ้นแรงค์ s ที่เป็นกำลังรบสำคัญไม่อยู่ในประเทศ
“นายน่าจะรู้ดีว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ขนาดเป็นแค่ดันเจี้ยนระดับสีเขียว ยังสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ฉันไม่ต้องพูดให้เสียเวลา นายคงกระจ่างแก่ใจอยู่แล้วว่าดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินอันตรายกว่าแค่ไหน”
พึ่บ!! พึ่บ!!
ความกดดันและความวิตกกังวลที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ทำให้ขาของ ยุนแจโฮ ผู้ทำหน้าที่บริการงานต่างๆภายในกิลด์ฮาโฮตาลสั่นพับๆ หลังจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน เขาพยายามบังคับแขนขาที่แข็งเกร็งให้ขยับ
แม้ยุนแจโฮจะสัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นพลังเวทย์จากฝ่ายตรงข้าม แต่สัญชาตญาณภายในตัวของเขากำลังแจ้งเตือนว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น..
<<ท่าจะไม่ดี ฉันต้องรีบหนีออกจากที่นี่>>
ยุนแจโฮค่อยๆยกเท้าถอยหลัง เดินไปกึ่งกลางโอเอซิส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาปรากฏตัวหลังจากก้าวเท้าเข้าสู่ดันเจี้ยน
แทนที่ร่างกายของเขาจะย้ายไปยังโลกภายนอก กลับยืนนิ่งอยู่จุดเดิม วิสัยทัศน์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น แถมข้อเท้ายังเปียกโชกไปด้วยน้ำ
<<ทำไมถึงออกไปไม่ได้??>>
อย่าบอกนะว่าทางออกและทางเข้าดันเจี้ยน จะไม่เชื่อมต่อกัน?
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยุนแจโฮประสบกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาเคยเจอเหตุการณ์ละม้ายคล้ายคลึงเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรแปลกใจหรือตกใจกลัว
แต่ยุนแจโฮอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมตัวเขาถึงโชคร้ายนัก สภาพแวดล้อมที่พวกเขาปรากฏตัวเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ผืนทรายทอดยาวสุดลูกหูลูกตาอย่างนี้ การที่เขาจะใช้เวลาสั้นๆในการหาทางออกคงเป็นไปไม่ได้
“หากพวกนายหายไปหมดภายในวันนี้ โลกคงน่าอยู่มากยิ่งขึ้น”
บรรยากาศรอบตัวซูฮยอนเกิดความผันผวน
ซูฮยอนไม่ได้โคจรพลังเวทย์ในร่างกาย แต่แรงกดดันที่ลอยตลบอบอวลเต็มอากาศ เกิดจากแสงสว่างที่ส่องประกายจากดวงตาและเนตรที่สามกลางหน้าผากเท่านั้น เพียงแค่ 2 อย่างนี้ ก็สามารถทำให้แผ่นหลังของผู้ตื่นขึ้นจากกิลด์ฮาโฮตาลหนาวสั่นไปด้วยความระย่อ
“เจ้าโง่ อุตส่าห์คุยดีๆด้วยไม่ชอบ แส่หาเรื่อง ตัวคนเดียวคิดว่าจะทำอะไรพวกเราได้?”
“ทุกคนไม่ต้องไปกลัว พวกเรามีกำลังคนเยอะกว่า”
สมาชิกกิลด์ฮาโฮตาลตะโกนเสียงดังใส่หน้าซูฮยอน เพื่อไล่ความกลัวที่เกาะกุมจิตใจ พวกเขาต่างเชื่อกันว่า จำนวนสมาชิกกิลด์เยอะขนาดนี้ คงไม่ลำบากเกินไปในการจัดการเป้าหมายตรงหน้า
“ไปฆ่ามันซะ!!”
ก็อนแจฮุน ไม่รอช้ารีบออกคำสั่งให้สมาชิกกิลด์ปฏิบัติตาม..
ผู้ตื่นขึ้นมากกว่า 10 คนขึ้นสะอึกเข้าใส่ซูฮยอนพร้อมกัน ส่วนผู้ตื่นขึ้นที่เชี่ยวชาญด้านการสนับสนุน ก็กระโดดถอยหลัง เว้นระยะห่างจากแนวหน้าให้ได้มากที่สุด
ในขณะนั้นเอง
ตูม! ตูม!
“อ๊ากกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องเวทนาดังขึ้นจากกลุ่มสมาชิกกิลด์ที่อยู่แนวหลัง
ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆที่ถีบตัวออกวิ่งไปด้านหน้า รีบหันหัวมองกลับไปด้านหลังอย่างลุกลี้ลุกลน สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาพวกเขาคือ สมาชิกกิลด์ที่สนับสนุนอยู่แนวหลัง กำลังโดนเปลวเพลิงลุกท่วมซากศพดำเป็นตอตะโก
การเบี่ยงเบนความสนใจซูฮยอนโดยใช้ผู้ตื่นขึ้นแนวหน้าบุกทะลวง เหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหัต… เพราะแนวหลังไม่มีคนคอยคุ้มกัน จึงถูกซูฮยอนบุกเจาะอย่างง่ายดาย
ฉัวะ!! ฉัวะ!!
ชั่วพริบตาเดียว หัวของผู้ตื่นขึ้นของกิลด์ฮาโฮตาลหลุดออกจากบ่าแล้วไม่รู้กี่หัวต่อกหัวบางคนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังแหวกอากาศ จึงพยายามหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นมีแต่ความว่างเปล่า ก่อนที่หัวจะกระเด็นหลุดออกจากร่างอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ฉัวะ!!
หัวผู้ตื่นขึ้นจากกิลด์ฮาโฮตาลปลิวกันว่อน ไม่รู้ของใครเป็นของใคร ละอองเลือดสีแดงสาดกระจายเต็มอากาศเหมือนห่าฝน
ทุกครั้งที่ซูฮยอนเหวี่ยงดาบโจมตี สมาชิกกิลด์ฮาโฮตาลทุกคนที่ยังรอดชีวิตมองไม่เห็นร่างกายของซูฮยอนเลยสักนิด ซูฮยอนเคลื่อนที่สลับตำแหน่งไปเรื่อยๆ จนสายตามองตามไม่ทัน
<<ขึ้นฉันยังไม่หนีไปไหน มีแต่ตายกับตาย>>
ยุนแจโฮประจักษ์กับตาแล้วว่าความหวาดกลัวที่สัญชาตญาณสั่นเตือนเป็นเรื่องจริง ยุนแจโฮจึงพยายามมองหาคนที่อาจช่วยเหลือเขาให้พ้นจากหายนะครั้งนี้
ก็อนแจฮุน…
เขาเป็นถึงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เหมือนกับซูฮยอน และ ยังเป็นกิลด์มาสเตอร์ด้วย สถานการณ์หมิ่นเหม่แบบนี้คนที่สามารถต่อกรกับซูฮยอนได้ คงมีแต่ก็อนแจฮุนเท่านั้น
<<ไม่เห็นเลย กิลด์มาสเตอร์หายไปไหนกัน?..>>
ร่างกายของก็อนแจฮุนที่สมควรอยู่ใกล้บริเวณนี้ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นไปไม่ได้อย่าบอกนะว่า…. ยุนแจโฮรีบหันไปมองด้านหลังตัวเอง สายตาของเขาเห็นร่างกว์อนแจฮุนกำลังพุ่งทะยานฝาเนินทรายอยู่ไกลออกไป..
ชายที่ได้ชื่อว่ากิลด์มาสเตอร์ ตั้งหน้าตั้งตาหนีอย่างเดียว โดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมาตรวจสอบสมาชิกภายในกิลด์เลย…
“ไอ้คนเห็นแก่ตัว..!”
ฉัวะ!!
ยุนแจโฮที่กำลังเปิดปากเอ็ดกิลด์มาสเตอร์ตัวเอง รู้สึกได้ว่าบริเวณลำคอ โดนของมีคมวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ยืนตรงค่อยๆโงนเงินและทรุดลงไปกับพื้น ดวงตาถลนออกมาจากเบ้า
ซูฮยอนที่แน่ใจว่ายุนแจโฮหมดล้มหายใจเรียบร้อย กระโจนเข้าหาผู้ตื่นขึ้นอีก 2 คนที่ยังรอดชีวิต มือจ้างดาบฟันโจมตีใส่พวกเขา จนร่างกายของทั้ง 2 คน แยกออกจากกัน ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หลังจากสังหารพวกปลาซิวปลาสร้อยจนหมด ซูฮยอนจ้องมองไปยังทิศทางที่ก็อนแจฮุนกำลังทะยานหนีไม่คิดชีวิต
พื้นที่แห่งนี้เป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล เกมซ่อนหาระหว่างกวอนแจฮุนและซูฮยอนกำลังเริ่มขึ้นในไม่ช้า
“แม่มันเถอะ!!”
ขณะกำลังตั้งอกตั้งใจวิ่งหนีให้ไกลที่สุด ก็อนแจฮุนอดไม่ได้ต้องสบถคำหยาบออกมาอย่างหัวเสีย
กวอนแจฮุนมีสถานนะความคล่องแคล่วค่อนข้างสูง ผนวกกับสกิล [เร่งความเร็ว] และ [ย่นระยะ] ทำให้หนีรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชได้
ความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาทั้งชีวิตถูกสายลมโอบอุ้มหายไป แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะคู่ต่อสู้อันตรายเกินกว่าที่คิดไว้มาก เมื่อเนตรที่สามกลางหน้าผากซูฮยอนแย้มเปิดขึ้น ความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของก็อนแจฮุนฉับพลัน
<<ถ้าไม่หนี ฉันมีหวังตายแน่>>
ก็อนแจฮุนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทำให้เขามีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่นเตือนให้ก็อนแจฮุนหนีห่างจากซูฮยอนให้ได้ เขาเลยสั่งการสมาชิกกิลด์เปิดฉากโจมตีซูฮยอน เพื่อเปิดช่องว่างให้เขาหนี
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่สั่นเตือนในหัวของก็อนแจฮุนรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เขาจึงไม่กล้าเพิกเฉยคำเตือน…
ก็อนแจฮุนที่ไตร่ตรองดีแล้ว เลยเลือกวิ่งหนีอย่างไม่ลังเล เขาหวังไว้ในใจลึกๆว่า ขอให้สมาชิกกิลด์ 20 คน ถ่วงเวลาให้ได้อย่างน้อย 1 นาที เพื่อทิ้งระยะห่างให้ได้มากที่สุด
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
5 นาทีในการหนีเอาตัวรอด ก็อนแจฮุนใช้พลังเวทย์ที่สะสมอยู่ในร่างกายหมดไปครึ่งหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าหนีมาไกลมากพอ เขาตัดสินใจหยุดพักหายใจหายคอบริเวณใต้เนินทราย จมูกสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด แล้วระบายออก ไล่ความเหนื่อยล้า
ก็อนแจฮุนรู้สึเบาใจมากขึ้น ไม่ว่าซูฮยอนจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน คงไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเขาได้ทัน..
<<ใครมันจะไปคาดคิด ว่าเหตุการณ์ทั้งหมด จะลงเอยแบบนี้? >>
สายตาที่เคยพร่ามัวเริ่มกลับมามองเห็นทะเลทรายแบนราบได้ชัดเจนอีกครั้ง
สกิล [ย่นระยะ] ของก็อนแจฮุน ทำให้การเดินทางไปตามจุดต่างๆสะดวกขึ้น
สกิล [ย่นระยะ] เป็นสกิลระดับสูงเพียงหนึ่งเดียวที่ก็อนแจฮุนครอบครอง
คุณสมบัติของสกิล [ย่นระยะ] ส่งผลให้ก็อนแจฮุนเคลื่อนย้ายไปจุดไหนก็ได้ ตราบเท่าที่อยู่ในระยะสายตา อธิบายให้สั้นกว่านี้คงคล้ายๆกับการ “เทเลพอร์ต
แน่นอนว่าการใช้แต่ละครั้งต้องสูญเสียพลังเวทย์ในร่างกายอย่างมาก แต่มันก็คุ้มค่ากับพลังเวทย์ที่เสียไป สกิล [ย่นระยะ] ประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตามประกบศัตรูหรือการหนีเอาตัวรอด
<<ฉันต้องหาทางออกให้เจอ>>
สิ่งที่ก็อนแจฮุนต้องทำต่อจากนี้ คือหาทางออกจากดันเจี้ยนให้พบ
ซูฮยอนอาจมองกลอุบายที่ใช้ถ่วงเวลาของเขาออกแล้ว ตอนนี้คงกำลังตามหาตัวเขาหัวหมุน
ก็อนแจฮุนมีประสบการณ์เสี่ยงตายมาหลายครั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองรอดชีวิต เขาถึงกับยอมเสียสละสมาชิกกิลด์มากฝีมือ 20 คนโดยไม่ลังเล..
<<ว่าก็ว่าเถอะ ทางออกจะไปหาจากไหนกัน?>>
จังหวะกำลังวางแผนขั้นต่อไป ก็อนแจฮุนที่นั่งพักหายใจอยู่ สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผืนทราย ผืนทรายที่เคยราบเรียบเสมอกัน นูนขึ้นคดโค้งซ้ายทีขวาที่เหมือนมีสิ่งมีชีวิตกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา
“หรือว่า…”
ทันใดนั้นผืนทรายที่ราบเรียบถูกสิ่งมีชีวิตปริศนาดูดกลืนเข้าไป จนกลายเป็นหลุมลึก
พรึบ!
ก็อนแจฮุนไม่รอช้า รีบใช้สกิลกระโดด ลอยตัวอยู่บนอากาศ..
ขณะก็อนแจฮุนกระโดดลอยตัว สายตาของเขามองเห็นปากขนาดใหญ่กำลังกลืนกินทรายเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม รอบปากมีเขี้ยวแหลมคมเรียงเป็นระเบียบ
<<มันเป็นตัวอะไรกัน? >>
สิ่งมีชีวิตไม่ทราบชื่อกลืนทรายเข้าไปเต็มกระเพาะ ทำให้จุดที่กวอนแจฮุนเคยนั่งพักกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
เพียงไม่นานหลุมขนาดใหญ่ก็ค่อยๆซ่อมแซมตัวมันเอง สายลมอ่อนๆพัดทรายที่เกยอยู่รอบข้าง ถมสภาพหลุมให้ตื้นขึ้น ราวกับว่าหลุมที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา ภูมิทัศน์ที่ปรากฏต่อสายตาของก็อนแจฮุนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
<<เมื่อตะกี้มันเป็นมอนสเตอร์อย่างงั้นเหรอ? >>
มอนสเตอร์ที่พบเมื่อสักครู่ มีขนาดที่ใหญ่โตไม่ใช่เล่น แค่ปากของมันเพียงอย่างเดียวก็กว้างประมาณ 5 เมตรแล้ว!!
แถมมอนสเตอร์ยังซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล พร้อมซุ่มตะครุบเหยื่อได้ทุกเมื่อ ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ก็อนแจฮุนระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของมอนสเตอร์ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ขนาดตัวก็ออกจะใหญ่
ก็อนแจฮุนที่เห็นสภาพแวดล้อมกลับมาเป็นปกติ จึงตัดสินใจร่อนลงพื้น เส้นขนสรรพางค์กายลุกชูชันอย่างอดไม่ได้ในสายตาของเขาผืนทรายที่กำลังเหยียบย่ำไม่ต่างอะไรกับถ้ำของมอนสเตอร์
<<มอนสเตอร์มีตัวเดียวใช้ไหม? หรือยังมีซ่อนอยู่อีกหลายตัว?>>
เขาบอกไม่ได้ว่ามอนสเตอร์ที่ต้องเผชิญหน้ามีทั้งหมดกี่ตัว
ก็อนแจฮุนหลับตาควบคุมลมหายใจให้สงบ ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มากประสบการณ์ การตระหนกตกใจมากจนเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี
<<เพื่อความปลอดภัยอย่างน้อยที่สุด ฉันต้องระบุจำนวนให้ได้ว่าบริเวณใกล้ๆนี้ มีมอนสเตอร์ทั้งหมดกี่ตัว…>>
ก็อนแจฮุนปลดปล่อยพลังเวทย์จากใต้ฝ่าเท้า ให้แทรกซึมไปตามผืนทรายด้านล่างเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต เขามั่นใจว่ามอนสเตอร์ต้องอยู่ใกล้เคียงไม่ผิดแน่ ใช้เวลาไม่นานคงทราบจำนวนที่ชัดเจนได้…
แต่ไม่นาน ก็อนแจฮุนก็ต้องเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง
“เวรเอ๊ย…”
ก็อนแจฮุนลืมตาขึ้น ผิวกายซีดเผือกเพราะฝืนใช้พลังเวทย์ค้นหาสิ่งแปลกปลอมใต้ผืนทรายนานเกินไป
จากการใช้พลังเวทย์สำรวจ ใต้ผืนทรายมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีคลื่นพลังชีวิตของมอนสเตอร์เลย หมายความว่ามอนสเตอร์ไม่ได้อยู่ใกล้บริเวณนี้แล้ว
ราวกับเหมือนว่ามอนสเตอร์มีสติปัญญาหลักแหลม เพราะมันพยายามหลบการตรวจจับของเขา ไม่ว่าจะแพร่ขยายพลังเวทย์ออกไปกว้างแค่ไหนก็ไม่พบวี่แวว เหมือนกับมอนสเตอร์ทั้งหมดพร้อมใจซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นทรายลึกๆ เพื่อไม่ให้พลังเวทย์ตรวจเจอ
<<ฉันจำเป็นต้องหนีและออกจากที่นี่>>
แต่จะหนียังไง หนีไปที่ไหน?
ทิศทางที่เขามองไป ไม่ว่าจะเป็น ซ้าย ขวา หน้า หลัง ทุกทางถูกปกคลุมด้วยทะเลทรายที่ทอดยาวไม่มีจุดสิ้นสุด สภาพแวดล้อมเปิดโล่งโจ้งแบบนี้ สมมุติมอนสเตอร์โผล่ออกมากลางทาง เขาคงหาที่หลบไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่พ้นกลายเป็นอาหารมอนสเตอร์
ทั่วทุกสารทิศรายล้อมไปด้วยทะเลทราย ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนความหมายก็เหมือนกัน
ไหนจะมอนสเตอร์ท่าทางอันตรายตัวนั้น ก็หาร่องรอยไม่พบ.
จู่ๆหัวสมองของกอนแจฮุนก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
<<ดันเจี้ยนแห่งนี้ ไม่ใช่ดันเจี้ยนธรรมดาทั่วไป แต่มันเป็นถึงดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน>>
คำพูดเหน็บแนมที่ซูฮยอนเคยกล่าวต่อเขา ตอนอยู่หน้าดันเจี้ยนดังก้องขึ้นในหัวอีกครั้ง
“การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน โดยมีนายเป็นผู้นำ ชาตินี้อย่าหวังเลยว่าจะพิชิตสำเร็จ นายยังมีความสามารถไม่มากพอ คิดว่าชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไง ในสายตาฉัน อย่างมากนายก็เป็นได้แค่ตัวตลกที่กำลังหาเหาใส่หัว”
ย้อนกลับไปตอนนั้น ก็อนแจฮุนคิดว่าคำพูดของซูฮยอน เป็นเพียงคำพูดยั่วยุที่จงใจให้อีกฝ่ายเกิดความโมโหเท่านั้น แต่ความจริงกลับหาใช่เช่นนั้นไม่
<<หมอนั่นพูดถูกทุกอย่าง>>
อ่านได้ที่ wwwcat2auto.com
คำพูดที่ออกมาจากปากซูฮยอนเป็นความจริงทุกประการ
“แค่ฉันคนเดียวก็เหลือแหล่”
ในเมื่อคำพูดที่เคยบอกกล่าวให้กวอนแจฮุนฟังเป็นความจริง ไม่แน่บางที คำพูดที่ฟังดูโอ้อวดจนน่าหมั่นไส้ของซูฮยอน ที่กล่าวอ้างยกยอเกินจริงว่าตัวเขาสามารถพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินด้วยตัวคนเดียว อาจมีสิทธิ์เป็นความจริงด้วยก็ได้