การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 149
ตอนที่ 149
“อะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
“หูฉันได้ยินเขาพูดว่า ในที่สุดพวกเขาก็มาสักที”
“แล้วพวกเขาที่ว่า หมายถึงใครละนั่น?”
“ทุกคนตรงโน้นมีกลุ่มคนปริศนากำลังเดินมาทางนี้ แต่เป็นไปได้ไง? ไม่ใช่ว่าพื้นที่บริเวณนี้ถูกจำกัดการเข้าออกหรอกเหรอ?”
“สงสัยพวกเขาคงเป็นพลเรือนที่ไม่ติดตามข่าวสาร พอเจ้าหน้าที่สบโอกาส ก็เลยลอบเข้ามาล่ะมั้ง”
กลุ่มของนักข่าวและกลุ่มของซูฮยอนมีระยะห่างค่อนข้างไกล ทำให้นักข่าวมองเห็นหน้าตากลุ่มคนที่กำลังไต่ขึ้นเนินเขาได้ไม่ชัดนัก เพียงไม่นานบรรดานักข่าวส่วนใหญ่ก็เลิกให้ความสนใจกลุ่มคนที่มาใหม่ สำหรับพวกเขาตอนนี้การสัมภาษณ์ ก็อนแจฮุน และ สมาชิกกิลด์ฮาโฮตาลสลักสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด นักข่าวไม่อยากพลาดประโยคเด็ดๆจากปาก ก็อนแจฮุน แม้แต่คำเดียว
แต่ไม่ใช่ว่านักข่าวทุกคนจะสนใจ ก็อนแจฮุน เพียงอย่างเดียว นักข่าวบางคนกระสันใคร่รู้ว่ากลุ่มคนมาใหม่เป็นใครกันแน่ จึงยังไม่ละสายตาไปไหน ตรึงสายตาไว้ที่กลุ่มคนมาใหม่อย่างมั่นคง
หนึ่งในนักข่าวที่มีสายตากว้างไกลพูดโพล่งเสียงดัง “นั่นมัน คิมซูฮยอนไม่ใช่เรอะ?”
“ห้า!!! นายว่าไงนะ?”
“นายบอกว่าคนที่กำลังเดินมาเป็น คิมซูฮยอน อย่างงั้นเหรอ?”
“พูดเป็นเล่น…”
สายตาแหลมคมจากนักข่าวเพ่งมองไปยังชายหนุ่ม 4 คนที่เดินมาถึงหน้าสะพานแขวน เมื่อกลุ่มคนมาใหม่ร่นระยะใกล้เข้ามา นักข่าวจึงสามารถมองเห็นหน้าตาของพวกเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เนื่องจากอาชีพนักข่าวต้องรายงานข่าวเกี่ยวกับผู้ตื่นขึ้นให้ประชาชนรับทราบอยู่สม่ำเสมอ พวกเขาเลยค่อนข้างคุ้นเคยใบหน้าผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษ
<<เป็นเขาจริงด้วย!! คิมซูฮยอนมาที่นี่!!>>
<<ถัดจากเขาเป็นใครกัน? ใช่ลีจุนโฮหรือป่าว?”>>
<<ส่วนชาวต่างชาติที่อยู่ข้างๆ น่าจะเป็นโทมัสสินะ?>>
<<โอ้ แม้แต่ ชเวฮักจุน ก็มาด้วยเหรอเนี่ย เขาเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่เลื่อนขั้นแรงค์ตามซูฮยอนมาติดๆ ที่สำคัญเขายังครองสถิติผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่อายุน้อยที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย>>
ดวงตาของนักข่าวทุกคนเบิกโพลงพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเหลียวซ้ายแลขวามองรอบตัวและกลั้นลมหายใจโดยไม่ได้นัดหมาย นักข่าวที่อยู่บริเวณนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อรอการสัมภาษณ์ของ กวอนแจฮุน แต่การปรากฏตัวของกลุ่มซูฮยอนทำให้นักข่าวเกิดความสับสนลังเล
นักข่าวบางคนที่มีความใกล้ชิดกับกร็อนแจฮุนมากเป็นพิเศษ รู้สึกกระอักกระอ่วน เลยพยายามหลุบตาลง บอกตามตรงว่าเขาอยากไปดูซูฮยอนใกล้ๆเหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถปล่อยกวอนแจฮุนทิ้งไปได้
<<ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? >> กวอนแจฮุนก็แปลกใจไม่ต่างอะไรกับนักข่าว
ก็อนแจฮุนทราบอยู่แก่ใจว่าคิมซูฮยอนเคยปะทะกับสมาชิกกิลด์ของเขามาก่อน ณ. สถานที่ทำงานของคิมแดโฮ ทว่าหลังจากเหตุการณ์วันนั้นผนวกกับคำเตือนจากซูฮยอน เขาไม่ส่งคนไปก่อกวนคิมแดโฮอีกเลย การทะเลาะวิวาทในวันนั้นไม่น่าใช้ชนวนความขัดแย้งที่นำมาสู่การเผชิญหน้าการที่เขามาโผล่ที่นี่กะทันหัน ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่ๆ
<<เป็นไปได้ไหม ว่าเขาก็สนใจดันเจี้ยนเหมือนกัน?>>
ก็อนแจฮุนเริ่มคาดคะเนเหตุผลที่ซูฮยอนมาปรากฏตัวที่นี่ และเหตุผลที่เขายกขี้นมาสันนิษฐานมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด เพราะซูฮยอนมีประสบการณ์พิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บักหยูนกิวจะข้อความช่วยเหลือจากซูฮยอน
ก็อนแจฮุนขมวดคิ้วมุ่นพร้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันโดยไม่รู้ตัว ในจุดนี้คนที่มีสมองไม่ที่มจนเกินไป จะสามารถวิเคราะห์ทำความเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปต่อจากนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
<<หมายความว่าผลประโยชน์ทั้งหมดที่ฉันและกิลด์ฮาโฮตาลควรได้ จะถูกโอนย้ายไปที่ไอ้บ้านั่น>>
“คุณคิมซูฮยอน ผมมาจากสถานีวิทยุกระจายเสียง OBS ผมขอถามอะไรคุณ 1 ข้อได้ไหมครับ”
“ทำไมคุณถึงรีบกลับมาที่ประเทศเกาหลีกะทันหัน หลังจากสงครามแก่งแย่งอันดับจบลงด้วยครับ?”
“คุณมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินบ้างครับ?”
“คุณคิมซูฮยอน!”
“ช่วยตอบอะไรสักอย่างสิครับ”
นักข่าวตั้งคำถามหลายข้อ ซูฮยอนยกมือขึ้นทำสัญญาณมือบอกเป็นนัยๆว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกคุย แล้วเดินผ่ากลุ่มนักข่าวไป
ฮักจุนที่พ้นกลุ่มนักข่าวมาได้ พูดจึมงำด้วยใบหน้าเอื้อม “คนดัง ก็ไม่ได้ดีเสมอไปเนอะ”
“นี่แค่น้ำจิ้ม อีกไม่นานหนักข้อกว่านี้อีกแน่” ซูฮยอนพูด
“พี่ยังใจเย็นได้อยู่อีกนะ ทำอย่างกับว่าเคยชินกับเหตุการณ์ฝูงซอมบี้รุมล้อมอย่างงั้นแหละ? อย่าบอกนะว่าผมพูดถูก?”ฮักจุนเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ….”
ซูฮยอนตอบกลับอย่างกำกวมและก้าวเท้าตรงไปยังกร็อนแจฮุน…
สายตาเหี้ยมเกรียมของกวอนแจฮุนจ้องเขม็งใส่ซูฮยอน
แชะ!! แชะ!!
เมื่อซูฮยอนและก็อนแจฮุนยืนประจันหน้ากันโต้งๆ นักข่าวทุกคนเหมือนรู้งาน พวกเขาหยุดยิงคำถามแล้วหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้แทน การพบปะครั้งแรกควรทำให้ภาพรวมออกมาดูดีที่สุด ซูฮยอนตัดสินใจซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้ภายใต้แสงแฟลชกล้องที่โหมกระหน่ำไม่หยุด
กอนแจฮุนก็ไม่แคล้วเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้เช่นกัน การสร้างภาพต่อหน้ากล้อง เขามีความเชี่ยวชาญพอตัว จึงไม่ยากเกินไปสำหรับเขาในการปรับเปลี่ยนกิริยาอาการ
“ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนายมานาน ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกันสักที ยินดีที่ได้รู้จัก” ก็อนแจฮุนเอื้อมมือไปหาซูฮยอนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เขาสำเหนียกการปฏิบัติตนในที่สาธารณะดี ปะทะคารมกับซูฮยอนต่อหน้าคนหมู่มากไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก
“นายคิดงั้นจริงเหรอ?”ซูฮยอนพูดพร้อมจับมือกวอนแจฮุนกลับ “ฉันนึกว่าพวกเรา 2 คน ไม่กินเส้นกันซะอีก”
“ไม่กินเส้นกัน?”
“พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย”
“พวกเขารู้จักกันด้วยเหรอ?”
บรรดานักข่าวกระซิบกระซาบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแผ่วเบา ก็อนแจฮุนอดยนคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ เขาพยายามอดกลั้นเก็บอาการสุดความสามารถ แต่คำพูดคำจาของอีกฝ่ายทำให้เขาเผลอแสดงอาการไม่พอใจออกมาประปราย
<<เจ้าบ้านี้ จงใจฟื้นฝอยหาตะเข็บเหตุการณ์จากในอดีตขึ้นมา เพื่อให้สาธารณชนรับรู้ชัดๆ>>
การพานักข่าวกลุ่มใหญ่มาด้วยกลายเป็นดาบสองคมต่อเขาเสียแล้ว คำพูดของซูฮยอนส่งผลกระทบต่อก็อนแจฮุนเป็นอย่างมาก
ซูฮยอนคิดไว้อยู่แล้วว่าผู้อำนวยการไม่มีทางกล้าตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับทางสมาคม และเขาก็ไม่อยากสร้างเรื่องวุ่นวายให้ผู้อำนวยการเพิ่มเติมด้วย เขาจึงแอบวางแผนเอาไว้อยู่ในใจ…
แม้ซูฮยอนจะเผชิญหน้ากับกลุ่มคนจำนวนมาก แต่เขาไม่คิดกังวลหรือหวาดหวั่นเลย เพราะเขาได้รับเกียรติให้เป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก การกำราบกลุ่มคนตรงหน้าไม่ใช่เรื่องยาก
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ลูกกิลด์แสดงพฤติกรรมหยาบคายแบบนั้น คราวหน้าคราวหลังฉันจะอบรมพวกเขาให้ดี” ก็อนแจฮุนกล่าวตอบ
“เรื่องเข้าใจผิด?”ซูฮยอนถามย้ำ
“ถูกต้อง สาเหตุที่พวกเขารีบรุดหน้าไปที่นั่น เพราะต้องการอาวุธมาโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน ทว่าคิมแดโฮไม่ยินยอมขายอาวุธให้กับพวกเขา การโจมตีดันเจี้ยนมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพลเรือนเป็นอย่างมาก พวกเราต้องการเครื่องไม้เครื่องมือในการพิชิตดันเจี้ยนโดยด่วนที่สุด ลูกกิลด์ของฉันเลยลืมคิดหน้าคิดหลัง” ก็อนแจฮุนกล่าวตอบด้วยเสียงเศร้าสลดพร้อมสายหัว
“แม้การกระทำของพวกเราอาจดูผลีผลามไปหน่อย แต่เรายินดีรับซื้ออาวุธจากเขาในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด โชคร้ายที่เขาตั้งราคาสูงเกินจริง ทำให้ลูกกิลด์ที่ส่งไปเจรจาต่อรองเกิดอารมณ์หงุดหงิด บังเอิญนายอยู่ที่นั่นพอดี เลยเห็นภาพบาดตาเข้า ฉันเข้าใจดีว่าตัวนายที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่อง เมื่อเห็นคนกำลังถูกรังแกจึงเข้าไปช่วยเหลือ”
“คิมแดโฮ? ใครคือคิมแดโฮ? มีใครรู้จักหรือเคยได้ยินบ้างไหม?”
“กิลด์ยิ่งใหญ่อย่างกิลด์ฮาโฮตาล ยังประสบปัญหาขาดแคลนอาวุธในการโจมตีดันเจี้ยนอีกเหรอเนี่ย?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคนที่ชื่อคิมแดโฮเป็นใคร แต่เขาใจดำมาก เขากล้าหักหน้ากิลด์ฮาโฮตาลได้ยังไง? กิลด์ฮาโฮตาลอุสส่าห์เสียสละเวลาอันมีค่าโจมตีดันเจี้ยนเพื่อส่วนรวมแท้ๆ”
ความคิดเห็นของผู้คนส่วนใหญ่เริ่มคล้อยตามกัน พวกเขากล่าวหาคิมโฮแดว่าเป็นคนใจจืดใจดำ โดยที่ไม่รู้ถึงต้นตอของเรื่อง
เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรอบเป็นไปตามที่เขาต้องการ ก็อนแจฮุนเผยรอยยิ้มมุมปาก ไม่แน่เขาอาจสลัดคราบอาชญากรไปให้คิมแดโฮรับไว้แทนสำเร็จจริงๆก็ได้
“อย่ามาคิดเองเออเอง พวกคุณไม่รู้เลยเหรอว่าการโจมตีดันเจี้ยนไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องมาย่ามตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ซูฮยอนพูดกระแทกเสียง เขาจะไม่ยอมให้คนอื่นใส่ร้ายป้ายสีคิมแดโฮมั่วชั่วอีก
“เหมือนพวกคุณจะลืมเรื่องอะไรไป ดันเจี้ยนแห่งนี้ถูกค้นพบโดยพลเรือน อำนาจเด็ดขาดจึงตกเป็นของผู้อำนวยการเพียงผู้เดียว พวกเขาไม่มีสิทธิ์มาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ ต่อให้พวกเขามีโอกาสโจมตีดันเจี้ยนจริงๆ คิดเหรอว่าจะพิชิตดันเจี้ยนได้สำเร็จ? ความสามารถทำเตี้ยเรี่ยดินแบบนี้คงทำได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ การทำตัวเป็นพระเอกประดุงความยุติธรรมมันสนุกครึกครื้นนักใช่ไหมถึงไม่รู้ว่าการกระทำของตัวเองไม่ต่างอะไรกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฮยอนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เยาะเย้ยถากถาง ทุกคนที่ได้ฟังต่างพากันนิ่งเงียบ มีเพียงกวอนแจฮุนเท่านั้นที่เลิกคิ้วขึ้นสูง..
“นายพูดเพ้อเจ้อพอใจแล้วหรือยัง?”ก็อนแจฮุนถามเสียงต่ำ
“ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน โดยมีนายเป็นผู้นำ ชาตินี้อย่าหวังเลยว่าจะพิชิตสำเร็จ นายยังมีความสามารถไม่มากพอ คิดว่าชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไงในสายตาฉัน อย่างมากนายก็เป็นได้แค่ตัวตลกที่กำลังหาเหาใส่หัว”
ถ้อยคำที่หนักแน่นของซูฮยอน ทำให้นักข่าวหลายคนที่มีทัศนคติเข้าข้างกิลด์ฮาโฮตาลเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดเห็นตัวเองเสียใหม่
“กำหนดเส้นตายกระชั้นชิดเข้ามา แต่พวกเขาก็ยังมีความสามารถไม่เพียงพอต่อการโจมตีดันเจี้ยนอีกงั้นเรอะ”
“จะว่าไปคิมซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้น เพียงไม่กี่คนที่เคยโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินร่วมกับจอห์นนี้มาก่อน หมายความว่าเขามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินมากกว่าคนอื่นๆใช่มั้ย?”
“น่าจะใช่ บอกตามตรงว่าซูฮยอนเชื่อถือได้มากกว่า กิลด์ฮาโฮตาลอีกนะ…”
“เราสามารถไว้ใจกิลด์ฮาโฮตาลได้จริงๆน่ะเหรอ? จะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขาล้มเหลวในการโจมตีดันเจี้ยน? ไม่ใช่ว่าดันเจี้ยนจะเกิดการระบาดขึ้นมาหรอกนะ? เมื่อถึงตอนนั้นคง…”
หากดันเจี้ยนไม่ถูกพิชิตออกไปจากพื้นโลก เมื่อครบกำหนดระยะเวลา ขอบเขตที่คอยทำหน้าที่กั้นขวางระหว่างดันเจี้ยนและโลกแห่งความจริงจะค่อยๆพังทลายลง เมื่อนั้นมอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ด้านในดันเจี้ยนจะไหลพรั่งพรูออกมาสู่โลกมนุษย์ การระบาดของดันเจี้ยนไม่ว่าขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ มักก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงเสมอมา
ดันเจี้ยนที่ประเทศเกาหลีกำลังประสบภัยอยู่ตอนนี้ เป็นถึงดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน จะเกิดอะไรขึ้นหากดันเจี้ยนเกิดการระบาด? มันคงกลายเป็นมหาภัยร้ายแรงที่จินตนาการภาพไม่ออก พร้อมทั้งหอบหิ้วหายนะมาสู่ประชาชนเกาหลีอีกนับไม่ถ้วน
ด้วยประการฉะนี้ ทุกคนที่ทราบข่าวว่ามีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน 2 แห่ง โผล่ขึ้นมาบนประเทศเกาหลีพร้อมกัน จึงรู้สึกวิตกกังวลมาโดยตลอด ข่มตานอนไม่หลับ หวาดผวาทุกช่วงวัน
แต่เมื่อครู่ซูฮยอนที่มีประสบการณ์โจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินมาก่อน กล่าวพูดต่อหน้าธารกำนัลอย่างหนักแน่นว่ากิลด์ฮาโฮตาลไม่มีความสามารถมากพอในการโจมตีดันเจี้ยน แล้วทีนี้ใครจะเป็นคนเก็บกวาดดันเจี้ยนให้ประชาชนกัน….
“ฉันนึกคอลัมน์ที่จะเขียนได้แล้ว รีบถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆและเลือกรูปที่มีองค์ประกอบภาพดีที่สุดมาให้ฉัน เร็วเข้าเร่งมือหน่อย”
“ถ้าเรื่องที่คิมซูฮยอนพูดเป็นเรื่องจริง หมายความว่ากิลด์ฮาโฮตาลเปิดเผยข้อมูลดันเจี้ยนต่อสาธารณชน โดยไม่ปรึกษาหารือกับผู้อำนวยการใช่หรือปาว?”
“คงใช่ และการที่ซูฮยอนมาปรากฏตัวที่นี่ ฉันเดาว่าผู้อำนวยการต้องเชื้อเชิญเขามาแน่ๆ”
นักข่าวหลายคนกระซิบข้างหูแผ่วเบา แม้เสียงพูดของนักข่าวจะเบาเหมือนยุงคุยกัน แต่กวอนแจฮุนสามารถได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดออกมาหมดทุกถ้อยคำ รูปการณ์ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจหรือภาพลักษณ์ ทุกอย่างล้วนพังครืน สายตาถมึงทึงของก็อนแจฮุนจ้องมองซูฮยอน…
“นายกำลังบอกว่า ตัวนายมีความสามารถมากพอโจมตีดันเจี้ยนอย่างงั้นเหรอ?”ก็อนแจฮุนถาม
“ถูกต้อง”ซูฮยอนตอบกลับ
“แต่นายมีแค่ 4 คน คิดว่าไหวหรือไง? ฉันว่าสุดท้ายคงไม่แคล้ว…”
“ไม่ใช่ 4 คน” ซูฮยอนโบกมือปฏิเสธและกล่าวต่อว่า
“แค่ฉันคนเดียวก็เหลือแหล่”
“คะ..คนเดียว?”
“โจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ?”
“เขาไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหน?”
คำพูดที่ออกมาจากปากซูฮยอน ทำให้นักข่าวที่อยู่รอบๆส่งเสียงร้องฮือฮาอีกครั้ง แม้คำพูดคำจาจะออกไปทางแนวโอ้อวด ทว่านักข่าวทุกคนที่ได้ยินกลับรู้สึกตื่นเต้นไปกับภาพลักษณ์และคำพูดของซูฮยอนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดออกแล้วว่าหัวข้อข่าว ควรพาดหัวว่าอะไร
[ผู้คว้าชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับมาได้อย่าง คิมซูฮยอน กำลังคิดท้าทายดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินเพียงลำพัง
เป็นหัวข้อข่าวที่สมบูรณ์แบบมาก กิลด์ฮาโฮตาลที่ยิ่งใหญ่ไม่มีความสามารถมากพอในการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน ถ้าข่าวนี้เผยแพร่ออกไป นับรองเลยว่าต้องได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น เพราะประชาชนคนธรรมดาชอบเสพข่าวที่มันมหัศจรรย์เกินจริงอยู่แล้วด้วย ที่สำคัญหากคำพูดของซูฮยอนเป็นความจริงขึ้นมา ก็อนแจฮุนและกิลด์ฮาโฮตาลจะกลายเป็นจระเข้ขวางคลองทันที
“นายรับผิดชอบคำพูดของตัวเองไหว? ถ้าล้มเหลวขึ้นมา จะมานอนร้องห่มร้องไห้ทีหลังไม่ได้” ก็อนแจฮุนถาม
“ถ้าฉันไม่มั่นใจ ฉันคงไม่พูดให้เปลืองน้ำลายหรอก อีกอย่างฉันบอกว่าทำได้ก็คือทำได้”ซูฮยอนตอบกลับอย่างใจเย็น
“แล้วนายจะพิสูจน์ยังไง?”
“พิสูจน์เหรอ นั่นสินะ พูดปากเปล่าคงยากที่จะเชื่อ งั้นลองมาพิสูจน์ด้วยการต่อสู้เป็นไง?”
ซูฮยอนหักนิ้วมือของตัวเอง ราวกับกำลังบอกให้ก็อนแจฮุนเข้ามาต่อสู้กับเขา เพื่อพิสูจน์ความจริง กิริยาท่าทางของฝ่ายตรงข้ามเจตนายั่วยุอย่างชัดเจน แต่ก็อนแจฮุนยังคงนิ่งเฉย ไม่เคลี่อนไหวร่างกายในทันที ซูฮยอนสามารถเอาชนะกอร์ดอนโรฮันและผู้ตื่นขึ้นอีก 30 คน ติดต่อกันโดยไม่พ่ายแพ้ แสดงว่าการต่อสู้ตัวต่อตัวไม่มีใครสามารถเอาชนะซูฮยอนได้ ต่อให้สมาชิกกิลด์ทั้งหมดโรมรันพันตูใส่ซูฮยอนพร้อมกัน ก็รับประกันไม่ได้ว่าผลลัพธ์ชัยชนะจะตกเป็นของใคร แต่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่ชัยชนะจะตกเป็นของซูฮยอน
“ฉันเข้าใจคำพูดของนายและเจตนารมณ์แล้ว ในเมื่อนายยืนกรานซะขนาดนั้น ฉันจะยอมถอย”
ก็อนแจฮุนที่แสดงสีหน้าปานกินเลือดกินเนื้อ รีบปรับเปลี่ยนสีหน้ากลบเกลื่อน ใบหน้าที่เคยบึงตึงคั่งแค้น กลายเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เขาปรายตามองไปที่ซูฮยอนและกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง ไม่ว่าจะเป็น ฮักจุน โทมัส หรือ ลีจุนโฮ
“ฉันหวังว่าพวกนายจะประสบความสำเร็จในการโจมตีดันเจี้ยน” กอร์ดอนโรฮันพูดจบ ก็หมุนตัวเตรียมลงจากภูเขา
หลังจากพวกเขาเดินทิ้งห่างออกมาจากกลุ่มนักข่าวได้ประมาณหนึ่ง ยุนแจโฮเขยิบเข้าไปใกล้ๆกับกวอนแจฮุนแล้วถามด้วยสุ่มเสียงแผ่ว “พวกเราจะยอมถอยไปทั้งๆอย่างงี้จริงเหรอครับ?”
ยุนแจโฮทราบถึงนิสัยใจคอที่แท้จริงของก็อนแจฮุนดีกว่าใคร เขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนี้
“แน่นอนว่าไม่” ก็อนแจฮุนตอบคำถามยุนแจโฮกลับอย่างรวดเร็ว
“รวบรวมสมาชิกกิลด์มากพรสวรรค์ 20 คน ระวังอย่าให้พวกแมวมองหรือนักข่าวสังเกตเห็น”
“หมายความว่า….”
“พวกเราจะลักลอบแอบเข้าไปในดันเจี้ยนเงียบๆ” ก็อนแจฮุนพูดตัดบท
“ว่าไงนะครับ?”
เป็นการตัดสินใจที่สุดโต่งมาก เหนือความคาดหมายของยุนแจโฮไปไกลโข เขารู้นิสัยใจคอของกวอนแจฮุนเป็นอย่างดี กระนั้นเขาก็นึกไม่ถึง ว่ากวอนแจฮุนจะใช้ลูกไม้นี้ การลอบเข้าดันเจี้ยนอย่างลับๆแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็พอมีโอกาสเป็นไปได้อยู่
อ่านได้ที่ wwwcat2auto.com
“เขาต้องทำตามคำพูดของตัวเองแน่” ก็อนแจฮุนพูดอย่างมั่นใจ
“หากไม่ทำตามคำพูดของตัวเอง เขาคงหนีคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนนอกไม่พ้น นอกจากนี้การโจมตีดันเจี้ยนเพียงคนเดียว ไม่มีอะไรรับประกัน ว่าชีวิตของตัวเองจะอยู่รอดปลอดภัย”
“หัวหน้าอย่าบอกนะว่า คุณคิดจะ…”
“ไปตรวจสอบให้แน่ใจว่าดันเจี้ยนที่ซูฮยอนรับหน้าที่โจมตีคือแห่งไหน เมื่อระบุตำแหน่งได้แน่ชัด เราจะใช้กลยุทธ์ก่อวินาศกรรม ลอบโจมตีเขาลับหลัง เพื่อขัดขวางไม่ให้เขาพิชิตดันเจี้ยนได้สำเร็จ พวกเราจะทำตัวเป็นกรวดในรองเท้า”
[ก่อวินาศกรรม] คือคำที่ในหมู่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนทราบโดยทั่วกัน มันเป็นวิธีการที่ใช้สำหรับขัดขวางกิลด์หรือบุคคลใดก็แล้วแต่ที่มีสิทธิ์โจมตีดันเจี้ยน และในตอนนี้ก็อนแจฮุนกำลังวางแผนที่จะใช้การก่อวินาศกรรม หวังขัดแข้งขัดขาไม่ให้ซูฮยอนโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินสะดวกราบรื่นจนเกินไป
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น บังอาจมากระตุกหนวดเสือ แกและฉันจะได้เห็นดีกัน”กวอนแจฮุนขบฟันพูด สายตาถมึงทิ้ง