การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 146
ตอนที่ 146
“ให้ตายเถอะ ไอ้แก่นั่น มัวแต่เดินตัวมเตี้ยมอยู่ได้ เสียเวลาชิบ”
“เขาแก่หงักซะขนาดนั้น อายุอานามก็มาก ไม่แปลกที่เขาจะทําอะไรเชื่องช้าเราต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่าไปกดดันเขาเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเราจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมีอกับไปเลยนายต้องใจเย็นเข้าไว้”
“ชิรู้แล้วน่า อัปยศเป็นบ้า ทําไมพวกเราต้องมานั่งง้อไอ้แก่คนนี้ด้วยวะ พวกเราเป็นถึงกิลด์ฮาโฮตาลเลยนะโว้ย!”
ชายหนุ่ม 2 คนยืนรออยู่หน้าประตูส่งเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจ ในกลุ่มชาย 2 คน มีชายคนหนึ่งมีรูปร่างเตี้ยที่สุด เขามีชื่อว่า ซงคยองแทค สังกัดกิลด์ฮาโฮตาล เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบผ่อนคลายอารมณ์
“ฉันไม่รู้จริงๆว่าหัวหน้ากิลด์คิดอะไรอยู่ ทําไมถึงอยากให้ตาแก่ สร้างอาวุธให้พวกเรา นัก”ซงคยองแทคกล่าวออกมาอย่างหัวเสีย
“นายเองก็น่าจะรู้แล้วนี่ ว่าอาวุธทุกชิ้นที่สร้างมาจากฝีมือของตาลุงคนนี้ มีคุณภาพสูงแค่ไหน”
“ก็จริงของนาย แต่เราสามารถซื้ออาวุธจากที่อื่นก็ได้ไม่ใช่หรือไง เช่น บ้านประมูล ร้านขายอาวุธ อะไรทํานองนี้”
“อาวุธที่ขายใน บ้านประมูล หรือ ร้านขายอาวุธ ส่วนใหญ่เป็นอาวุธที่ผลิตออกมาจากที่เดียวกัน”
“แล้วไง..?”
“อาวุธที่ผลิตออกมาเป็นจํานวนมาก เอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันจึงหายไป”
ซงคยองแทคเบิกตากว้าง ราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่อันมินโฮพึ่งพูดไป เขาตัดสินใจพูดออกไปอีกครั้งพร้อมบุหรี่ที่คาบอยู่ในปาก
“อาวุธที่ผลิตออกมาเป็นจํานวนมากงั้นเหรอ? ก็ดีแล้วนี่ อาวุธจะได้ไม่ขาดตลาด นายคิดว่าตา แก่คนเดียวสามารถผลิตอาวุธออกมาทีละมากๆได้ไหมล่ะ?”
“หินอีเธอร์เป็นวัตถุดิบหลักที่สําคัญในการสร้างอาวุธ หากตาลุงมีหินอีเธอร์มากพอ ฉันเชื่อว่าด้วยศักยภาพของตาลุง เขาต้องรังสรรค์อาวุธออกมาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วนายรู้ไหมอาวุธที่วางขายในบ้านประมูล ในสายตาของตาลุง พวกมันเป็นได้แค่ของโหล”อันมินโฮพูด
“นายพูดจริง?…ถ้างั้นทําไมช่างตีเหล็กที่มากฝีมืออย่างตาแก่ ถึงอาศัยอยู่ในสถานที่เก่าพร่อมพร้อแบบนี้ด้วยวะ?”
พินิจพิจารณาจากคําพูดอันมินโฮ หมายความว่าฝีมือการสร้างอาวุธของคิมแดโฮต้องติดอันดับโลกเป็นแน่แท้ เขาสมควรถูกแต่งตั้งในกลายเป็นสมบัติของประเทศชาติที่ต้องหวงแหน
หากตัวตนของเขาเปิดเผยต่อสาธารณชน ทั่วโลกต้องเกิดความปั่นป่วนแน่
“ตอนนี้นายคงเข้าใจแล้วสินะ ว่างานของเรามีความสําคัญมากแค่ไหน?” อันมินโฮพูดด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา สายตามองเห็นร่างคิมแดโฮกําลังเดินมาจากที่ไกลๆ
“ภารกิจของเราคือการนําตัวตาลุงกลับไปที่กิลด์ของพวกเราให้ได้”
“ไอ้พวกสารเลว มาทางไหนกลับไปทางนั้นซะ ที่นี่ไม่ต้อนกลับพวกแก”คิมแดโฮตวาดเสียงดังกึกก้อง
คิมแดโฮสังเกตเห็นสัญลักษณ์กิลด์ฮาโฮตาลติดอยู่บนหัวไหล่ชุดเกราะของชายทั้ง 2 คนเป็นดั่งที่เคยคิดไว้ พวกเขา 2 คน เป็นคนจากกิลด์เดียวกันที่ค่อยตามรังควานเขาเมื่อไม่นานมานี้
“จะให้ฉันบอกพวกแกอีกกี่ครั้ง ฉันคนนี้ไม่ทําอาวุธให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น และอาวุธที่พวกแกต้องการซื้อ ฉันไม่ขาย ได้ยินชัดแล้ว ก็ไสหัวไปซะ”
“คุณลุงใจเย็นก่อนครับ ลองคิดดูให้รอบคอบ โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆนะครับ”
“ถูกต้อง หากไปกับพวกเรา ทางกิลด์จะปฏิบัติกับลุงให้ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธที่เก็บสะสมไว้ในโกดัง พวกเรายินดีรับซื้อ ลุงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอาวุธพวกนั้นเป็นแค่อาวุธขยะ นอกจากลุงจะมีรายได้ไม่ขาดมือแล้ว กิลด์เราพร้อมสร้างห้องทํางานให้ใหม่ สภาพที่ดียิ่งกว่าห้องซอมซ่อแบบ
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ทํางานให้ใครและไม่คิดเป็นลูกน้องใครด้วย ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องอีกมาทางไหนรีบกลับไปทางนั้นซะ ฉันไม่อยากเสียเวลาคุยกับคนสมองกลวง”
การตอบด้วยน้ําเสียงแข็งกร้าวของคิมแดโฮ ทําให้ซงคยองแทคที่พยายามโน้มน้าวขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“แก่จะลงโล่งอยู่แล้วยังโง่อีก”
“แกว่าใครโง่?”
“เอาน่าทั้ง 2 คน สงบสติอารมณ์ก่อน ซงคยองแทคระวังคําพูดด้วย นายใช้คําพูดแรงเกินไปอย่าลืมว่าเรามาที่นี่ เพื่อขอร้องให้เขาทํางานให้กับพวกเรา”อันมินโฮกล่าวตําหนิ
“แม่งเอ๊ย คนแก่นี่มันหัวดื้อหมดทุกคนเลยหรือไง ห้องทํางานสกปรกแบบนี้ ยังยึดติดอยู่ได้…”ซงคยองแทคพึมพํากับตัวเองเบาๆ แต่เพราะเขายืนอยู่ใกล้กับคิมแดโฮ อีกฝ่ายจึงได้ยินเสียงพึมพําเต็ม 2 รูหู
คิมแดโฮถลึงตามองไปที่ซงคยองแทค..
“ไอ้พวกบ้า แกกล้าพูดว่าห้องทํางานของฉันสกปรกงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นสีหน้าฉุนเฉียวของคิมแดโฮ เป็นเหตุให้ซงคยองแทคเผยใบหน้ากระยิ้มกระย่องออกมาสายตามองลึกไปด้านหลังประตู
“อ่อ ฉันเข้าใจแล้ว เหตุผลที่ลุงไม่ยอมรับข้อเสนอจากพวกเรา เพราะยังยึดติดห้องทํางานอยู่จริงๆด้วยสินะ”
“เดี๋ยวก่อน ซงคยองแทค!!”
“ไม่ต้องมาห้าม ฉันจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับกิลด์มาสเตอร์ทราบเอง ในเมื่อตาแก่ไม่ยอมให้ความร่วมมืออย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน” ซงคยองแทคสาวเท้าเดินไปด้านหน้า ราวกับว่าตัดสินใจอะไรได้
<<เรื่องนี้ชักจะไปกันใหญ่แล้ว!!>> อันมินโฮมุนคิ้ว เมื่อเห็นทีท่าของซงคยองแทคเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ปัญหาที่แก้ไม่ตกและไร้ทางออก คือบุคลิกของซงคยองแทคเป็นคนเจ้าอารมณ์ ดื้อแพ่งไม่ชอบฟังความคิดเห็นจากใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B อย่างอันมินโฮ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้คงห้ามปรามซงคยองแทคไม่ไหว
<<ฉันไม่ควรชวนเขามาด้วยตั้งแต่แรก เขามีนิสัยดื้อรั้นและอารมณ์ร้าย ถ้าฉันเข้าไปหยุดเขามีหวังโดนโจมตีสวนกลับมาแน่>>
“เฮ้อ..ช่วยไม่ได้ พวกเราหยิบอาวุธที่เก็บอยู่ในห้องทํางานทั้งหมดไปให้กิลด์มาสเตอร์ดีไหม?” อันมินโฮถาม
“ฟังดูเข้าท่า”
“ไอ้สารเลว แกคิดจะทําอะไร!!”
“ขอโทษด้วยนะตาแก่ พอดีทางกิลด์ต้องการอาวุธอย่างเร่งด่วน ค่าอาวุธทั้งหมด ทางเราจะจ่ายคืนให้ภายหลัง ดังนั้นไม่ต้องกังวล…”
ทันใดนั้นเองเสียงตบเท้าหนักๆพร้อมร่างเงาใครบางคน ก้าวออกมาจากบ้านพักที่คิมแดโฮใช้หลับนอน เมื่อทราบว่ามีคนแปลกหน้ากําลังเดินมารวมกลุ่ม ซงคยองแทคหยุดพูดลงกลางคัน
<<ใครกัน? >>
<<เขาเป็นผู้ตื่นขึ้นเหมือนกับฉันงั้นเหรอ?>>
แทบเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะมีสิทธิ์เข้าไปในบ้านพักหรือห้องทํางานของคิมแดโฮแม้ชื่อเสี ยงของคิมแดโฮจะไม่ลือชาปรากฏเหมือนช่างตีเหล็กคนอื่น แต่ก็มีผู้ตื่นขึ้นบางคนได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคิมแดโฮโดยบังเอิญ เหตุผลที่เขามาที่นี่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาวุธไม่ผิดแน่
“เฮ้ นายคนนั้นน่ะ” ซงคยองแทคพูดโพล่งขึ้น
“ถ้าเดาไม่ผิด นายคงมาที่นี่ เพื่อต้องการซื้ออาวุธอะไรสักอย่างใช่หรือปาว แต่เสียใจด้วยตาแก่เจ้าของร้านสัญญากับฉันไว้ก่อนแล้ว ว่าจะ…”
“สัญญาไม่ใช่เรื่องที่ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสักหน่อย”
คําพูดที่ถ่ายทอดออกมาจากคนแปลกหน้า ทําเอาซงคยองแทคขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คิมแดโฮรีบเหลียวหลังไปมองซูฮยอนพร้อมพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด “ฉันบอกให้เธอรออยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือไง ออกมาหาพระแสงอะไร”
“ผมก็แค่ออกมาดูว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญเป็นใคร?”ซูฮยอนตอบกลับพลางกวาดตามองซงคยองแทคและอันมินโฮ
ขณะที่ซูฮยอนและคิมแดโฮพูดคุยตอบโต้กัน สมาชิกจากกิลด์ฮาโฮตาลต่างพากันจ้องมองไปที่ทั้ง 2 คน
<<อย่าบอกนะว่า พวกเขารู้จักกัน?>>
<<ที่สําคัญดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวของเขา เหมือนดาบที่สร้างขึ้นมาจากฝีมือของตาลุงไม่มีผิด>>
อันมินโฮมีองค์ความรู้เกี่ยวกับอาวุธที่สร้างมาจากฝีมือของคิมแดโฮพอสมควร เพราะคิมแดโฮไม่ค่อยสนใจการออกแบบหรือรูปลักษณ์อาวุธมากนัก ทําให้อาวุธทุกชิ้นที่คิมแดโฮสร้างขึ้นมีลักษณะล้ายคลึงกัน
นอกจากดาบจะสร้างขึ้นมาจากฝีมือของคิมแดโฮแล้ว ฝักดาบที่ใช้สําหรับเก็บค มดาบต้องเป็นผลงานจากคิมแดโฮไม่ผิดแน่ อันมินโฮที่มาดนิ่งมาตลอดเริ่มขมวดคิ้ว
“ตาลุง ไหนบอกว่าจะไม่ทําอาวุธให้ใครไม่ใช่เหรอ แล้วอาวุธที่เขาถืออยู่ในมือ หมายความว่าไง?”
“ฉันเคยพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่ไม่ใช่กับเขา เขาเป็นกรณีพิเศษ”คิมแดโฮตอบกลับอันมินโฮอย่างฉะฉาน
ทว่าคําตอบของคิมแดโฮ ส่งผลให้ซงคยองแทคและอันมินโฮเกิดอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่สบอารมณ์เลยวะ ตาแก่ แกคิดว่ากิลด์ฮาโฮตาลเป็นของเล่นหรือไง ถึงได้กล้ามาเย้าหยอกกับพวกเรา”ซงคยองแทคปลดปล่อยจิตสังหารใส่คิมแดโฮ
อันมินโฮที่เคยคิดจะหยุดการกระทําของซงคยองแทค ล้มเลิกความคิดนั้นไปทันควัน แล้วปล่อยให้ซงคยองแทคทําตามอําเภอใจ บอกตามตรงหลังจากทราบว่าคิมแดโฮทําอาวุธให้คนอื่นโดยที่ไม่ใช่พวกเขา อันมินโฮรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เหมือนกัน
“กิลด์ฮาโฮตาลเหรอ?”สิ้นเสียง ซูฮยอนขยับเท้าไปข้างหน้าให้ใกล้กับซงคยองแทคและอันมินโฮมากขึ้น
“พวกนายเป็นคนจากกิลด์ฮาโฮตาล?”
“ถูกต้อง เกิดกลัวขึ้นมาแล้วสิท่า”
“อย่าทําให้ฉันมีน้ําโหไปมากกว่านี้ รีบไปให้พ้นสายตาฉันซะ”ซูฮยอนกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์
“ฉันเหนื่อยและคร้านจะจัดการพวกนาย วันนี้ฉันจะปล่อยพวกนายไปก่อน แต่อย่าให้รู้นะว่าพวกนายมาป้วนเปี้ยนแถวนี้อีก ไม่เช่นนั้นฉันจะไปเยี่ยมเยียนพวกนายถึงที่”
“ไอ้ลูกหมา พล่ามบ้าอะไรของแก?”
คําตอกกลับจากซูฮยอน เป็นเหตุให้ซงคยองแทคแสดงสีหน้าขยายขี้เท่อออกมาครู่หนึ่ง
<<รอเดี๋ยว ทําไมมันถึงไม่เป็นอะไรเลย?>>
ซงคยองแทคมั่นใจว่าตนเองปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเต็มที่ แต่ชายตรงหน้าไม่ยี่หระหรือกริ่งเกรงเลยสักนิด สงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซงคยองแทครู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่งในประเทศเกาหลีและเชื่อสนิทใจว่าอีกฝ่ายคงมีแรงค์ไม่สูงไปกว่าเขา สิ่งที่ซงคยองแทคแปลกใจมากที่สุดในตอนนี้คือการที่อีกฝ่ายสามารถทานทนจิตสังหารที่เข้มข้นของเขาได้
<<ดูเหมือนความแข็งแกร่งของมันจะเหลื่อมกว่าแรงค์ B ทั่วไปขึ้นมานิดหน่อย แปลว่ามันค่อนข้างมีความสามารถพอตัว แต่โชคร้ายที่คู่ต่อสู้ของแกในวันนี้คือฉัน ฉันเป็นถึงผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งติดอันดับ 1 ใน 10 ของกิลด์ฮาโฮตาล ฉะนั้นแกไม่มีทางหนีเอื้อมมือฉันพ้นแน่>>
ซงคยองแทคหักนิ้วพร้อมย่างก้าวไปหาซูฮยอน ในระหว่างนั้นอันมินโฮที่ยืนอยู่ด้านหลังซงคยองแทคส่ายหัวออกมาอย่างประหวั่นใจ
<<ไม่รู้ทําไม ใบหน้าของชายคนนั้น ถึงได้คุ้นตาฉันนัก อย่างกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…>>
ปัง!
ขณะกําลังคิดอะไรเพลินๆสายตาของอันมินโฮมองเห็นร่างกายของซงคยองแทคลอยปลิวไปด้านหลังเศษฟันกระเด็นหลุดออกมาจากปากกระจัดกระจายเต็มพื้น
<<หม?>>
ทุบ!!
ร่างกายของซงคยองแทคลอยเล่นลมไปได้สักพัก ก่อนร่วงกระแทกพื้นดังอัก ดวงตาทั้ง 2 ข้างปิดสนิทคล้ายคนหมดสติ
อันมินโฮเบิกตาโพลงกับเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้า นัยน์ตาสั่นไหวจ้องมองไปยังร่างแน่นิ่งของซงคยองแทค
“กิลด์มาสเตอร์ของกิลด์ฮาโฮตาลใช่ ก็อนแจฮุน หรือปาว?”ซูฮยอนถาม
กวอนแจฮุนเป็นหนึ่งในผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ประจําประเทศเกาหลี เขาเป็นกิลด์มาสเตอร์ของกิลด์ฮาโฮตาล ภายในกิลด์มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B สังกัดอยู่เป็นจํานวนมาก ทําให้กิลด์ฮาโฮตาลมีขนาดใหญ่ติด 1 ใน 5 ของประเทศเกาหลี
“ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้ายังกล้าส่งคนมาคุกคามที่นี่อีกล่ะก็ เตรียมตัวรับการโจมตีจากฉันได้เลย”
“นะ..นายเป็นใคร?”
“ฉันคือ คิมซูฮยอน”
“คิมซูฮยอน?”ฉับพลันนั้น อันมินโฮก็ถึงบางอ้อ เหตุใดใบหน้าของชายคนนั้นจึงคุ้นตานักที่แท้เขาก็เคยเห็นผ่านทางช่องทีวีมาก่อน
“นายเป็นคิมซูฮยอนตัวจริงเรอะ? ทําไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่านายสมควรอยู่ที่ซานฟรานซิสโกหรอกเหรอ?”
ปัง!!
ร่างกายของอันมินโฮลอยละลิ่วขึ้นไปบนอากาศเหมือนซงคยองแทคทุกระเบียบนิ้ว หลังจากปล่อยหมัดต่อยอันมินโฮ ส่งร่างลอยขึ้นและรอจนกระทั่งร่วงสู่พื้น ซูฮยอนจึงค่อยๆลดมือลง
“ฉันจะอยู่ที่ไหน มันก็เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมาลุ้น”
“ไอ้หนูซูฮยอน”
ซูฮยอนหันหน้าไปมองคิมแดโฮตามเสียงพูด
“ไม่ต้องห่วงลุง ต่อให้ยกพวกมาอีก 100 คน ก็ไม่คณามือผม”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น เธอเล่นจัดการไปทั้ง 2 คน แล้วใครจะหามพวกเขาออกไปจากที่นี่ล่ะ?อย่างน้อยเธอควรเหลือไว้ 1 คนก็ยังดี”
“เวรแล้ว ผมลืมไปเลย…”
ประเด็นที่คิมแดโฮยกขึ้นมาพูด ทําให้ซูฮยอนตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง เขารู้แล้วว่าการลงมือทําอะไรก็แล้วแต่โดยไม่แลหน้าแลหลัง ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาจากเป็นเช่นไรซูฮยอนครุ่นคิดสักพักสายตามมองไปที่อันมินโฮและซงคยองแทคที่นอนสลบเหมือดอยู่บนพื้นทั้งคู่
“ปล่อยพวกเขาไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว เดี๋ยวพอได้สติคืนมาพวกเขาคงสะบัดตูดกลับไปเอง”
“จริงของเธอ ฉันจะไปกังวลเรื่องของพวกมันทําไมกัน ปล่อยให้พวกมันนอนคลุกฝุ่นไปดีกว่าเป็นไหนๆ”
“กลับเข้าไปข้างในกันเถอะลุง”
“รอก่อน ฉันขอถามอะไรเธอสักอย่างหนึ่ง”
“ถามอะไรครับ?”
“เธอมีชื่อเสียงโด่งดังถึงขนาดนี้เลยเหรอ? แถมความแข็งแกร่งก็ใช่ย่อย ช่างสวนทา งกับภาพลักษณ์ที่เหมือนผู้หญิงของเธอจริงๆ”
“เธอมีประโยชน์มากกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเนี่ย ดีล่ะ ถ้าไอ้สารเลวพวกนั้นกล้ามาหาฉันอีกรอบฉันจะโทรหาเธอให้มากระทืบพวกมัน พักหลังๆมีคนมาก่อกวนฉันเยอะเหลือเกินมีเธออยู่ด้วยค่อยอุ่นใจหน่อย”
ซูฮยอนถึงกับพูดไม่ออก ไปไม่เป็น
<<มิน่าเล่า ทําไมลุงถึงบอกให้ฉันรออยู่ข้างหลัง ที่แท้เพราะลุงคิดว่าฉันต่อสู้ไม่เก่งนี่เอง>>
ซูฮยอนพึ่งนึกว่าปกติคิมแดโฮไม่ค่อยเปิดดูทีวีเท่าไหร่นัก ทีวีรุ่นเก๋ก็กที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นสําหรับคิมแดโฮมันเป็นได้แค่เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่ง ใน 1 ปี คิมแดโฮเปิดทีวีไม่เคยเกิน 2 ครั้งไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้ความโด่งดังและความแข็งแกร่งของซูฮยอน
หลังจากกลับถึงบ้านพัก คิมแดโฮหาวนอนออกมาปากกว้าง ซูฮยอนที่เดินตามหลังมาติดๆมองไปที่เขาและถอนหายใจ
บักหยูนกิวพิศดูกลุ่มคนที่กําลังก้าวเดินมาตามสะพานแขวน คนที่เดินนํากลุ่ม เป็นคนที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย ส่วนคนที่เดินตามหลัง รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง
“เวรเอ๊ย พวกบ้านั่นมากันอีกแล้ว”
คังซึ่งชอลขมวดคิ้วมุ่นและก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า บักหยุนกิวที่เห็นดังนั้นรีบเอื้อมมือไปรั้งตัวของคังซึ่งชอลเอาไว้
“สงบสติไว้ อย่าให้เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่เด็ดขาด”
“พวกเขาตามราวีสร้างความรําคาญหลายครั้งหลายครา แต่คุณก็ยังโอนอ่อน ปล่อยให้พวกเขาเดินลอยชายได้อีกงั้นเหรอ?”
“ไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นมากๆ ก็ไม่ทําให้อะไรดีขึ้นมา”
“ชิ…”
คําตอบที่หนักแน่นจากบักหยุนกิว ทําเอาคังซึ่งชอลสะบัดหน้าหนี เพียงไม่นานกลุ่มคนก็ข้ามสะพานมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ประจําการอยู่
“นายจริงจังกับงานสังเกตการณ์น่าดูเลยนะ” ชายที่ดูมีอากัปกิริยาเหยาะแหยะคนหนึ่ง กล่าวด้วยน้ําเสียงกระแนะกระแหน
คังซึ่งชอลหน้านิ่วคิ้วขมวด
บักหยุนกิวตอบกลับด้วยที่ท่าเรียบเฉย “กลับไปซะ ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม”
ทุกครั้งที่อีกฝ่ายยกโขยงมาที่แห่งนี้ บักหยุนกิวมักผลักไสไล่ส่งพวกเขาด้วยคําพูดแบบเดียวกันเสมอ
บักหยูนกิวยืนพิงต้นไม้ใหญ่ มือ 2 ข้างกอดอก พร้อมแสดงท่าทางบอกเป็นนัยๆว่าจะไม่ยอมปล่อยให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าผ่านไปได้
“ฉันไม่กลับ นายก็รู้ว่ากิลด์ของพวกเราค้นพบดันเจี้ยนแห่งนี้ก่อน” ชายที่ก้าวข้ามสะพานแขวนมากล่าวตอบอย่างกําเริบเสืบสานและไม่เกรงกลัว เพราะเขาเคยเผชิญหน้ากับบักหยุนกิวหลายรอบ
“คนที่พบดันเจี้ยนเป็นคนแรกคือพลเรือนต่างหาก ไม่ใช่พวกนาย”
“แต่หลังได้รับการร้องเรียนจากพลเรือน กลุ่มคนของฉัน มาถึงจุดเกิดเหตุเร็วที่สุด”
“ต่อให้กลุ่มของนายมาถึงจุดเกิดเหตุก่อนใคร แต่ก็ไม่มีอภิสิทธิ์ อ้างตัวว่าพบเจอดันเจี้ยนก่อนคนอื่นได้อยู่ดี ดันเจี้ยนที่ถูกค้นพบโดยพลเรือน อํานาจเด็ดขาดจึงตกไปอยู่ในมือของผู้อํานวยการกิลด์หรือผู้ตื่นขึ้นที่สามารถโจมตีดันเจี้ยนได้ ต้องได้รับคําอนุมัติจากผู้อํานวยการเสียก่อนกฎง่ายๆแค่นี้หวังว่านายคงเข้าใจ” บักหยุนกิวกล่าวตอบด้วยเสียงแข็งกระด้าง ประหนึ่งกําลังอ่านหนังสือพจนานุกรม
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าบักหยุนกิวมั่นคิ้วอย่างซึ้งโกรธ เหมือนต้องการสื่อว่าความอดทนของเขามลายหายไปหมดแล้ว
“พิธีรีตองเยอะเป็นบ้า ปล่อยให้กิลด์ฮาโฮตาลรับผิดชอบดันเจี้ยนก็สิ้นเรื่อง”