การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 145
ตอนที่ 145
เมื่อบักหยุนกิวได้รับรายงานว่ามีการค้นพบดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินในประเทศเกาหลีใต้ เขารีบบินกลับประเทศและรุดหน้ามายังสถานที่เกิดดันเจี้ยนทันที
สถานที่เกิดดันเจี้ยนอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาซอรัคซาน ดันเจี้ยนเพิ่งถูกค้นพบช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาทําให้ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกสักพัก ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดันเจี้ยนระบาดขึ้น แต่เหตุผลหลักๆที่ปล่อยให้ดันเจี้ยนคาราคาซังไว้อย่างงั้น เพราะบุคลากรที่พร้อมปฏิบัติงานเหลือจํานวนไม่มาก
<<ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน…>>
บักหยุนกิวเพ่งสายตามองไปอีกด้านหนึ่ง บริเวณสะพานที่ผู้คนใช้สัญจรลัดเลาะไปตามแนวเขา มีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินอีกแห่งปรากฏขึ้น ทว่าดันเจี้ยนที่ตั้งอยู่บนสะพาน ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าดันเจี้ยนที่ตั้งอยู่ในภูเขาซอรัคซาน
<<ดันเจี้ยน 2 แห่ง ปรากฏขึ้นพร้อมกัน แถมยังตั้งอยู่ใกล้เคียงกันอีก…>>
สิ่งที่เกิดขึ้นผู้คนเรียกกันว่า [ปรากฏการณ์ดันเจี้ยนฝาแฝด]
ดันเจี้ยนฝาแฝดเป็นดันเจี้ยนที่เกิดขึ้นพร้อมกันและในสถานที่เดียวกัน ได้ชื่อว่าเป็นวัน เจี้ยนฝาแฝดหมายความว่าทั้ง 2 ดันเจี้ยนมีความเกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นเวลาดันเจี้ยนเกิดการระบาดขึ้นพวกมันก็จะระบาดไปพร้อมกัน
ตามปกติดันเจี้ยนฝาแฝดจะเกิดขึ้นกับดันเจี้ยนระดับต่ํามากกว่า ไม่เคยมีประเทศไหนค้นพบดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินโผล่ออกมาพร้อมกันถึง 2 แห่งมาก่อน
“เฮ้อ กะทันหันจริงๆ” บักหยูนกิวบ่นพึมพํา
แค่ดันเจี้ยนระดับสีเขียวเกิดการระบาด ก็มีพลังทําลายล้างที่มหาศาล อานุภาพของมันสามารถทําลายเมืองเล็กๆได้ถึง 2 แห่งอย่างง่ายดาย
เมื่อไม่นานมานี้ มีเมืองแห่งหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์ดันเจี้ยนระดับสีเขียวระบาด ผู้คนจํานวนมากยังจําภาพความโหดร้ายในวันนั้นไม่เลือนหาย
บักหยุนกิวนึกภาพไม่ออกว่าถ้าหากดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินระบาดขึ้นพร้อมกัน คราวนี้คงไม่ใช่แค่เมือง แต่คงเป็นทั้งจังหวัดที่ต้องหายไปจากแผนที่ประเทศ
“หัวหน้าครับ!”ชายร่างใหญ่ที่มีชื่อว่าคังซึ่งชอลวิ่งข้ามสะพานมาหาบักหยุนกิวอย่างรีบร้อน
บักหยุนกิวที่กําลังสํารวจภายนอกดันเจี้ยนหันกลับมาถาม “เป็นไงบ้าง?
“จากการประเมินคาดว่าดันเจี้ยนจะระบาดในอีก 15 วัน ถึง 1 เดือนต่อจากนี้ครับ”
คําตอบจากคังซึ่งชอล ทําให้ใบหน้าของบักหยูนกิวเคร่งเครียดยิ่งขึ้น “ทําไมถึงกําหนดระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้?”
“ทางเราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินแห่งนี้มากนัก สิ่งที่ทางเราทําได้คือประเมินความเป็นไปได้จากข้อมูลที่รวบรวมมาเบื้องต้น”
“งั้นเหรอ เฮ้อ อีกไม่นานฉันคงเป็นบ้าเพราะเรื่องนี้แน่ๆ”
<< 1 เดือน หรือ 15 วัน ระยะเวลาเตรียมตัวน้อยเกินไป >>
สมมุติดันเจี้ยนเกิดระบาดขึ้นภายในระยะเวลา 15 วัน หมายความว่าพวกเขาต้องโจมตีดัน เจี้ยนภายใน 10 วันหรืออาจน้อยกว่านั้น
<<ฉันหวังว่าซูฮยอนจะกลับมาที่ประเทศเกาหลีเร็วๆ>>
ในตอนนี้ประเทศเกาหลีมีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เหลืออยู่น้อยมาก เพราะทั้ง ซูฮยอน ซงฮย็องกิและชวาฮักจุน ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S หน้าใหม่ต่างอยู่ที่ซานฟรานซิสโก เพื่อเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับ
“รีบไปเร่งรัดตามซูฮยอนกลับมาให้เร็วที่สุด”
“รับทราบครับ หัวหน้า!”
คังซึ่งชอลทราบเป็นอย่างดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ร้ายแรงแค่ไหน จะมัวพิพิไรไม่ได้ เขารีบหมุนกายจากไป เพื่อทําภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สําเร็จลุล่วง
ภายในภูเขาซอรัคซานจึงเหลือบักหยูนกิวยืนอยู่ตัวคนเดียว สาเหตุที่เขาต้องรั้งอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย
<<หากดันเจี้ยนเกิดระบาดขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาล่ะก็…>>
บักหยุนกิวจับด้ามดาบไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายแพรวพราว
<<ฉันต้องหยุดมันให้ได้>>
ท้ายที่สุดซูฮยอนก็ยอมลากสังขารมานอนพักผ่อนบนเครื่องบินส่วนตัว ไม่ใช่ห้องพักสุดหรูหราบนโรงแรม การเดินกลับประเทศเกาหลีต้องใช้เวลานานครึ่งค่อนวัน ผนวกกับมีเรื่องเร่งด่วนเข้ามาพวกเขาไม่สามารถอ้อยอิ่งรั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโกได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจบินกลับประเทศเกาหลีทันทีทว่าการเดินทางกลับรอบนี้ มีสมาชิกคนใหม่ห้อยตามมาด้วย
“ว้าว…”
โทมัสเดินวกไปวนมาทั่วห้องโดยสารบนเครื่องบินส่วนตัว นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับตลอดชีวิตที่ผ่านมาโทมัสไม่เคยนั่งเครื่องบิน
โทมัสเป็นผู้ตื่นขึ้นระดับสูงก็จริง แต่การได้นั่งเครื่องบินที่ยกตัวสูงจากพื้น แล่นไปตามสายลมบนท้องฟ้าเป็นครั้งแรก ทําให้เขาเก็บความรู้สึกตื่นเต้นไม่อยู่ แถมความเร็วไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ารถยนต์เลย เผลอๆเร็วกว่าด้วยซ้ํา
“ดูท่าทางเดือดําของเขาสิ เหมือนไม่รู้ว่าบนโลกเรามีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเครื่องบินอยู่งั้นแหละ”ฮักจุนที่กําลังนอนพักผ่อน ยกผ้าปิดตาขึ้นและมองโทมัส
ซูฮยอนกล่าวตอบ โดยที่เอนตัวนอนลงบนเบาะนุ่มๆ “ฉันจําได้ว่าแรกๆ นายก็เคยแสดงอาการแบบเดียวกับโทมัสออกมาเหมือนกันไม่ใช่เรอะ”
“ผมเนี่ยนะ?”
“ใช้สิ”
ฮักจนกระมิดกระเมี้ยนอายม้วนต้วน เขาเกาแก้มตัวเองและเลื่อนผ้าปิดตาลงมาเหมือนเดิม
โทมัสเดินเป็นเสือติดลั่นสํารวจทั่วเครื่องบินอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ครั้นรู้สึกเหนื่อย เขาก็กลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเองพลางหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
หลังจากบินลัดฟ้ามาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเครื่องบินก็เริ่มลดเพดานบินแล้วลงจอดที่สนามบิน เวลาของเกาหลีตอนนี้อยู่ในช่วงเที่ยงวัน แสงแดดจึงร้อนอบอ้าว
ซูฮยอนค่อยๆลืมตาตื่น เขาอ้าปากหาวหวอดใหญ่และก้าวลงจากเครื่องบิน
“พี่จะไปยังจุดเกิดเหตุเลยหรือป่าว?”
ฮักจนได้ยินข่าวเกี่ยวกับดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินมาแล้ว เขาจึงถามซูฮยอนด้วยความกังวลใจเพราะเขาเคยมีประสบการณ์ต่อสู้ในดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินมาก่อน เลยทราบถึงระดับความยากในการพิชิต ทว่าครั้งนี้ดันเจี้ยนไม่ได้มีแห่งเดียว แต่ปรากฏออกมาพร้อมกันถึง 2 แห่ง
“ไม่ล่ะ ฉันกะว่าจะไปที่แห่งหนึ่งก่อน” ซูฮยอนตอบ
“ที่ไหนเหรอครับ?”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ฉันคงพานายไปด้วยไม่ได้ พอดีคนที่ฉันกําลังแวะไปหา ค่อนข้างเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย แถมยังอารมณ์ร้อนอีกต่างหาก”
“ หรือว่าจะเป็นคนที่พี่เคยเล่าให้ผมฟัง?”ฮักจุนถามด้วยความประหลาดใจ
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ซูฮยอนกล้าเรียกเขาว่าคนอารมณ์ร้อน ต้องเป็นช่างตีเหล็กหรือช่างฝีมือคิมแดโฮไม่ผิดแน่ ฮักจุนเคยได้ยินซูฮยอนกล่าวยกย่องอีกฝ่ายบ่อยครั้ง
“เขาแจ้งมาว่าอาวุธของฉันทําเสร็จแล้ว”
“จริงเหรอครับ?”
“นาย 2 คนกําลังพูดเรื่องอะไรกัน?”ลีจุนโฮถาม
“จริงสิ ฉันยังไม่เล่าให้นายฟังเลยนี่น่า”
ซูฮยอนเร่งอธิบายเรื่องอาวุธที่วานให้คิมแดโฮสร้างขึ้น หลังจากได้ยินคําอธิบายดวงตาของลีจุนโฮถ่างกว้างด้วยความตกตะลึง
“อาดามันเทียมของแท้หรือป่าว?”
“อาดามันเทียมของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันยืนยัน”
“นายเคยบอกให้ฉันฟัง ว่าดาบของนายสร้างมาจากหินอีเธอร์เกรดสูงสุดด้วยใช่ไหม?”
“ตามนั้น”
“เชี่ย…”ลีจุนโฮเผลออุทานเสียงดัง
ดาบของซูฮยอนขึ้นรูปมาจากหินอีเธอร์เกรดสูงสุด และตอนนี้ยังมีแร่อาดามันเทียมเสริมเข้าไปอีก ซึ่งอาดามันเทียมได้ชื่อว่าเป็นโลหะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคปัจจุบัน หากนํา 2 สิ่งมาหลอมเป็นอาวุธสามารถหยิบยกมาเทิดทูนบูชาเป็นอาวุธคู่บ้านคู่เมืองก็ยังได้
<<ไม่สิ มันอาจเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ํา>>
ถุงมือของอาเดลสร้างขึ้นมาจากอาดามันเทียมเพียงประปรายเท่านั้น ทว่าหลายฝ่ายยังยกย่องเชิดชูให้เป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดในทวีปยุโรป แต่อาวุธที่ผสมระหว่างหินอีเธอร์เกรดสูงสุดและอาดามันเทียม ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนบนโลก ไม่จําเป็นต้องพูดให้เปลืองน้ําลาย ก็กระจ่างได้ถึงคุณค่าของมัน
“งั้น แสดงว่านายกําลังไปรับดาบกลับมาสินะ?”ลีจุนโฮถาม
“ใช่แล้ว ฉันกะว่าจะอยู่ที่นั่นสักพัก พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกับลุงคิมแดโฮเสียหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้น นายต้องการหยุดพักผ่อน 1 วัน แล้วค่อยไปจุดเกิดเหตุพรุ่งนี้ใช่ไหม? นายพึ่งเหนื่อยจากสงครามแก่งแย่งอันดับมาหมาดๆ พักผ่อนให้ร่างกายหายล้าหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“เอาตามนั้น ฝ่ายนายจัดการที่เรื่องเหลือด้วย” ซูฮยอนกล่าวจบพลันหันหน้ามองฮักจุน
สภาพร่างกายภายนอกของฮักจุนดูอ่อนล้ายิ่งกว่าซูฮยอนหลายเท่า แสดงว่าการงีบหลับบนเครื่องบินส่วนตัว ไม่ช่วยให้ความเหนื่อยล้าหายไปทั้งหมด
<<อย่าว่าแต่ฮักจุนเลย ฉันเองก็เหนื่อยนิดหน่อยเหมือนกัน>>
ความเหนื่อยล้าทางด้านร่างกายของซูฮยอนเริ่มฟื้นฟูกับคืนมาดั่งเดิม แต่ความเหนื่อยล้าทางด้านจิตใจไม่มีทีท่ากระเตื้องขึ้น ยังคงมีความรู้สึกเพลียหลงเหลืออยู่ ตามคําพูดที่ได้ฟังจากปากนักหยุนกิวดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินยังไม่มีวี่แววระบาดในเร็ววัน หมายความว่าพวกเขาเหลือเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 10 วัน
“ตกลงตามนี้นะทุกคน พรุ่งนี้เวลาเที่ยงไปนัดเจอกันที่ภูเขาซอรัคซาน ฮักจุน ฉันว่านายถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมยันซอนหน่อยก็ดี นายไม่ได้เห็นหน้าเธอมานานแล้วใช่ไหม คงคะนึงถึงเธอแย่”
“แล้วฉันล่ะ? ฉันจะไปกับใคร?”โทมัสถาม
“โทมัสนายติดตามลีจุนโฮไปก็แล้วกัน ขอโทษที่ทําให้นายต้องเสียใจ ฉันคิ้วนายไปด้วยไม่ได้จริงๆ ไว้มาเจอพรุ่งนี้นะ”
“ซูฮยอน นายรีบไปทําสวกรรมของนายให้เสร็จเถอะ จะได้มีเวลาพักผ่อนเยอะๆ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ โทมัสนายต้องไปกับฉัน เข้าใจไหม?”
โทมัสก้มหน้างุดประหนึ่งกําลังเสียใจ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้บ่นหรือแสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใดโทมัสเดินตามหลังลีจุนโฮอย่างว่านอนสอนง่าย
ซูฮยอนที่เหลือตัวคนเดียวรีบมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เมื่อก้าวเท้าขึ้นรถของตัวเองเสร็จสรรพ เขาทําเครื่องหมายบน GPS ไว้ที่ยังพย็อง แล้วเหยียบคันเร่งรถเต็มสูบเพื่อ ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วไว
เมื่อมาถึงยังพย็องซูฮยอนเร่งฝีเท้าไปยังสถานที่ทํางานของคิมแดโฮทันที ปกติเวลาซูฮยอนมาหาคิมแดโฮ เขาต้องได้ยินเสียงเหล็กกระทบกันเสมอ แต่วันนี้กลับเงียบเชียบผิดสังเกต
“คุณลุงอยู่ไหมครับ?”ซูฮยอนตะโกนถามเสียงดังหน้าประตู
“เข้ามา”
เสียงตะโกนตอบกลับดังก้องออกมาจากระยะไกล แสดงว่าคิมแดโฮไม่ได้อยู่ในห้องทํางานซูฮยอนผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน เขาเดินผ่านห้องตีเหล็ก ไปยังโซนพักผ่อนที่คิมแดโฮมักใช้อยู่อาศัย
“ไอ้หนูซูฮยอน สบายดีนะ?”
ซูฮยอนมองเห็นร่างคิมแดโฮนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นพร้อมโบกมือทักทายเขาใช้สายตาสาดส่องสภาพห้องที่รกรุงรังของคิมแดโฮ สีหน้าเจ้าบ้านเหมือนมีความเหน็ดเหนื่อยปนอ
“เกิดอะไรขึ้น ทําไมห้องของลุงถึงรกรุงรังแบบนี้? แถมสภาพร่างกายภายนอกของลุงดูโทรมมาก?”ซูฮยอนถาม
“พอดีฉันอดหลับอดนอนมาประมาณ 3 วันได้”
“อะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า ฉันไม่ได้นอนมา 3 วันแล้ว”
ซูฮยอนถ่างตากว้าง “ผมไม่ได้หูหมวกและผมก็ไม่ได้ถามย้ําด้วย ผมแค่สงสัย ว่าทําไมลุงถึงไม่ยอมนอน?”
“เหตุผลที่ฉันยอมอดหลับอดนอน เพราะง่วนอยู่กับการสร้างดาบของนายอยู่ไงเล่า”
“ผมเคยกําชับลุงแล้วใช่ไหม ว่าไม่ต้องรีบ ฝืนตัวเองมากๆร่างกายจะผุพังเอา ลุงต้องใส่ใจสุภาพของตัวเองในมากกว่านี้ รู้ว่าไม่ไหว อย่าฝืนเลยดีที่สุด”
“นายไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี ที่ฉันยอมอดหลับอดนอน เพราะฉันเพลิดเพลินไปกับการทํางานแค่นั้นเอง พอรู้ว่าดาบของนายใกล้เสร็จ มือของฉันมันขยับไปเอง ฉันพยายามห้ามแล้ว แต่มันไม่ยอมฟังเนี่ยสิ สงสัยคงเป็นเพราะความตื่นเต้นล่ะมั้ง”
ซูฮยอนพยักหน้าเข้าใจคําพูดของคิมแดโฮ เขาทราบเป็นอย่างดีว่าคิมแดโฮรักการสร้างอาวุธเป็นชีวิตจิตใจ การที่คิมแดโฮข่มตานอนไม่หลับ เพราะสนุกไปกับการทํางานจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“งั้นเหรอครับ แล้วดาบของผมอยู่ไหน?”
“ฉันแขวนไว้ตรงนั้น”คิมแดโฮกล่าวพลางชี้นิ้วไปที่อาวุธชิ้นหนึ่ง ซึ่งแขวนเด่นสะดุดตาบนผนัง
บนฝาผนังมีอาวุธหลายสิบชิ้นแขวนติดไว้ระเกะระกะเหมือนอาวุธก๊องแก๊งไร้ค่าไร้ราคาทว่าความเป็นจริงอาวุธทั้งหมดเป็นผลงานชิ้นเอกของคิมแดโฮ อาวุธแต่ละชิ้นมีมูลค่าไม่ต่ํากว่าหลายร้อนล้านวอน และหนึ่งในบรรดาอาวุธที่แขวนอยู่ทั้งหมด ดาบของซูฮยอนโดดเด่นกว่าทุกอัน
ใบดาบด้านนอกมีจุดแตกต่างไปจากของเดิมเพียงเล็กน้อย ส่วนฝักดาบและด้ามดาบยังคงมีลักษณะเหมือนเก่า
“ถ้าฉันจําไม่ผิด นายตั้งชื่อให้ดาบเล่มนี้ว่า ดาบบัลมุงก์ ใช่ไหม? จากการที่ฉันลองสืบค้นที่ไปที่มาของชื่อดาบบัลมุงก์ เหมือนดาบบัลมุงก์จะมีการกล่าวขานในตํานานโบราณด้วย นายตั้งชื่อดาบตามตํานานโบราณเหรอ?”
“ใช่ครับ” ซูฮยอนตอบกลับแล้วเอื้อมมือดึงดาบที่แขวนบนผนังออกมา
“รสนิยมการตั้งชื่อของนายนี้มันห่วยแตกจริงๆ ทําไมถึงไม่ยอมคิดชื่อเองฮะ?”
ท่าทางคิมแดโฮจะไม่ถูกใจชื่อดาบที่ซูฮยอนตั้งสักเท่าไหร่นัก ซูฮยอนเมินเฉยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของคิมแดโฮ เขาเลื่อนดาบออกจากฝักอย่างช้าๆ ใบดาบทองเงาสะท้อนใบหน้าซูฮยอนเหมือนกระจกบานหนึ่ง
<<ดาบบัลมุงก์>>
ใบดาบบัลมุงก์มีความพิเศษอยู่ที่สีของมัน หากมองไกลๆจะเห็นเป็นสีเงินปกติ แต่ถ้าพินิจใกล้ๆจะเห็นเป็นสีทองอ่อน สีที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ คือดาบบัลมุงก์ที่ซูฮยอนคุ้นเคยไม่ผิดแน่หัวใจของเขาเต้นโครมคราม ความรู้สึกในการจับถือแตกต่างจากดาบแกรมอย่างเห็นได้ชัดเพราะดาบบัลมุงก์เป็นอาวุธที่ซูฮยอนเคยใช้เมื่อชีวิตก่อน
เมื่อได้มีโอกาสจับดาบบัลมุงก์อีกครั้ง ซูฮยอนรู้สึกว่าความมั่นใจของตนเองกําลังงอกเงยเพิ่มพูนขึ้น
<<ตอนนี้ ฉันสามารถใช้สกิลนั้นได้แล้ว>>
มีสกิลอีกหนึ่งอย่างที่ซูฮยอนเก็บงําไว้ เหตุเพราะมีข้อจํากัดด้านอาวุธจึงยังไม่สามารถใช้ได้เมื่อลองจินตนาการว่าตัวเองกําลังร่ายสกิลที่เก็บงําออกมาใช้ ซูฮยอนเผยยิ้มร่าอย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากซูฮยอนชมเชยดาบจนหนําใจ เขาก็เก็บดาบเข้าฝักเหมือนเดิม
“ฉันเอาหัวเป็นประกัน อีกไม่นานเธอต้องมีโอกาสได้ใช้ดาบในเร็วๆนี้แน่” คิมแดโฮนอนอยู่บนโซฟาพูดโพล่งราวกับว่าอ่านความคิดของซูฮยอนออก
“ใครบอกลุง? ลุงคิดไปเองแล้ว ดาบเล่มนี้ผมจะเอาไปประดับบ้านเฉยๆ”
“สีหน้าของเธอมันฟ้องฉันหมดแล้ว ไม่ต้องพยายามโกหกหรอก…”
“เฮ้ย! ตาแก่!” จู่ๆเสียงตะโกนที่ฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตรพลันดังขึ้นจากนอกประตู
“ตาแก่โผล่หัวออกมาเดะ พวกเราต้องการซื้ออาวุธ”
“ให้ตายเถอะ ไอ้สารเลวพวกนั้นมารังควานฉันอีกแล้วเรอะ!” คิมแดโฮสบถเสียงดัง จนใบหน้ายับยู่ยี่
ซูฮยอนหันขวับไปมองต้นเสียงนอกประตูแล้วถาม “พวกเขาเป็นใครเหรอครับ?”
“ช่างเถอะ นายไม่ต้องสนใจสารเลวพวกนั้นหรอก นายรออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันรีบกลับมาขอเวลาออกไปไล่ตะเพิดพวกมันก่อน ไม่สิ สําหรับพวกมันต้องใช้คําว่าถีบหัวส่ง”
สายตาซูฮยอนตรึงไปที่แผ่นหลังของคิมแดโฮ
<<รอเดี๋ยว อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์วันนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต?>
คิมแดโฮไม่สนใจชื่อเสียง แม้ฝีมือการสร้างอาวุธของเขาจะไม่เป็นสองรองใคร ทว่าการพัฒนาฝีมือให้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ให้ฝีไม้ลายมือสนิมขึ้นจําเป็นต้องใช้เงิน คิมแดโฮเลยฝืนใจนําอาวุธที่ตัวเองสร้างออกมาขาย เพื่อนําเงินที่ได้จากการขายอาวุธทั้งหมด ไปจัดซื้อวัสดุมาฝึกปรือฝีมือตนเอง
อาวุธของคิมแดโฮแต่ละชิ้นมีคุณภาพสูงมาก กิลด์บางแห่งที่ได้สัมผัสกับอาวุธที่รังสรรค์ขึ้นมา จากคิมแดโฮ ต่างพากันตามหาผู้สร้างกันให้ควัก
เมื่อทราบว่าอาวุธคุณภาพดีสร้างมาจากฝีมือของชายแก่ผู้ไม่มีพิษภัย พวกเขาจึงใช้วิธีการพูดคุยตะล่อมไปเรื่อยๆ เพื่อหวังว่าคิมแดโฮจะยอมขายอาวุธให้ บางคนที่มีความอดทนต่ําบังคับให้คิมแดโฮสร้างอาวุธโต้งๆเลยก็มี
ซูฮยอนจําได้เลือนลางว่าเหตุการณ์คล้ายๆนี้ เคยเกิดขึ้นในอดีตเช่นกัน
<<อิ่ม..ฉันว่าออกไปตรวจสอบให้เห็นกับตาหน่อยก็ดี>>ซูฮยอนขบคิด
ซูฮยอนรู้แก่ใจ ว่าทําไมคิมแดโฮถึงขอร้องให้เขารออยู่ที่นี่ เพราะรออยู่ที่นี่เป็นผลดีกับซูฮยอนมากที่สุด คิมแดโฮไม่อยากดึงซูฮยอนให้เข้าไปพัวพันกับปัญหาที่ตนเองกําลังเผชิญอยู่ให้ห่างได้ยิ่ง
แต่ความหวังดีของคิมแดโฮ ซูฮยอนคงต้องปฏิเสธ
<<หนี้บุญคุณที่ลุงเคยช่วยผมไว้ในชีวิตก่อน ผมยังไถ่ถอนคืนให้ไม่หมดเลย>>
ซูฮยอนแอบเดินตามหลังคิมแดโฮไปอย่างเงียบๆ