การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 144
ตอนที่ 144
ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว สงครามแก่งแย่งอันดับดําเนินการแข่งขันไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วง ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ยอมหมอบราบคาบแก้วให้แก่ซูฮยอนอย่างไม่มีทางเลือก หลังจากอาเดลกล่าวยอมแพ้ ผู้ตื่นขึ้นหลายคนตัดสินใจยกมือท้าสู้กับซูฮยอน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่แคล้วต้องคุกเข่ายอมจํานน ในตอนนี้คู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่ซูฮยอนต้องเผชิญหน้าด้วยเหลือฮักจุนเพียงคนเดียว เพราะตัวฮักจุนวางแผนนั่งรอต่อสู้กับซูฮยอนเป็นคนสุดท้ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แมตช์ส่งท้ายของสงครามแก่งแย่งอันดับจึงกลายมาเป็นสนามต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้ 2 คน และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่ทุกคนเคยคาดการณ์ไว้
ฮักจุนล้มฟุบลงไปนั่งกับพื้นพลางระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ ไหนเขาก็ไม่สามารถเอาชนะซูฮยอนได้ แค่ปกป้องตัวเองจากคมดาบซูฮยอนก็ยากเต็มกลืนแล้ว
<<เขาเป็นสัตว์ประหลาดกลับชาติมาเกิดหรือไงกัน?> ฮักจุนคิดในใจ
หลังจากได้เห็นการต่อสู้ระหว่างซูฮยอนและกอร์ดอนโรฮัน ทําให้ฮักจุนกระจ่างแจ้งกับคํากล่าวที่ว่า [เหนือฟ้ายังมีฟ้า] เป็นเช่นไร เหตุผลที่เขารอต่อสู้กับซูฮยอนเป็นคนสุดท้าย เพราะฮักจุนมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าการต่อสู้ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้ายซูฮยอนไม่มีทางแพ้พ่ายให้แก่ใคร
<<ฉันอุตส่าห์หลงจินตนาการว่าตัวเองต้องโจมตีเขาได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง…>>
ที่ไหนได้ฮักจุนโจมตีซูฮยอนไม่โดนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขายืนหยัดต่อสู้ได้ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ําการต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าฮักจนพ่ายแพ้สิ้นท่า
“ผมขอยอมแพ้ร่างกายของผมขยับต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว!”
[การแข่งขันยุติ]
ผู้ที่สามารถคว้าชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับ ได้แก่ “คิมซูฮยอน]
(ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะ]
ปิ้ว!!
ตูม!! ตูม! ตูม!!
ดอกไม้ไฟที่ติดตั้งไว้รอบสนามแข่งขันถูกยิงออกไปพร้อมกัน ดอกไม้ไฟลูกใหญ่ที่แสนวิจิตรตระการตาแตกตัวกลางอากาศเหนือสนามแข่งขันที่มีสภาพเละตุ้มเป๊ะ
ฮักจนทอดกายนอนราบไปกับพื้น สายตาเหม่อมองดอกไม้ไฟ “สวยจัง”
“ฉันเห็นด้วย” ซูฮยอนกล่าวตอบ
บัดดลนั้นเสียงอันทรงพลังดังแทรกเสียงดอกไม้ไฟที่กําลังแตกตัวอย่างอลังการและสวยงานกลางคัน
“ยินดีกับนายด้วย!!”
แปะ!! แปะ!! แปะ!!
เจ้าของเสียงที่พูดเป็นใครไปไม่ได้อีก นอกจากกอร์ดอนโรฮัน เขาปรบมือจากมุมสูงบนสนามแข่งขันสายตามองต่ําไปที่ซูฮยอน ท่าทางบาดแผลในร่างกายของเขาคงเริ่มฟื้นตัวกลับมาบ้าง ไม่ เช่นนั้นคงขยับตัวมากไม่ได้แน่
“ตําแหน่งที่นายยืนอยู่ เดิมทีควรเป็นของฉัน”
กอร์ดอนโรฮันกล่าวด้วยเสียงเนิบช้าและโยนไมโครโฟนให้ซูฮยอน ไมโครโฟนอันนี้ กอร์ดอนโรฮันคงเตรียมไว้เพื่อกล่าวคําปราศรัยแห่งชัยชนะ แต่น่าเศร้าที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่ซูฮยอนเสียก่อน
ซูฮยอนจับไมโครโฟนพลิกไปพลิกมา
“นายมีความในใจอยากกล่าวให้ผู้ชมทุกคนฟังหรือปาว? ยกตัวอย่างเช่น มีความรู้สึกยังที่ตัวนายกลายเป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก” กอร์ดอนโรฮันถาม
เป็นคําถามที่นักข่าวอยากสัมภาษณ์และเป็นคําถามที่ทุกคนสงสัยใคร่รู้ ตอนนี้ซูฮยอนได้รับเกียรติยศในฐานะผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เป็นสถานะพิเศษที่ทุกคนต่างให้การยอมรับจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชมการแข่งขันอยากทราบความรู้สึกของซูฮยอนในช่วงเวลานี้
นอกจากผู้ชมทางบ้านที่อยากทราบแล้ว บางคนที่เคยพลาดท่าในแก่ซูฮยอนรอบที่ผ่านมาก็กระสันอยากให้อีกฝ่ายพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด จะบอกตื่นเต้นก็คงไม่ได้ เพราะฉันไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลยสักเสี้ยว”ซูฮยอนตอบอย่างใจเย็น
ซูฮยอนตอบกลับด้วยท่าที่เรียบเฉยไม่สมเป็นคนที่เพิ่งชนะสงครามแก่งแย่งอันดับเลยจริงๆในอดีตซูฮยอนเคยเป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาก่อน เมื่อเทียบกับตอนนั้นและตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขากระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“โอ้ นายไม่รู้สึกอะไรจริงๆเหรอ?” กอร์ดอนโรฮันเอ่ยปากถามอีกครั้งด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย
กล้องภายทอดสดยังคงฉายภาพอย่างต่อเนื่องไม่มีพัก ผู้คนทั่วโลกต่างเพ่งสายตามองมาที่ซูฮยอนเพื่อฟังคําปราศรัยแห่งชัยชนะ
ซูฮยอนครุ่นคิดสักพักแล้วพูดต่อว่า “ความรู้สึกของฉันในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากเดิม แต่ถ้าอยากให้ฉันพูดแบบเจาะจงแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าในที่สุดฉันก็สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกหนี้งก้าว….ความในใจที่ฉันจะบอกมีแค่นี้”
ความในใจของซูฮยอนสั้นๆตรงไปตรงมาและรู้แจ้งถึงใจความสําคัญได้ไม่ยาก หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล การคว้าชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับเป็นเพียงหนึ่งก้าวเล็กๆที่จะนําเขาไปสู่จุดหมายปลายทางเท่านั้น เขารู้สึกว่ายังเร็วเกินไปที่จะกล่าวคําพูดในหัวออกมาตอนนี้ เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
“นายบอกว่าในที่สุดก็ก้าวไปข้างหน้าได้อีกหนึ่งก้าวงั้นเหรอ?”แววตาของกอร์ดอนโรฮันประกายพราว
“แปลว่านายยังเหลือหนทางให้ก้าวไปข้างหน้าอีกหลายสิบก้าว นายวางแผนจะก้าวไปไกลแค่ไหน? พอจะบอกได้หรือป่าว”
“จนถึงที่สุด”
“จนถึงที่สุดอย่างงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง”
“ทะเยอทะยานจังเลยนะ นายตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้แล้ว?”
“อืม ฉันมีเป้าหมายในใจแล้ว”
คําตอบของซูฮยอนเป็นเหตุให้กอร์ดอนโรฮันมั่นคิ้ว
กอร์ดอนโรฮันเปิดปากถามต่ออีกครั้งว่า “ถ้านายฝ่าฟันไปถึงเป้าหมาย และทําสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ลุล่วงนายจะทําอะไรต่อไป จะหยุดอยู่แค่นั้นหรือก้าวไปต่อ?”
“เมื่อฉันไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สําเร็จ ค่อยกลับไปคิดเป้าหมายต่อไปอีกทีก็ยังไม่ สาย”ซูฮยอนสบตากับกอร์ดอนโรฮันตรงๆแล้วกล่าวว่า “ฉันจะรุดหน้าไปก่อน ถ้านายคิดว่าตัวเองมีศักยภาพพอแซงหน้าฉัน อย่าได้คิดเอ้อระเหย จงมุ่งมั่นพัฒนาความสามารถและก้าวไปข้างหน้าต่อไป”
วุป!!
ซูฮยอนยกเท้าขึ้นและกระทืบพื้นเต็มกําลัง มวลพลังเวทย์หนาแน่นแผ่ซ่านออกมาจากใต้สนามแข่งขันทําเอาพื้นสนามสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน
“ไม่ใช่แค่นายเท่านั้น แต่รวมไปถึงทุกคนที่นั่งอยู่ในอัฒจันทร์ตอนนี้ด้วย”
กอร์ดอนโรฮันที่เคยหน้านิ่วคิ้วขมวด แย้มยิ้มเจิดจ้าออกมาทันตาเห็น
<<เหมือนเขากําลังบอกเป็นนัยๆว่า หากเจ็บใจที่ตัวเองพ่ายแพ้ จงเพียรพยายามยกระดับความแข็งแกร่งแล้วมาท้าสู้กับเขาได้เสมออย่างไรอย่างนั้นแหละ?>>
กอร์ดอนโรฮันถูกใจแนวคิดของซูฮยอนจริงๆ อีกฝ่ายปาวประกาศให้คนทั่วโลกทราบว่าสามารถท้าสู้กับเขาได้ ถ้าคิดว่าตัวเองมีความแข็งแกร่งมากพอ
นอกจากจะไม่ทําให้คนที่เคยแพ้สูญเสียขวัญกําลังใจแล้ว ยังกระตุ้นให้พวกเขาพัฒนาความสา มารถของตัวเองอีกด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ไม่ผิด
<<คนที่สามารถโค่นล้มฉันได้ ต้องเป็นคนมีนิสัยใจคอแบบเขาเท่านั้นถึงจะถูก>>
“ฉันจะปล่อยให้นายล่วงหน้าไปก่อน แต่ก่อนที่นายจะเป้าหมาย ฉันจะแซงหน้านายให้ ได้”กอร์ดอนโรฮันกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจังพรางยื่นมือไปหาซูฮยอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเวลานี้ พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ กอร์ดอนโรฮันที่เคยตั้งซูฮยอนให้เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ําสมเนื้อในสงครามแก่งแย่งอันดับ กลับกลายมาเป็นคนที่เขาต้องก้าวข้ามไปให้ได้เสียแล้ว
“ไม่มีปัญหา หวังว่านายคงไล่ตามฉันทัน” ซูฮยอนจับมือกอร์ดอนโรฮันกลับ
ดอกไม้ไฟชุดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสงครามแก่งแย่งอันดับบิดม่านลงเป็นที่เรียบร้อยส่งเสียงระเบิดดังครึกโครมภายในสนามแข่งขันไม่ขาดระยะ
หลังจากสงครามแก่งแย่งอันดับปิดฉากลง ซูฮยอนเดินออกมาจากหอคอยกอร์ดอนพร้อมกับฮักจุน ด้านหน้าหอคอยกอร์ดอนเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขามายืนอออยู่ที่นี่ ถ้าเดาไม่ผิดพวกเขาต้องเป็นผู้ชมที่รับชมการถ่ายทอดจากทางบ้านแน่นอน เหตุผลหลักๆที่พวกเขานับรวมตัวกันที่หน้าหอคอยกอร์ดอน เพราะอยากเห็นใบหน้าผู้เข้าแข่งขันด้วยสายตาตัวเอง
ท่ามกลางฝูงชนมีนักข่าวปะปนอยู่ด้วย ทันทีที่เห็นซูฮยอนเดินออกมา พวกเขารีบวิ่งกรูไปหาอย่างเร่งรีบ
“ขอโทษนะครับท่านผู้มีเกียรติ ในฐานะที่ท่านสามารถคว้าชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับมาได้ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้สึกเช่นไรครับ?”
“คุณช่วยบอกเคล็ดลับในการคว้าชัยชนะสงครามแก่งแย่งอันดับ จนกลายมาเป็นผู้ตื่นขึ้นที่ แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้ไหมครับ?”
“คําสารภาพที่ออกมาจากปากอาเดลเป็นความจริงเหรอคะ? ถ้าเป็นความจริง คุณช่วยบอกใบ้สักเล็กน้อยได้หรือไม่ ว่ามีใครอยู่ในองค์กรร่วมกับอาเดลบ้าง?”
คําถามจากนักข่าวหลายสํานักยิงมาไม่ขาดสาย ซูฮยอนถอยหายใจออกมาอย่างเอือมระอามือสองข้างประสานไว้ตรงหน้า
ยังไม่ทันได้เปิดปากตอบคําถาม ฮักจุนปรี่เข้ามาแทรกกลางวงระหว่างตัวซูฮยอนและนักข่าวพร้อมพูดด้วยน้ําเสียงพินอบพิเทา “ขอโทษด้วยจริงๆครับ พระเอกของเรายังไม่พร้อมตอบคําถามตอนนี้ หวังว่านักข่าวทุกท่านคงไม่ถือโทษโกรธกัน”
4.?” ซูฮยอนเหลียวมองฮักจุนอย่างสงสัย เอ่ยปากถามเสียงแผ่วเบาว่า “ทําอะไรของนาย?
“หึ หึ ผมอยากลองทําแบบนี้มาตั้งนาน” ฮักจุนตอบ
“อยากลองทําแบบนี้มาตั้งนาน? นายหมายความว่าไง?”
“บอดี้การ์ดไงครับ ตอนนี้ผมกําลังสวมบทบาทเป็นบอดี้การ์ดปกป้องพี่จากฝูงนักข่าวอยู่ผมคิดว่ามันสนุกใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย”
ซูฮยอนกลอกตามองบน เขากําลังคิดว่าหัวสมองของฮักจนได้รับแรงกระทบกระเทือนจากการแข่งขันหรือป่าว ฮักจุนบอกว่าตนเองกําลังสวมบทบาทเป็นบอดี้การ์ด แต่มีบอดี้การ์ดบ้านไหนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแบบฮักจุนบ้าง? ชักหวั่นใจว่าคนอื่นจะฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย..
“ซูฮยอน!!”
“เพื่อนฉันเจ๋งเป้งที่สุดในโลก!!”
นอกจากเสียงซักไซ้ไล่เลียงของนักข่าวหลายสํานักแล้ว เสียงตะโกนของลีจุนโฮและโทมัสดังแทรกขึ้นมาจากด้านหน้า เทียบกับเมื่อก่อน โทมัสในตอนนี้สดใสร่าเริงเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
โทมัสวิ่งปรื่อมาหาซูฮยอนอย่างรวดเร็วราวกับกําลังโผบินไปตามสายลม มือแหวกฝูงชนและผลักนักข่าวที่เกะกะขวางทาง
“เหวอ!!”
“โอ้ย!!”
ฝูงนักข่าวที่รุมล้อมซูฮยอน ถูกมืออันแข็งแกร่งผลักกระเด็นไปด้านข้าง โทมัสวิ่งหน้าตั้งมาหาซูฮยอนด้วยที่ท่ารีบร้อน จนลืมห่วงหน้าห่วงหลัง
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้”
ซูฮยอนก้มหัวเชิงขอโทษขอโพยให้แก่นักข่าวที่โดนลูกหลง พลางเอื้อมมือออกไปด้านหน้ารับร่างกายโทมัสที่กําลังพุ่งตรงมาได้อย่างฉิวเฉียด โทมัสถลันเข้าหาซูฮยอนเต็มแรงถ้าเขาหยุดไม่ทัน มีหวังทั้งเขาและโทมัสได้ล้มหน้าคว่ํากินฝุ่นแน่
“ยินดีกับนายด้วย ที่สามารถคว้าชัยชนะมาได้แ”โทมัสตะโกนแสดงความยินดีเสียงดัง
“ขอบคุณมาก”
ซูฮยอนกล่าวจบก็ดึงมือโทมัสให้มายืนข้างตัว กิริยาท่าทางของโทมัสเหมือนซูฮยอนมีลูกน้อยให้ดูแลเพิ่มมาอีกคนยังไงชอบกล ลีจุนโฮที่วิ่งตามมาช้าสุดตบไหล่โทมัสเบาๆ
“ซูฮยอนพึ่งผ่านการต่อสู้มาหยกๆ ร่างกายอาจมีความอ่อนล้าสะสมอยู่ นายเพลาแรงลงหน่อยก็ดี ขึ้นโถมเข้าหาซูฮยอนเต็มแรงในเวลาแบบนี้ มีหวังกระดูกกระเดี๋ยวหักหมดพอดีฉันรู้นะว่านายดีใจที่ได้เห็นหน้าซูฮยอน แต่ว่า…”
“ฉันเข้าใจแล้ว”โทมัสผงกศีรษะหมึกๆ 2 ครั้งติด
สีจุนโฮห่วงใยซูฮยอนและไม่ต้องการให้เหนื่อยไปมากกว่านี้ จึงให้คําแนะนําโทมัสนิดหน่อย
หลังจากฝูงนักข่าวโดนโทมัสกระแทกร่างกระเด็นออกไป พวกเขาไม่กล้าเข้าใจซูฮยอนอีกทําได้แต่ยืนอยู่รอบนอกและถ่ายภาพเก็บไว้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะในสงครามแก่งแย่งอันดับโทมัสขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดเหี้ยมอํามหิต พวกเขาเลยไม่อยากเข้าใกล้คนสติวิปลาสอย่างโทมัสมากนัก
“อ่าจริงสิ มีคนติดต่อมาหานายด้วย”ลีจุนโฮเอื้อนเอ่ยขึ้นหลังจากสงบสติอารมณ์ของโทมัสได้แล้ว
“ถึงฉันเหรอ?”ซูฮยอนถาม
“ใช่ จะให้ฉันบอกเลยไหมหรือเก็บไว้คุยที่ห้อง ฉันเอาหัวเป็นประกันว่านายต้องมีเรื่องน่าปวดหัวตามมาแน่”
“บอกมาเลยก็ดี จะได้ไม่เสียเวลา”
“คนที่ติดต่อมาหานายคือบักหยุนกิวเขาฝากมาบอกว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้นายโทรกลับไปหาเขาภายในวันนี้”
“เรื่องจริงเหรอ?”
“อืม น้ําเสียงของเขาดูร้อนรนแปลกๆ อาจมีเรื่องด่วนเกิดขึ้นก็ได้ นายอย่าลืมติดต่อไปหาเขาด้วยล่ะตอนนี้พวกเรากลับห้องพักกันก่อนเถอะ นายเหนื่อยมาทั้งวัน นอนให้เต็มอิ่ม ร่างกายจะได้กระชุ่มกระชวย”
“ฉันก็ว่างั้น”
“เกือบลืมไป ชัยชนะของนาย ฉันขอแสดงความยินดีด้วย นายทําได้เยี่ยมมาก”ลีจุนโฮกล่าวพร้อมตบไหล่ซูฮยอน
“ขอบคุณ”
แชะ!! แชะ!!
ตากล้องที่ติดสอยห้อยตามมากับนักข่าวกดชัตเตอร์ถ่ายภาพซูฮยอนและผองเพื่อนรัวๆเนื่องจากในกลุ่มมีโทมัสอยู่ด้วย จึงไม่มีนักข่าวคนไหนกล้าผลีผลามเข้าไปสัมภาษณ์ซูฮยอนเลยสักคน
เมื่อซูฮยอนกลับมาถึงห้องพักที่เคยเช่าทิ้งไว้ สิ่งแรกที่เขาทําคือกระโจนขึ้นเตียง ผมเผ้านุงนังเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงและรอยเลือดหลายจุด แต่ซูฮยอนไม่สนใจ เขาล้มตัวนอนลงไปบนเตียงทั้งอย่างนั้น เขาในตอนนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงอาบน้ําอาบท่า ทําความสะอาดร่างกายของตัวเองเลยแค่พยุงร่างกายให้มาถึงห้องพักก็ประดาตายแล้ว
“นายเหนื่อยมากไหม?”โทมัสที่เดินตามซูฮยอมเข้ามาในห้องพักเอ่ยปากถาม
ซูฮยอนที่ซุกหน้าลงไปที่หมอนนุ่มๆพยักหน้าตอบ “ก็นิดหน่อย”
“แย่แล้ว ฉันควรทําอย่างไรดี นายถึงจะหาเหนื่อย?”
“นายไม่ต้องทําอะไรทั้งนั้น” ลีจุนโฮพูดโพล่งขึ้นพลางเอื้อมมือคว้าคอเสื้อโทมัส
“หยุดรบกวนซูฮยอนและออกจากห้องนี้ซะ แค่นี้นายก็สามารถช่วยเขาได้แล้ว”
“ชิ!!”
โทมัสปุ๋ยปากและบ่นอิดออด ซูฮยอนชําเลืองมองไปยังลีจุนโฮที่มีสีหน้าเรียบเฉยและโทมัสที่มีสีหน้าทิ้งตึง
<<ฉันใช้เวลารวมกับโทมัสได้ไม่มากนัก เพราะต้องแบ่งเวลาไปกับการต่อสู้ในสงครามแก่งแย่งอันดับพร้อมฮักจุน แต่ช่วงที่ฉันไม่อยู่เหมือนความสนิทสนมระหว่างโทมัสและลีจุนโฮจะเพิ่มสูงขึ้นพอสมควร ลีจุนโฮปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงๆด้วย>>
ท่าทางที่โทมัสแสดงออกมาเมื่อครู่ เหมือนเจ้าตัวจะเปิดใจกว้างให้แก่ลีจุนโฮไม่น้อย เพราะโทมัสมีความแข็งแกร่งมากกว่าลีจุนโฮหลายเท่า แต่เขากลับยอมปล่อยให้ลีจุนโฮจิ๋วคอออกจากห้องอย่างว่าง่าย
<<ค่อยโล่งอกโล่งใจขึ้นมาหน่อย -ซูฮยอนคิดในใจ
<<ฉันก็หลงกังวลมาตั้งนานว่าโทมัสจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้>>
หากโทมัสปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นไม่ได้จริงๆ ซูฮยอนวางแผนเอาไว้ว่าจะใช้ไม้แข็งเข้าจัดการแต่โชคดีที่โทมัสปรับตัวให้เข้ากับคนรอบข้างได้เร็วกว่าที่เคยคิดไว้ นอกจากซูฮยอนที่โทมัสไว้เนื้อ เชื่อใจ คนที่โทมัสพูดคุยด้วยแล้วไม่รู้สึกอึดอัดหรือตะขิดตะขวงใจคือลีจุนโฮและฮักจุน
“โอ้ ลืมไปซะสนิทเลย”
ซูฮยอนรีบผลุนผลันลุกขึ้นนั่ง สายตามองมือถือที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียง เขากะไว้ว่าจะโทรหาบักหยูนกิวทันที หลังจากกลับมาถึงห้องพัก แต่เพราะความเหนื่อยล้าทําให้เขาลืมเรื่องนั้นไปซะสนิท ซูฮยอนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่อง เมื่อเปิดติดบนหน้าจอแสดงผลปรากฏเบอร์ที่เขาไม่เคยเห็นและไม่รู้จัก
<<น่าจะเป็นเบอร์ของคุณบักหยุนกิว>>
กริ้ง!! กริ้ง!! กริ้ง!
ฮัลโหล? นายคือซูฮยอนเรอะ?
“ใช่ครับ ผมเอง ขอโทษที่ผมติดต่อกลับไปหาช้า”
-ก่อนจะเข้าเรื่อง ฉันขอแสดงความยินดีกับนายด้วย ได้ข่าวมาว่านายกําชัยชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับมาได้
“ข่าวคราวเดินทางไปถึงเร็วดีนะครับ”
สงครามแก่งแย่งอันดับถ่ายทอดสดไปทั่วโลก คนที่ไม่รู้คงมีแต่คนอาศัยอยู่ในป่าเขาเท่านั้นแหละ รู้ไหมผู้คนจํานวนมากพูดถึงข่าวของนายกันยกใหญ่ หลังจากฉันทราบว่าผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเป็นของประเทศเกาหลีใต้ ฉันตื่นเต้นจนข่มตาไม่หลับ
“อ่า งั้นเหรอครับ”
เมื่อได้ยินคําสรรเสริญที่พรั่งพรูออกมาจากบักหยุนกิว ซูฮยอนตอบกลับด้วยน้ําเสียงหงอยๆ
ซูฮยอนได้ฟังคําแสดงความยินดีจากคนรอบข้างมาตลอดทั้งวัน ตอนนี้สภาพร่างกายของเขามีอ่อนล้าสะสมมากกว่าปกติ ถ้าต้องเลือกระหว่างจัดงานเฉลิมฉลองที่ตัวเองคว้าชัยชนะมาได้กับนอนหลับพักผ่อน เขาจะเลือกนอนหลับอย่างไม่ลังเล และเหมือนน้ําเสียงของซูฮยอนจะสื่อไปถึงบักหยุนกิวได้ เพราะอีกฝ่ายรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
-ขอโทษที่รบกวนการพักผ่อนของนาย พอดีฉันมีข่าวมาแจ้งให้นายทราบและอยากยี มกําลังของนายหน่อย
“อยากให้ผมช่วยเรื่องอะไรเหรอครับ?”
-มีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินปรากฏขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้
“ว่าไงนะ?”เปลือกตาของซูฮยอนที่เหนื่อยล้าพร้อมปิดได้ตลอดเวลา เบิกโพลงขึ้นทันควัน
<<เป็นไปได้ยังไง? เหตุใดเกาหลีใต้ถึงมีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเกิดขึ้นกัน? >>
คําพูดของบักหยุนกิวเป็นเรื่องที่ซูฮยอนไม่คิดไม่ฝันมาก่อน เขารีบหันหน้าตรวจสอบวันที่บนปฏิทินที่แขวนติดผนังห้อง..
<<ดันเจี้ยนควรเป็นสีเขียวสิ ทําไมถึงเป็นสีน้ําเงินไปได้? >>
เป็นครั้งที่ 2 ของอุบัติการณ์ดันเจี้ยนที่ไม่เคยมีอยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจําปรากฏขึ้น อนาคตที่ซูฮยอนล่วงรู้บิดผันอีกครั้ง
<<สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่?>>
ขณะกําลังจมลึกสู่ห้วงความคิด สุ่มเสียงของบักหยูนกิวดึงสติของเขาให้กลับมา พร้อมความสับสนที่มากกว่าเดิม
ฉันลืมบอกไป ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินไม่ได้ผุดขึ้นมาแห่งเดียว แต่ผุดออกมาพร้อมกันถึง 2 แห่ง
ซูฮยอน พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากนายโดยเร็วที่สุด
ซูฮยอนผละมือถือที่แนบชิดใบหูออก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าเส้นขนานเวลาของอนาคตที่ควรจะเป็น เกิดการผันแปรไปจากเดิมแล้วจริงๆ