กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 416 หนังสือสารภาพ
บทที่ 416 หนังสือสารภาพ
บทที่ 416 หนังสือสารภาพ
ผู้ใหญ่บ้านจางไม่รู้ว่ามีความผิดฐานฉ้อฉลสมรสในกฎหมายของประเทศหรือไม่ เพราะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนชนบทอย่างพวกเขาที่จะรู้เรื่องกฎหมายมากมายใช่ไหมล่ะ?
นอกจากนี้ ตระกูลจางเป็นฝ่ายผิดจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องยืนหยัดเคียงข้างตระกูลเซี่ย
มิฉะนั้นเขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านจะจบเห่แทนแน่
ดวงตาของจางต้าหู่เป็นสีแดงก่ำ และเขาก็กำหมัดแน่น แต่ความดุดันแบบที่เคยมีส่วนใหญ่หายไปแล้ว “ผมไม่ยอมรับ ใครจะรู้ล่ะว่าพวกเขาเขียนรายการนี้ขึ้นมาเองรึเปล่า หรือต่อให้รายการนี่เป็นของจริง แต่ทั้งทุกคนในครอบครัวล้วนได้ประโยชน์ มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะมาชำระบัญชีผมคนเดียวไม่ใช่รึไง?”
ผู้ใหญ่บ้านหยวนหัวเราะเยาะ “ฐานะของตระกูลเซี่ยเป็นยังไงทุกคนย่อมรู้ดี พวกเขามีลูกสาวคนหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจและมีลูกเขยเป็นข้าราชการระดับสูง คิดว่าพวกเขาจะลำบากลำบนหลอกเอาเงินแค่นี้ของพวกนายเหรอ?”
“แต่ก็อย่างที่นายพูดจริง ๆ ทั้งตระกูลจางได้ประโยชน์กันทั้งครอบครัวจากเรื่องฉ้อฉลสมรสตั้งแต่แรก ดังนั้นแน่นอน ทั้งครอบครัวจะต้องถูกจำคุกเช่นกัน”
“เงินมากกว่า 800 หยวนเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในการลงโทษตระกูลจางของนาย”
“อย่าได้คิดว่าตระกูลจางของนายจะสามารถต่อรองอะไรได้อีก!”
ตอนที่ตระกูลจางมาสร้างปัญหา ผู้ใหญ่บ้านหยวนเองก็ต้องการช่วยแก้ไขปัญหาเช่นกัน
แต่เมื่อตระกูลจางกำลังจะถูกลงโทษ มันกลับเป็นเซี่ยจิ่งเฉินเองที่ตัดสินใจยอมตระกูลจางและหวังผิงก็ไม่ต้องการทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง ดังนั้นเธอจึงยอมทนทุกข์กับความเสียเปรียบนี่มาตลอด
แต่ตอนนี้พวกเขารู้ความจริงแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องการระบายความโกรธ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดได้ว่าในหมู่บ้านซิ่งฮวาไม่มีใครที่มีปัญญาพอจะลงมือทำอะไรได้เลย
ผู้ใหญ่บ้านหยวนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความผิดนี้มันจะร้ายแรงพอที่ทั้งตระกูลจางจะถูกจำคุกหรือไม่ ถ้ามันไม่ถึงขนาดนั้นจริง ๆ อย่างน้อยเขาก็ขอขู่ให้จางต้าหู่ตกใจกลัวก่อนแล้วกัน
เมื่อเห็นว่าจางต้าหู่ถูกเสิ่นอี้โจวหลอกจริง ๆ เขาและผู้ใหญ่บ้านจางก็สามารถสุมไฟเพิ่มขึ้นได้
ผู้ใหญ่บ้านจางตระหนักถึงความตั้งใจของผู้ใหญ่บ้านหยวน และก่อนอื่นเลยเขาก้มหัวให้ผู้ใหญ่บ้านหยวน รวมทั้งเสิ่นอี้โจวและเซี่ยโยว่หมิงอย่างรู้สึกละอายใจ “น้องชายของผมเสียชีวิตเร็วนัก และผมก็สอนหลานได้ไม่ดีจนสร้างเรื่องขนาดนี้ ชราคนนี้ต้องขอโทษพวกคุณแทนน้องชายของผมที่ล่วงลับไปด้วย ถ้าครอบครัวพวกเขาไม่มีเงินก็จับพวกเขาทั้งหมดเข้าคุกได้เลย ผมควบคุมพวกเขาไม่ได้จริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวยกมือข้างหนึ่งขึ้นก่อนจะก้าวเข้าไปประคองผู้ใหญ่บ้านจางที่กำลังก้มหัวให้แล้วพูดว่า “ผมแค่หวังว่าผู้ใหญ่บ้านจางจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเป็นกลางและทำทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม หากไม่ได้ผล เราก็คงทำได้เพียงขอให้ตำรวจมาจัดการแทนเท่านั้นครับ”
จางต้าหู่พูดอย่างกังวลใจ “ลุงครับ ลุงจะเพิกเฉยเราแบบนี้ไม่ได้นะ!”
ผู้ใหญ่บ้านจางพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ตอนนี้แกเพิ่งมากลัวเหรอ? ทำไมก่อนหน้านี้แกไม่คิดก่อนที่จะทำอะไรลงไปล่ะหะ? ไม่ใช่ว่าแกคิดว่าตัวเองเก่งมากนักรึไง?”
จางต้าหู่รู้ว่าเขาจบเห่แล้ว ร่างกายพลันอ่อนแรงไปหมด และเขาก็คุกเข่าลง
อันดับแรกเขาคุกเข่าลงไปที่เสิ่นอี้โจว จากนั้นลากขาตัวเองไปที่เซี่ยโยว่หมิงและเซี่ยจิ่งเฉินโดยก้มหัวอย่างต่อเนื่อง “เป็นความผิดของฉันเอง ฉันมันเลวเอง ได้โปรดเถอะอย่าทำอะไรคนธรรมดาอย่างฉันเลย ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”
“เราไม่สามารถหาเงินได้ถึงแปดร้อยหยวนจริง ๆ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าเราเลย!”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลจางก็ก้มหัวและร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหล “เราไม่กล้าทำอีกแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”
หลายปีมานี้ด้วยการอาศัยตระกูลเซี่ย ชีวิตจึงง่ายดายและมีความสุข จางอวี้เจียวเอาทั้งเงินและของกลับมาให้มากมาย
พวกเขาใช้ทั้งเงินและของอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดังน้้นมันจะมีเหลืออีกที่ไหนได้บ้างล่ะ? ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่ดีไปแล้ว
ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ย ชีวิตพวกเขาจะแย่ลงแน่นอน เมื่อคิดว่าชีวิตของตัวเองจะยากขึ้น พวกเขาจึงคิดที่จะใช้เซี่ยซือถงเพื่อไปหาตระกูลเซี่ยและขอเงิน
เสิ่นอี้โจวกับเซี่ยจิ่งเฉินมองหน้ากัน รู้ดีว่าเรื่องใกล้จะจบแล้วและพูดว่า “อันที่จริงมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
ทันทีที่เสิ่นอี้โจวพูดแบบนี้ ทั้งสองคนก็หยุดทันทีและมองดูเขา “ตราบใดที่ไม่ต้องคืนเงิน เราสามารถตกลงได้ทุกเงื่อนไข!”
จางต้าหู่ถึงกับพูดอย่างบ้าคลั่งว่า “มันเป็นเพราะจางอวี้เจียวที่ทำให้เป็นแบบนี้ ตราบใดที่พวกนายพูดมาคำเดียว เราจะกลับไปขายหล่อนตอนนี้ทันทีเลย!”
เสิ่นอี้โจวและคนอื่นๆ ต่างพูดอะไรไม่ออก “…”
ผู้ใหญ่บ้านจางโกรธมากจนลุกขึ้นยืนและตบหลังจางต้าหู่อย่างแรงทันที “บ้ารึไงหะ? นี่เป็นประเทศจีนใหม่แล้ว แกยังจะขายคนได้ยังไง! นี่แกยังมีความเป็นคนอยู่ไหม!”
ตอนนี้จางต้าหู่รู้สึกกังวลขึ้นมา แต่มันก็เป็นความคิดที่แท้จริงของเขาด้วยเช่นกัน เขากัดปากทันทีและไม่กล้าเถียงอะไรอีก
เสิ่นอี้โจวพูดต่อ “หากนายตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำอย่างเดิมอีกก็เขียนคำสารภาพในวันนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านทั้งสองซะ”
“อธิบายว่าครอบครัวของนายหลอกลวงการแต่งงานตั้งแต่แรกยังไง และนายทำยังไงบ้าง ต่อมาก็เรื่องการรับเงินและสิ่งของจากตระกูลเซี่ย เขียนทุกอย่างให้ชัดเจนและเขียนยินยอมคืนสิทธิ์การดูแลของเซี่ยซือถงให้กับตระกูลเซี่ย แล้วจากนี้ไปเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก และจะไม่มาพบเจอกันอีกต่อไป ตราบใดที่นายทำแบบนี้ ฉันก็จะไม่นำรายงานการทดสอบและรายการสิ่งของที่นายเอาไปจากครอบครัวของฉันออกมาอีกเหมือนกัน”
คนเท้าเปล่าไม่กลัวพวกคนสวมรองเท้า*[1] ตระกูลจางโลภเป็นชีวิตจิตใจและกลัวความตาย แต่พวกเขาไม่โง่
ขณะนี้รายงานคำสารภาพถูกนำมาใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้นในการตรวจจับคดีอาญาและดำเนินการอย่างเป็นความลับ ทว่าเนื่องจากความสัมพันธ์กับฉีจิ่นจือ เมื่อตระกูลจางรู้สึกตัว สิ่งต่าง ๆ จะไม่ง่ายนักแล้วที่จะจัดการ
สิ่งที่จางต้าหู่เพิ่งพูดเกี่ยวกับการขายจางอวี้เจียว เสิ่นอี้โจวเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดจากใจจริง
สุนัขที่ยอมกระโดดข้ามกำแพง*[2]อย่างเร่งรีบและยังทรยศน้องสาวของตัวเองได้ ย่อมจะมาสร้างปัญหาให้พวกเขาต่อไปได้ ซึ่งมีแต่จะทำให้พวกเขาเสี่ยงและเกี่ยวข้องสิ่งที่เป็นอันตรายมากขึ้น
การคืนเงินมากกว่า 800 หยวนเป็นเพียงวิธีการกดดันเท่านั้น มันไม่ใช่วิธีจบเรื่องที่สิ้นสุด การได้รับสิทธิ์การดูแลเซี่ยซือถงเท่านั้นที่ดีกว่าการได้รับเงินคืน 800 หยวน ไม่งั้นอนาคตต่อไปก็อาจสูญเสียมากกว่าที่ได้รับคืนก็ได้
หัวใจของจางต้าหู่พลิกผันครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่เขาจะตอบโดยไม่ลังเลว่า “ตกลง ฉันเห็นด้วย!”
ผู้ใหญ่บ้านจางรู้สึกสงสารกับตระกูลเซี่ย ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ถ้านายไม่สามารถหาแปดร้อยหยวนมาได้ งั้นก็สองร้อยหยวน สองร้อยหยวนนี้ฉันจะออกไปให้ก่อน แต่หลังจากนี้ต่อให้พวกนายจะต้องไปยืมคนอื่นมา แล้วคิดหาทางมาใช้ให้ฉันด้วย!”
จางต้าหู่คร่ำครวญทันที “ลุง!”
ผู้ใหญ่บ้านจางเตะเขาอีกครั้งด้วยความโกรธ “ลุงอะไร! ผ่านมาไม่กี่ปีพวกแกหลอกเงินคนอื่นไปตั้งแปดร้อยหยวน แกยังมีหน้ามาร้องโหยหวนอะไรตอนนี้อีกหะ!”
จากนั้นเขาก็พูดกับเสิ่นอี้โจวว่า “เลขาธิการเสิ่นอย่ากังวลเลยครับ ต่อจากนี้หากมีใครในตระกูลจางกระทำผิดอีกครั้ง ผมจะเป็นคนแรกที่จะไม่ยกโทษให้คนนั้นแน่นอน!”
เสิ่นอี้โจวคิดอยู่ครู่หนึ่ง วินาทีต่อมาเขาก็ตอบว่า “ตกลงครับ”
เขามองไปที่จางต้าหู่อย่างเฉยเมย “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับใครก็ตามในตระกูลเซี่ยของฉัน แม้ว่าเขาจะบังเอิญล้มขณะขึ้นไปสับฟืนหรือเผลอเหยียบพลาดตกลงไปในทุ่งนา ฉันก็จะกลับมาที่นี่เพื่อคุยกับนาย”
เขาไม่สนใจเงิน 200 หยวน แต่เมื่อเขานึกถึงเซี่ยชิงหยวนที่นอนอยู่บนเตียง หัวใจของเขาก็เย็นชาอีกครั้ง
แม้ว่า 200 หยวนจะน้อยกว่า 800 หยวนมาก แต่มันก็ยังเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับคนในชนบท ถ้ายืมครั้งเดียวไม่ได้ผล ก็ขอยืมสองครั้ง
เขามีความสุขมากที่สามารถทำให้ตระกูลจางหลั่งเลือดได้
สะใภ้ใหญ่ตระกูลจางอยากจะร้องไห้อีกครั้ง แต่ผู้ใหญ่บ้านจางดุเธอว่า “เก็บน้ำตาง่อยๆ นั่นไปเลยนะ!”
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้เกือบจะคลี่คลายแล้ว เซี่ยจิ่งเฉินจึงพูดว่า “สำหรับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูของถงถง จางอวี้เจียวและผมยังต้องไปจัดการเอกสารที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อผ่านพิธีการให้เรียบร้อยอยู่”
แต่ช่วงนี้ยังเป็นช่วงวันตรุษจีน ดังนั้นคนในสำนักงานกิจการพลเรือนคงยังไม่ไปทำงาน
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ผมจะโทรไปเอง และวันนี้ผมสามารถไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อจัดการเอกสารต่าง ๆ แทนให้ได้”
คนอื่น ๆ ต่างประหลาดใจ การเป็นคนมีอำนาจมันสะดวกแบบนี้นี่เอง
จางต้าหู่ตอบอย่างไม่เต็มใจว่า “เข้าใจแล้ว”
จากนั้นจางต้าหู่ก็เขียนหนังสือสารภาพเพื่อเป็นการค้ำประกัน
เขาเคยไปโรงเรียนประถมและยังคงรู้คำศัพท์บางคำอยู่บ้าง แต่เขาไม่ต้องการให้ความร่วมมือ
ขณะที่เขาคิดหาข้ออ้างแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ได้พบกับสายตาที่เย็นชาของเสิ่นอี้โจว ซึ่งทำให้เขากลัวมากจนก้มศีรษะลงเขียนต่อทันที
เขาไม่อาจปฏิเสธที่จะเขียนได้แล้วใช่ไหม?
หลังจากที่เขาเขียนหนังสือสารภาพเพื่อค้ำประกันเสร็จแล้ว เขาก็ประทับลายนิ้วมือ และพึมพำกับเซี่ยจิ่งเฉิน “เด็กไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของนายสักหน่อย ทำไมนายถึงต้องต่อสู้เพื่อเด็กขนาดนี้ด้วย?”
ช่างเป็นการพยายามที่หนักหนาจริง ๆ ถึงกับเรียกให้น้องเขยที่เป็นข้าราชการใหญ่มาออกหน้าให้
เซี่ยจิ่งเฉินถือหนังสือสารภาพด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ และมองดูจางต้าหู่ด้วยความรังเกียจ “พวกนายตระกูลจางมันคิดถึงแต่ตัวเองไง จะไปเข้าใจคุณค่าของความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ยังไง?”
หลังจากเวลานี้ เซี่ยจิ่งเฉินได้เข้าใจความจริงมากมายของชีวิตและตัดสินใจว่าตลอดชีวิตที่เหลือ เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อพ่อ แม่ ลูก น้องสาว และน้องเขยเท่านั้น
จางต้าหู่สำลักและพูดไม่ออก
ผู้ใหญ่บ้านจางพูดขึ้นว่า “ฉันจะพาเขากลับไปก่อน แล้วเดี๋ยวจะพาอวี้เจียวไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเอง”
เสิ่นอี้โจวก้มหัวให้ผู้ใหญ่บ้านจางเล็กน้อย “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณนะครับผู้ใหญ่บ้านจาง”
ผู้ใหญ่บ้านจางโบกมือ “เป็นงานหนักอะไรกัน มันไม่ใช่งานหนักอะไรเลย ตระกูลจางของเราต่างหากที่ต้องขอโทษพวกคุณ”
จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่จางต้าหู่ “แกยังยืนบื้ออยู่ทำบ้าอะไร ทำไมไม่รีบออกไปเร็ว ๆ ซะ!?”
[1] คนเท้าเปล่าไม่กลัวพวกคนสวมรองเท้า หมายถึง คนจนที่ไม่มีอะไรจะเสียเหมือนคนร่ำรวย มักทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
[2] สุนัขที่ยอมกระโดดข้ามกำแพง หมายถึง ยามที่ไม่มีทางเลือกจึงยอมเสี่ยงโดยไม่คำนึงผลเสียที่จะตามมา เหมือนกับสุนัขที่โดนไล่ล่าแล้วไม่มีทางหนีจนยอมกระโดดขึ้นกำแพง