กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 413 คลั่งเงิน
บทที่ 413 คลั่งเงิน
บทที่ 413 คลั่งเงิน
เสิ่นอี้โจวออกมาจากห้องและพบว่าสะใภ้ตระกูลจางก็มาด้วย
พี่ใหญ่ตระกูลจางและภรรยาของเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นเสิ่นอี้โจวที่ออกมาจากห้องอย่างกะทันหัน
เมื่อเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวแต่งงานกัน พวกเขาพาจางอวี้เอ๋อมาดื่มอวยพรด้วย แค่รูปลักษณ์ของเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนจดจำได้แล้ว
พี่ใหญ่ตระกูลจางไม่แน่ใจว่าเสิ่นอี้โจวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาแค่รู้สึกว่ามันไม่ง่ายอีกแล้วที่จะขอเงินจากตระกูลเซี่ย
แต่เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าและท่าทางของเสิ่นอี้โจวแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง พี่ใหญ่ตระกูลจางก็คิดอีกครั้งและยิ้มอย่างมีเลศนัย
ใช่แล้ว ไม่สำคัญว่าเสิ่นอี้โจวอยู่ที่นี่หรือไม่ ตระกูลเซี่ยอาจไม่มีเงินแต่เสิ่นอี้โจวมีแน่นอน บางทีเขาอาจใช้โอกาสนี้ขอเงินเพิ่มได้
เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดกับเสิ่นอี้โจวว่า “อ้าว เลขาธิการเสิ่นมาเป็นแขกที่นี่ด้วยแฮะ”
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองอีกฝ่ายเบา ๆ โดยไม่ตอบกลับ และเดินไปนั่งข้างเซี่ยโยว่หมิง
พวกเขารู้ว่าพี่ใหญ่ตระกูลจางจะมาในวันนี้ เซี่ยจิ่งเยว่และกงเหลียนซินจึงพาเด็ก ๆ ทั้งหมดไปที่บ้านพ่อแม่ของเธอตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แม้แต่หวังผิงก็ถูกพวกเขาพาไปที่บ้านตระกูลกงด้วยรถแทรกเตอร์เช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา พี่ใหญ่ตระกูลจางก็ยิ้มเย้ยและพูดว่า “น้องเขยของตระกูลเซี่ยได้กลายเป็นข้าราชการใหญ่แล้ว ช่างดูมีเกียรติจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวหยิบถ้วยชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาแล้วจิบ ชามีรสขม ซึ่งทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาค่อย ๆ วางถ้วยชาลง ลืมตาขึ้นพลางมองดูอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลจาง ดังนั้นผมอยากขอให้คุณโปรดอย่าเรียกผมแบบนั้นอีก เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นต้องเข้าใจผิด”
“ส่วนเรื่องมีเกียรติอะไรนั่น มันขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหนและเขาคู่ควรกับเกียรติของผมหรือไม่มากกว่า”
เซี่ยชิงหยวนกำลังนอนอยู่ในห้อง ฟังคำพูดที่แสนจะเย็นชาของเสิ่นอี้โจว เธอก็อดยกยิ้มไม่ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
โดยไม่คาดคิด เสิ่นอี้โจวซึ่งมักจะไม่ค่อยพูดมากสามารถทำให้ผู้คนหงุดหงิดได้จริง ๆ
สีหน้าของพี่ใหญ่และสะใภ้ตระกูลจางกลายเป็นสีแดงทันที
สะใภ้ใหญ่ตระกูลจางต้องการที่จะตอบโต้ เธอบีบต้นขาก่อนจะชี้ไปยังเสิ่นอี้โจวและตะโกนลั่น “คุณเองก็เป็นคนมีการศึกษา เรามาที่นี่ในช่วงตรุษจีน แต่นี่คือวิธีที่คุณปฏิบัติต่อแขกเหรอ?”
สายตาเย็นชาของเขามองดูคู่รักตระกูลจางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดประชดว่า “ผมคิดว่าพวกคุณแค่มาที่นี่เพื่อทวงหนี้หรือหาทางแก้แค้นซะมากกว่าอีกนะ”
เวลาไปบ้านใครในเดือนแรกของปีมักจะต้องมีของติดไม้ติดมือมาด้วยนะ แต่สองคนนี้มาที่นี่มือเปล่าแถมยังส่งเสียงเอะอะโวยวายพูดจาเหน็บแนมเซี่ยจิ่งเฉินทันทีที่เข้ามาในบ้าน คำทักทายปีใหม่อยู่ที่ไหนล่ะ?
คนเหล่านี้แค่ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการมาหาผลประโยชน์ก็เท่านั้น
เสิ่นอี้โจวรับมือกับพวกผู้คนในตำแหน่งสูงมาตลอดทั้งปี ดังนั้นทันทีที่เขาอ้าปากก็สามารถเอาชนะทั้งสองคนได้แล้ว
พี่ใหญ่ตระกูลจางรู้สึกได้แล้วว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับข้าราชการผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง!
พี่ใหญ่ตระกูลจางตระหนักได้แล้วว่าเสิ่นอี้โจวมีอำนาจเพียงใด และรู้ว่าการเผชิญหน้ากับเสิ่นอี้โจวนั้นไม่มีประโยชน์ เขาจึงหันไปหาเซี่ยจิ่งเฉินแทน และพูดว่า “วันนี้เรามาที่นี่เพื่อพบนาย ยายของซือถงป่วยและอยู่ในโรงพยาบาล นายเป็นพ่อของซือถง เป็นลูกเขยของตระกูลจางด้วย เพราะงั้นมันจึงไม่เป็นการขอมากเกินไปที่เราจะขอให้นายช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่ยายใช่ไหม?”
เป็นเรื่องจริงที่หญิงชราของตระกูลจางไม่สบาย แต่ก็แค่ปวดหัวแบบเดิม ๆ เท่านั้น
ตระกูลจางขี้เหนียวมาก แม้แต่หญิงชราตระกูลจางเองก็ตาม เนื่องจากไม่ต้องการไปศูนย์อนามัย จึงขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บสมุนไพรมาต้มและดื่มเอง
เสิ่นอี้โจวเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้าง แล้วมองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่ารอให้เซี่ยจิ่งเฉินตอบ
หลังจากเมื่อคืนนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็ตัดสินใจที่จะตัดขาดการติดต่อกับตระกูลจางโดยสิ้นเชิง เขาจึงพูดว่า “พี่ใหญ่ตระกูลจางช่างมีใบหน้าที่ใหญ่โตอะไรขนาดนี้ล่ะเนี่ย การที่แม่ของนายป่วย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอ?”
“จางอวี้เจียวกับฉันหย่ากันไปนานแล้ว และครอบครัวของนายก็มีลูกตั้งสามคน การมาที่บ้านของฉันทุกวันเพื่อขอเงินหรือสิ่งของมันเป็นเพียงการกระทำของอันธพาลเท่านั้นแหละ!”
คราวนี้พี่ใหญ่ตระกูลจางหน้าดำเหมือนก้นหม้อแล้ว
มันเพียงพอแล้วที่ต้องรับมือกับเสิ่นอี้โจวผู้เย็นชา แต่ตอนนี้แม้แต่เซี่ยจิ่งเฉินก็ยังต่อต้าน เขาถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงรึไงกัน
พี่ใหญ่ตระกูลจางผลักเซี่ยจิ่งเฉินทันที และรูปร่างเจ้าเนื้อของเขาก็ดูดุร้ายเป็นพิเศษ “เซี่ยจิ่งเฉิน ให้ฉันบอกนายหน่อยแล้วกันว่าลูกสาวของนายยังต้องถูกเลี้ยงในครอบครัวของฉัน หากครอบครัวของฉันขาดเงิน ลูกสาวของนายก็จะไม่มีอาหารกินด้วย ในฐานะพ่อ นายคงไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองอดอยากใช่ไหมหะ?”
เมื่อพูดถึงการทารุณกรรมเด็ก พี่ใหญ่ตระกูลจางก็พูดแบบไหลลื่นเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามักจะปฏิบัติต่อเซี่ยซือถงแบบนี้เสมอ…
เซี่ยจิ่งเฉินกำหมัดแน่น จ้องมองไปที่พี่ใหญ่ตระกูลจางและพูดทีละคำ “ฟังฉันให้ดี ๆ นะ ตระกูลเซี่ยของฉันจะไม่มีวันให้เงินนายอีกแม้แต่แดงเดียว สำหรับถงถง ถ้านายไม่เต็มใจที่จะเลี้ยงดูเธอ ก็เอาเธอคืนมาให้ตระกูลเซี่ยเราซะ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สะใภ้ใหญ่ตระกูลจางก็หัวเราะอย่างโกรธ ๆ “แหมม น้องเขย ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ลูกสาวของนายกินข้าวของบ้านเราไปเท่าไหร่แล้ว เธอใช้เงินเราไปเท่าไหร่ แค่พูดว่า ‘เอาเด็กกลับคืนมา’ นี่มันอะไรกันน่ะ? ความคิดของนายมันง่ายเกินไปหรือนายคิดว่าเราโง่หรือไง?”
เธอวางมือบนสะโพกแล้วพูดว่า “ฉันจะบอกนายให้รู้เอาไว้เลยนะ ถ้านายต้องการลูกของนายคืน นายต้องให้พวกเราห้าร้อยหยวน!”
เธอยื่นห้านิ้วไปทางเซี่ยจิ่งเฉินแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดอีกครั้ง “ไม่สิ ตอนนี้น้องสาวของนายรวยมากนี่ อย่างน้อยต้องห้าพันหยวนต่างหาก!”
พี่ใหญ่ตระกูลจางจับภรรยาของเขาทันที ส่งสัญญาณให้เธอหยุดพูดเรื่องไร้สาระก่อนจะพูดต่อว่า “ซือถงเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของน้องสาวฉัน โดยปกติแล้วเราไม่สามารถใช้เงินซื้อความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าหากนายรู้สึกสงสารเด็กจริง ๆ ก็ให้เงินเธอสักสองถึงสามร้อยหยวนต่อเดือนเป็นยังไง?”
กว่าที่เซี่ยซือถงจะกลายเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องใช้เวลานานมาก การที่ตระกูลเซี่ยต้องให้เงินตระกูลจางสองถึงสามร้อยหยวนทุกเดือนมันจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่มาก ซึ่งคุ้มค่ากว่าการจ่ายครั้งเดียวแบบที่ภรรยาของเขาเสนอตั้งเยอะ
เซี่ยจิ่งเฉินและเซี่ยโยว่หมิงโกรธต่อพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของตระกูลจางมากจนตัวสั่น!
ตระกูลเซี่ยยังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเลย แต่ตอนนี้ยังกลับมาปฏิบัติต่อตระกูลเซี่ยเหมือนผู้อ่อนแออีกงั้นเหรอ?
เซี่ยโยว่หมิงตะคอกและลุกขึ้นยืน “ฝันไปเถอะ!”
เซี่ยจิ่งเฉินยังผลักพี่ใหญ่ตระกูลจาง “สารเลว!”
เมื่อเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ รอยยิ้มปลอม ๆ ของพี่ใหญ่ตระกูลจางก็ฉีกออกทันที มองดูคู่พ่อลูกอย่างเคร่งขรึมและเตือนว่า “ฉันกำลังคุยกับพวกนายอย่างมีเหตุผลอยู่นะ ทำไมต้องเดือดอะไรกันขนาดนี้?”
“หรือในใจของพวกนาย ซือถงไม่สำคัญเท่ากับเงินหลายร้อยหยวนเหล่านั้นเหรอ?”
“น้องสาวของฉันถูกจำคุกเพราะพวกนายและแม่ของฉันก็ป่วยเพราะเรื่องนี้ บอกฉันหน่อยสิว่าพวกนายจะคำนวณความสูญเสียให้กับครอบครัวของฉันยังไงได้บ้าง?”
เซี่ยจิ่งเฉินหัวเราะด้วยความโกรธ “วันนี้ฉันเพิ่งได้เห็นว่ามีคนไร้ยางอายขนาดนี้ในโลกจริง ๆ นั่นแหละ สาเหตุที่จางอวี้เอ๋อติดคุกและแม่ของนายป่วย ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพวกนายเองทั้งนั้น!”
“ถ้านายไม่ยอมรับก็แค่ไปที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะเพื่อร้องเรียนด้วยตัวเองซะสิ ไม่ใช่มาทำทารุณกรรมเด็กที่ไร้เดียงสาแบบนี้!”
เซี่ยจิ่งเฉินปฏิเสธเสียงแข็งและดูพูดด้วยยาก สิ่งนี้ทำให้พี่ใหญ่ตระกูลจางหมดความอดทนอย่างสิ้นเชิง
เขามองไปรอบ ๆ จงใจมองหาใครสักคน “เด็กอยู่ไหน? ส่งเด็กกลับมาบ้านของฉันซะ ฉันจะออกไปแล้ว”
ดวงตาของเขาใหญ่ราวระฆัง ความโกรธก็แผ่ออกไปด้านนอกราวกับว่าเขากำลังจะลอกผิวหนังและกระดูกของใครสักคน
สะใภ้ใหญ่ตระกูลจางก็พูดอยู่ข้าง ๆ ว่า “ถูกต้อง เอาเด็กนั่นกลับไปทุบตีให้ตายไปเลยเถอะ หรือถ้าไม่งั้นก็เอามันไปขายซะ แล้วเราจะได้ถอนทุนคืนสักที!”
“พวกแกนี่มันคลั่งเรื่องเงินอะไรกันขนาดนี้หะ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากนอกบ้าน พี่ใหญ่และสะใภ้ใหญ่ตระกูลจางก็เปลี่ยนสีหน้าด้วยความตกใจทันที
พวกเขาเห็นชายชราสองคนเดินเข้ามาจากนอกบ้าน ชายชราทั้งสองมองดูคู่สามีภรรยาจางด้วยสีหน้ามืดหม่น
พี่ใหญ่ตระกูลจางเกือบวิญญาณหลุดออกจากร่าง “ลุง ทำไมลุงถึงมาอยู่ที่นี่!?”