กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 410 ตรงข้าม
บทที่ 410 ตรงข้าม
บทที่ 410 ตรงข้าม
เซี่ยจิ่งเฉินลุกขึ้นยืนทันที “แม่ ทำไมถึงอยู่ที่นี่?”
ใบหน้าของหวังผิงยังคงตกใจ “ถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่ ฉันจะได้ยินพวกแกสองพี่น้องพูดกันหรือไง!”
เธอโกรธมากจนตัวสั่นไปหมด “แกสองคนกำลังปิดเรื่องใหญ่แบบนี้จากฉัน ต้องการทำอะไรกันแน่หะ!”
เมื่อคิดว่าเซี่ยชิงหยวนรู้สึกไม่สบาย เธอจึงไปที่ห้องครัวเพื่อทำน้ำดื่มจากน้ำตาลทรายแดงใส่ชาม ขณะที่เสิ่นอี้โจวและเซี่ยโยว่หมิงกำลังทักทายแขก
เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินความลับแบบนี้เข้า!
เธอทั้งตกใจ เสียใจ และโกรธที่ถูกหลอก หลานสาวที่เธอรักมาหลายปีไม่ใช่หลานแท้ ๆ และเธอก็สงบสติอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป
“แม่ ช่วยฟังคำอธิบายของผมก่อนสิ” เซี่ยจิ่งเฉินก้าวไปข้างหน้าและปิดประตู ซึ่งจากหางตา เขามองเห็นชายเสื้อที่คุ้นเคยเดินผ่านไปที่มุมด้านนอก
เซี่ยชิงหยวนก็ลุกจากเตียงและนั่งข้าง ๆ อย่างอ่อนแอ
ความสงสารของหวังผิงที่มีต่อเซี่ยชิงหยวนก่อนเข้าบ้านหายไปแล้ว และเธอก็มองลูกสาวด้วยดวงตาแดงก่ำ “บอกฉันสิ ทำไมแกถึงก่อเรื่องทันทีที่กลับมา? ในที่สุดครอบครัวก็สงบสุขกันได้สักพักแล้ว แต่แกกลับมาก่อปัญหาอีกครั้งงั้นเหรอ?”
แม้เซี่ยซือถงจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตระกูลเซี่ย แต่ตระกูลจางก็ไปแล้วไม่ใช่รึไง? ทำไมถึงยังกังวลเรื่องนี้อยู่อีก?
เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของหวังผิง เซี่ยชิงหยวนก็เปิดปากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เซี่ยจิ่งเฉินรีบปกป้องเซี่ยชิงหยวนทันที “แม่ครับ ผมขอให้ชิงหยวนช่วยผมสืบเรื่องนี้เอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยจิ่งเฉินเข้าข้างเซี่ยชิงหยวน หวังผิงก็น้ำตาไหล “ดี! ดี! พวกแกตอนนี้โตขึ้นจนปีกกล้าขาแข็งแล้วงั้นสิ ฉันควบคุมใครไม่ได้อีกต่อไปแล้วสินะ!”
เมื่อเธอได้ยินครั้งแรกว่าเซี่ยซือถงไม่ใช่หลานสาวของตระกูลเซี่ย เธอก็โกรธที่ตระกูลจางที่หลอกลวง แต่ต่อมาเธอก็โกรธลูกชายและลูกสาวของเธอที่คิดเองทำเองในเรื่องนี้
ไปมีชีวิตที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงต้องกลับมาจัดการอะไรมากมายอีก?
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คนอื่นคงคิดว่าพวกเขาจัดการเรื่องในบ้านตัวเองไม่ได้เลยแน่ๆ
ในความเห็นของเธอ เรื่องของการหย่าร้างของเซี่ยจิ่งเฉินและการออกไปทำงานจบไปแล้ว แต่ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนกลับมาแล้วบอกว่าเซี่ยซือถงไม่ใช่หลานทางสายเลือดของเธอ ทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก
เซี่ยจิ่งเฉินแนะนำ “แม่ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของผมเอง ผมจะใช้ชีวิตอย่างที่ผมต้องการ”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแก?” หวังผิงปาดน้ำตาก่อนจะเขกหัวเซี่ยจิ่งเฉิน “ตอนนี้แกยังเป็นหนี้เงินฉันมากมายอยู่นะ! แค่เรื่องเงินอย่างเดียวแกก็จัดการกับมันไม่ได้แล้ว!”
“ตระกูลจางเป็นเหมือนปลิงที่ดูดเลือด แต่ตอนนี้แกกลับยังคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์จากพวกมันอีกงั้นเหรอ?”
หลังจากพูดจบ หวังผิงก็ทุบโต๊ะ แต่เธอไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป
“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยโยว่หมิงได้ยินเสียงดังข้างใน จึงแง้มประตูโผล่หัวเข้ามา
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็เดาสาเหตุได้ทันที จึงปิดประตูอีกครั้งและเชิญเพื่อนบ้านออกไปก่อนเพราะที่บ้านมีเรื่องด่วน
จากนั้นสถานที่พูดคุยจึงถูกย้ายจากห้องของเซี่ยชิงหยวนไปที่ห้องนั่งเล่นแทน
เด็ก ๆ หยิบลูกอมไปเล่นนอกบ้านและไม่ให้เข้าบ้านมาในตอนนี้
เซี่ยโยว่หมิงนั่งบนที่นั่งหลักและโบกมือให้ทุกคนนั่งลง
ตอนนี้หวังผิงกำลังโกรธจัดอย่างมาก “ให้นั่งอะไรอีก? ฉันไม่นั่ง!”
เซี่ยโย่วหมิงไม่อดทนอีกต่อไปและพูดสั่งทันที “ฉันบอกให้นั่งลง!”
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนวางแผนที่จะนั่งที่เก้าอี้เตี้ย ๆ แต่เซี่ยจิ่งเฉินกับเสิ่นอี้โจวก็นำเก้าอี้โยกมาให้เธอ และปรับความสูงเพื่อให้นั่งบนได้สบายๆ
เมื่อเห็นบรรยากาศที่ตึงเครียดแบบนี้ เซี่ยจิ่งเยว่ซึ่งเงียบอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ก็สะกิดกงเหลียนซินด้วยข้อศอก “คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่น้องสาวของเขากลับมาก็จะมีปัญหากับหวังผิงแบบนี้ตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องราวใหญ่โตแบบนี้
กงเหลียนซินมองดูใบหน้าที่สับสนของสามีแล้วถอนหายใจ “คอยฟังเองดีกว่า”
เซี่ยจิ่งเยว่ “…”
เซี่ยโยว่หมิงตบโต๊ะแล้วพูดว่า “ภรรยา ฉันรู้เห็นเรื่องนี้กับลูกสาวและลูกรองด้วยแล้ว ดังนั้นหยุดยึดติดกับไอ้เรื่องที่บอกว่าลูก ๆ กำลังมีความลับกับคุณซะ”
เมื่อหวังผิงได้ยินแบบนี้ก็เกือบแทบจะกรีดร้องทันที “พวกแกปกปิดมันจากฉัน! เรื่องสำคัญแบบนี้ฉันกลับได้รู้เป็นคนสุดท้ายเนี่ยนะ!”
“แม่” เซี่ยจิ่งเยว่ยกมือขึ้น “ผมยังไม่รู้อะไรเลย ผมต่างหากที่เป็นคนสุดท้าย”
หวังผิง “…”
เธอเกือบจะร้องไห้ด้วยความโกรธอีกครั้ง “จิ่งเยว่! ไม่ต้องมาพูดแทรก!”
“เอาละ เอาละ” เซี่ยโยว่หมิงพูดกับหวังผิง “เรามาพูดถึงวิธีจัดการกับเรื่องนี้กันก่อนเถอะ”
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเซี่ยซือถงไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลเซี่ย และเขาก็หนักใจมากเช่นกัน
แต่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เขาสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งถูกและผิดได้ หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการ ครอบครัวก็อาจจะแตกหักกันไม่ช้าก็เร็ว
หลังจากพูดจบ ทุกคนก็จ้องมองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน
เซี่ยจิ่งเฉินแสดงความคิดเห็นของเขา “พ่อครับแม่ครับ ผมคิดเรื่องนี้แล้ว ผมต้องการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในการเลี้ยงดูของถงถง”
เขาพูดต่อทันที “ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะทำงานให้หนักกว่าเดิมเพื่อหาเงิน และจะไม่ปล่อยให้คนอื่นต้องลำบากแทนแน่นอน”
หลังจากไปที่เมืองเซินเจิ้น เขาก็ตระหนักได้ว่าโลกภายนอกมันใหญ่เพียงใด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สร้างเงินทองก้อนแรก แต่เขาก็ได้ค้นพบวิธีและทักษะบางอย่างในการเริ่มต้นแล้ว เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถสร้างโลกของตัวเองในตลาดเซินเจิ้นได้
เซี่ยโยว่หมิงมองไปยังเซี่ยจิ่งเยว่และสะใภ้ใหญ่ “พวกเธอคิดว่ายังไง?”
เซี่ยจิ่งเยว่ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นมองไปที่กงเหลียนซินแล้วพูดว่า “เราเคารพการตัดสินใจของน้องรองครับ”
กงเหลียนซินก็พยักหน้าเช่นกัน “น้องรองทำได้เลยค่ะ”
เสิ่นอี้โจวที่นั่งถัดจากเซี่ยชิงหยวนก็พูดสนับสนุน “ชิงหยวนและผมไม่คัดค้านเรื่องนี้ครับ”
เซี่ยโยว่หมิงพูดเสริม “เจ้ารอง ในกรณีนี้ลูกต้องการแก้ปัญหากับตระกูลจางยังไง?”
เซี่ยจิ่งเฉินไม่ลังเลอีกต่อไป “จางอวี้เจียวทำเรื่องที่ผิดแบบนี้ ความตั้งใจของเราที่จะรับถงถงมาเลี้ยงดูเองถือว่าเป็นการปรานีใหญ่ที่สุดต่อตระกูลจางของพวกเขาแล้วครับ แต่หากพวกเขายังต้องการใช้เด็กมาก่อกวนครอบครัวของเรา ผมจะไม่ให้อภัยพวกเขาอย่างเด็ดขาด”
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะพูด เสิ่นอี้โจวก็รั้งเธอไว้แล้วพูดว่า “พี่รอง จะดีกว่าถ้าฉวยโอกาสจากเหตุการณ์นี้ตัดขาดกับตระกูลจางอย่างสมบูรณ์ ท้ายที่สุดแล้ว คำพูดเพียงอย่างเดียวไม่มีอะไรที่จะรับประกันได้เลย ด้วยนิสัยของพวกเขาย่อมกลับมาสร้างปัญหาอีกในอนาคตแน่ ครอบครัวของเราไม่ควรเสียเวลาโต้เถียงกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว”
ในขณะนี้ มันจะดีกว่าถ้าให้เขาพูดแทน เพื่อที่เซี่ยชิงหยวนและหวังผิงจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันโดยตรง
แน่นอนว่าหวังผิงที่โดนเมินเฉยใส่ก็ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเสิ่นอี้โจวตรง ๆ “แม้ว่าถงถงจะไม่ใช่ลูกหลานทางสายเลือดของเรา แต่เหยียนเหยียนก็เป็นสายเลือดแท้ ๆ ของตระกูลเซี่ย เราจะตัดขาดครอบครัวฝั่งแม่ของเด็กได้ยังไง?”
แม้ตระกูลจางจะน่ารังเกียจ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกจะตัดขาดอย่างง่ายดายได้ยังไง?
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “ผมเห็นด้วย”
กงเหลียนซินยังพูดอีกว่า “ฉันก็คิดว่ามันควรเป็นแบบนี้เหมือนกันค่ะ”
ในที่สุดหวังผิงก็รู้สึกว่าเธอถูกละเลยเกินไป
เธอจึงตบโต๊ะเสียงดัง “เยี่ยมจริง ๆ พวกแกไม่ถามความคิดเห็นของฉันกันแล้วใช่ไหม? ถ้าพวกเขาไม่ยอมก็ปล่อยให้พวกเขาเลี้ยงถงถงกันไปเองสิ ครอบครัวของเราสามารถช่วยจ่ายได้นิดหน่อย และถ้าเราจับจ่ายไม่พอ แล้วพวกเขาจะยังบังคับเราจนตายได้รึไง?”
“แต่ถ้าตระกูลจางต้องตัดสัมพันธ์กับเด็กทั้งสองคน ฉันเกรงว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นขี้ปากของทุกคนอีกครั้งนะ!”
เรื่องนี้พวกเขาไม่สามารถออกไปอธิบายเหตุผลกับผู้คนทั่วไปเข้าใจได้อย่างชัดเจน เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการทำร้ายเด็ก ๆ และตระกูลเซี่ยก็จะเสียหน้าไปด้วย
เซี่ยโยว่หมิงส่ายหัว “ภรรยา คุณมักจะพูดอยู่เสมอว่าเรื่องนี้เงียบไปแล้ว แต่ครอบครัวนั้นเป็นแบบที่คุณพูดเหรอ?”
“หลังจากการหย่าร้างของลูกรอง พวกเขาได้เอาของไปกี่อย่างแล้วจากบ้านของเราโดยอ้างชื่อเด็ก? มันไม่เป็นไรหรอกถ้าถงถงได้ใช้มัน แต่สุดท้ายมันมีอาหารกี่ชิ้นกันล่ะที่ตกถึงท้องของถงถง?”
“คุณยินดีที่จะแกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอดหลอกลวงตัวเองไปเรื่อย ๆ เลยเหรอ? คุณเคยถามความสมัครใจของจิ่งเยว่และสะใภ้ใหญ่ของเราบ้างไหม?”
คำพูดของเซี่ยโยว่หมิงกระแทกหวังผิงอย่างแรง
เธอมองไปที่เซี่ยจิ่งเยว่และกงเหลียนซินโดยไม่รู้ตัว เซี่ยจิ่งเยว่มองเธออย่างอึดอัดใจ ในขณะที่กงเหลียนซินก็ก้มศีรษะลง
พวกเขาหมายถึงอะไร?
คิดว่าเธอทำผิดจริง ๆ เหรอ?
นี่ลูก ๆ ทั้งหมดอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเธอเองงั้นเหรอ?
เธอตะโกนอย่างสั่นเทา “จิ่งเยว่?”
เซี่ยจิ่งเยว่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่เมื่อเขากำลังจะตอบ กงเหลียนซินก็ชิงพูดแทนอย่างหนักแน่น “แม่คะ เราเห็นด้วยกับคำแนะนำของน้องเขยค่ะ”