กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 384 เผ่ยเยว่
บทที่ 384 เผ่ยเยว่
บทที่ 384 เผ่ยเยว่
“แต่มีคนบอกฉัน…” ฉีหยวนซานแทบจะโพล่งคำพูดออกมา
แต่จากนั้นเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “ถ้าแกไม่ชอบเสิ่นอี้โจวแล้วทำอะไรกับเขาทั้งวัน? ผู้ชายสองคนใกล้ชิดกันแถมเขายังให้เสื้อผ้าแกด้วยเนี่ยนะ?”
ถุงเสื้อผ้าอันนั้นถูกแอบมองโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของชายชรา ตามคำอธิบายเขาจำได้ว่าเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาก และแม้แต่คนในเมืองหลวงก็ชอบซื้อเป็นของขวัญ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ทางอ้อม
ฉีจิ่นจือขมวดคิ้ว “คุณให้คนติดตามดูการเคลื่อนไหวของผมเหรอ?”
อันที่จริงฉีจิ่นจือตระหนักถึงเรื่องนี้นานแล้ว
เห็นว่าคนนั้นติดตามเขาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เขาจึงไม่ได้สนใจอะไร
ไม่คาดคิดเลยว่า ฉีหยวนซานเข้าใจผิดว่าเขาและเสิ่นอี้โจวกำลังมีความสัมพันธ์กัน
ถ้าเขามีความสัมพันธ์กับเสิ่นอี้โจวจริง ๆ เธอคนนั้นคงดุด่าเขาจนตายไปแล้วไหม?
ตอนนี้เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็เหมือนจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเซี่ยชิงหยวนจึงมีท่าทีตั้งรับทุกครั้งที่เธอเจอเขาในก่อนหน้านี้
ฉีหยวนซานรู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไอแล้วพูดว่า “ฉันแค่เป็นห่วงแกเท่านั้น แกใช้เวลาทั้งวันเดินไปรอบ ๆ เมืองโดยไม่ได้ทำงาน หากศัตรูของแกเกิดวางแผนบางอย่างขึ้นมาล่ะ? แบบนั้นแกคงไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าตัวเองตายได้ยังไง”
ตระกูลฉีคือตระกูลทหารที่โดดเด่น และยังสร้างศัตรูนับไม่ถ้วน
ลูกชายคนโตของเขาเสียชีวิต เนื่องจากการแก้แค้นของศัตรูระหว่างปฏิบัติภารกิจ
ตอนนี้เขาเหลือทายาททางสายเลือดคนเดียวเท่านั้นคือฉีจิ่นจือ เขาต้องระมัดระวังเอาไว้
ไม่ว่าฉีจิ่นจือจะไม่พอใจแค่ไหนก็ยังเป็นลูกชายของเขาและโจวโม่ตลอดไป
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีหยวนซาน ฉีจิ่นจือไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจสักนิดเดียว แต่รู้สึกขบขันอย่างมาก
ชายหนุ่มเยาะเย้ยเบา ๆ “ก่อนที่ลูกชายคนโตที่ยอดเยี่ยมของคุณจะตาย คุณจำได้บ้างไหมว่าคุณยังมีผม ลูกชายคนนี้อยู่ในโลกด้วย? เพราะงั้นอย่ามาพูดถึงความเห็นแก่ตัวของตัวเองด้วยวิธีที่ฟังดูสูงส่งแบบนี้!”
เขามองพ่อตัวเองด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าผมตาย คุณก็สมควรได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว คนอย่างคุณมันไม่สมควรได้เสวยสุขด้วยซ้ำ!”
เขาเกลียดฉีหยวนซานที่ทิ้งตัวเขาและแม่มานานกว่า 20 ปี เขาเกลียดที่จู่ ๆ ฉีหยวนซานก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้ว จากนั้นก็ปล้นตัวตนและชีวิตของเขาไปอย่างหยิ่งผยอง ทำให้เขากลายเป็นอีกคนที่ถูกควบคุมโดยคนอื่น เขาเกลียดฉีหยวนซานมากที่สุด
เกลียดมากจนสาปแช่งให้ตัวเองตาย ๆ ไปซะ
ดวงตาของฉีหยวนซานฉายแววตื่นตระหนก
เขามองไปยังฉีจิ่นจือและพูดไม่ออกอยู่นาน
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธหรือเศร้ามากกว่ากัน
ฉีจิ่นจือไม่แม้แต่จะเหลือบมองฉีหยวนซานอีก เขาออกจากบ้านไปโดยไม่กลับขึ้นห้องด้วยซ้ำ
ดวงตาของฉีหยวนซานเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงประตูปิด เขาเดินโซเซและนั่งลงโดยจับโต๊ะอาหารไว้ เอามือมากุมใบหน้าและไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
…
เมื่อเผ่ยเยว่มาที่บ้านตระกูลฉี เผ่ยอิ่งก็ไปรับหญิงสาวด้วยตัวเองโดยรถยนต์
เผ่ยเยว่ลงจากรถไฟโดยสวมชุดสีเบจและแจ็กเกตสีเดียวกัน ผมยาวของเธอถูกมัดไว้สูงด้านหลังศีรษะ ซึ่งผมหน้าม้าก็ทำให้หญิงสาวดูอ่อนหวานและเรียบร้อยมากเมื่อใครได้เห็น
เมื่อหญิงสาวเห็นเผ่ยอิ่ง เธอก็ยิ้มที่มุมปาก ลักยิ้มคล้ายลูกแพร์หวานสองอันเต็มไปด้วยบรรยากาศอ่อนโยน “คุณป้า!”
เธอหัวเราะและวิ่งไปหาเผ่ยอิ่ง
เผ่ยอิ่งไม่ได้เจอเผ่ยเยว่มาหลายปีแล้ว และเธอต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะจำหลานตัวเองได้
เผ่ยอิ่งกอดหลานสาวก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วสินะ เยว่เยว่ของป้าโตมาสวยมากจริง ๆ”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเผ่ยเยว่ไปต่างประเทศกับพ่อแม่ของเธอ และกลับมาสองครั้งเพื่อร่วมงานรวมตัวกับครอบครัวในเมืองหลวง ดังนั้นป้าและหลานสาวจึงไม่ได้พบกันเลยเป็นเวลานานมากแล้ว
เผ่ยเยว่ยิ้มแล้วพูดว่า “ป้าของหนูยังดูสาวเหมือนเดิมเลยค่ะ”
เผ่ยอิ่งแตะปลายจมูกของหลานสาวอย่างเอ็นดู “ดูปากเล็ก ๆ ของหลานสิ มันยังหวานเหมือนเดิมเลยจริง ๆ”
จากนั้นคนป้าก็นำหลานเดินแล้วพูดว่า “เอาละ กลับบ้านกันเถอะ”
เผ่ยเยว่เหลือบมองไปข้างหลังเผ่ยอิ่งแล้วตอบว่า “ค่ะ”
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของหญิงสาวไม่รอดพ้นสายตาของเผ่ยอิ่ง
เมื่อเผ่ยอิ่งเห็นแบบนี้ก็หุบยิ้มลงแล้วพูดว่า “หลานไม่จำเป็นต้องไปมองหาไอ้ลูกนอกกฎหมายนั่นหรอก มันไม่ได้อยู่ที่นี่”
เผ่ยเยว่รีบดึงชายเสื้อของเผ่ยอิ่งและส่ายหัวเบา ๆ “คุณป้า อย่าเป็นแบบนี้สิคะ”
เผ่ยอิ่งถอนหายใจก่อนจะตบมือหลานสาวเบา ๆ แล้วพูดว่า “หลานไม่ต้องกังวลว่าใครจะได้ยินหรอก ไม่มีใครทำอะไรป้าได้ทั้งนั้น ป้าไม่รู้จริง ๆ ว่าพ่อแม่ของหลานคิดอะไรกันอยู่ถึงตกลงให้หลานมาที่นี่ได้”
เผ่ยเยว่ยิ้มตอบ “พ่อแค่บอกว่าให้หนูมาสนุกและหาประสบการณ์น่ะค่ะ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะพูดถึงมันทีหลัง”
ยิ่งเผ่ยเยว่มีน้ำใจมากแค่ไหน มันก็ยิ่งยากที่เผ่ยอิ่งจะกลืนความรู้สึกนี้ไว้ในใจของเธอ
ไม่รู้ว่าฉีหยวนซานได้ยินอะไรจากผู้ใต้บังคับบัญชามา คนที่มักจะติดตามฉีจิ่นจือ เขาได้โทรหาตระกูลเผ่ยในเมืองหลวง และเห็นด้วยกับคำขอดั้งเดิมของตระกูลเผ่ย
ดูเหมือนว่าหลังจากที่เซี่ยจื่ออี้พ่ายแพ้ไป เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากตระกูลเผ่ยแล้ว
เผ่ยอิ่งพูดอย่างไม่เต็มใจ “งั้นเดี๋ยวหลานก็รอดูไอ้คนคนนั้นแล้วกัน มันเป็นเพียงหมาป่าตาขาวที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีเท่านั้นแหละ มีจิตใจที่เย็นชาและแข็งกระด้าง”
เผ่ยเยว่ไม่ตอบรับคำพูดของป้าเธอ และพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าคะ หนูไม่เคยมาที่มณฑลอวิ๋นมาก่อน คุณป้าพาหนูไปเดินเล่นหน่อยได้ไหมคะ?”
เผ่ยอิ่งรู้ว่าหลานสาวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เธอจึงทำตามคำพูดของหลานสาว “ได้สิจ๊ะ”
หลานสาวของเธอดีเพียบพร้อมในทุกด้าน..
เนื่องจากดีทุกอย่าง เธอจึงรู้สึกว่าฉีจิ่นจือไม่คู่ควรแม้แต่ปลายเล็บ
เธอหวังเพียงว่าเผ่ยเยว่จะรู้ถึงนิสัยแท้ ๆ ของฉีจิ่นจือได้หลังจากได้เจอหน้ากัน แล้วไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยความอุ่นใจ
สำหรับข้อตกลงระหว่างตระกูลฉีกับตระกูลเผ่ย เธอรู้สึกว่ามันไม่ควรสำเร็จ
ในสายตาของเธอ คนอย่างฉีจิ่นจือไม่สามารถให้เมล็ดพันธุ์ที่ดีในอนาคตได้เลย
เธอมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์ของเผ่ยเยว่ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ
เดินทีละก้าว แล้วว่ากันไปแต่ละก้าว*[1]
…
คืนนั้นเพื่อต้อนรับเผ่ยเยว่ ฉีหยวนซานจึงกลับมากินมื้อเย็นที่บ้าน
เขายังโทรหาฉีจิ่นจือ และขอให้อีกฝ่ายกลับมากินมื้อเย็นร่วมกัน
แต่แน่นอน ฉีจิ่นจือไม่ได้กลับมา
วันที่สอง เผ่ยเยว่กำลังจะออกไปเดินเล่น ฉีหยวนซานก็พูดว่า “หลานมาเยือนเราไกลมาก จริง ๆ แล้วเราควรให้จิ่นจือไปกับหลานด้วย เพียงแต่ช่วงนี้มันใกล้จะสิ้นปีแล้ว และเขามีความรับผิดชอบต่องานหนักมากน่ะ จึงพักอยู่ในสถานีตลอดไม่สามารถกลับมาในช่วงนี้ได้ ไม่เป็นไรนะ ไว้รอจนกว่าเขาจะกลับมาจากวันหยุดแล้วให้เขาพาหลานไปเดินเที่ยวเล่นรอบ ๆ นะ”
เผ่ยเยว่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง หนูไปเองได้ไม่มีปัญหาเลยค่ะ”
หญิงสาวทำงานนิตยสารแฟชั่นในต่างประเทศ และมักจะออกจากบ้านไปถ่ายรูปด้วยตัวเองบ่อย ๆ เธอไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากอะไรเลย
เมื่อคืนเผ่ยอิ่งมีอาการปวดหัวและเข้านอนเร็ว เธอจึงไม่รบกวนอีกฝ่าย
ส่วนเรื่องที่ว่าฉีจิ่นจือไม่มาปรากฏตัวให้เห็นเลย เธอไม่ได้สนใจและไม่โกรธเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าความมีเหตุผลนี้ของเผ่ยเยว่ ยิ่งทำให้ฉีหยวนซานพอใจกับเธอมากยิ่งขึ้น
เขายิ้มกลับไป “แบบนั้นก็ได้ ถ้าหลานออกไปแล้วชอบอะไรก็ซื้อมาเลยนะ เดี๋ยวลุงจะเป็นคนออกเงินให้ทั้งหมดเอง”
เผ่ยเยว่ยิ้มอย่างสดใส พร้อมกับแสดงกิริยาของลูกสาวตระกูลใหญ่ที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี “ถ้าอย่างนั้นหนูขอขอบคุณคุณลุงล่วงหน้านะคะ!”
เธอหยิบกล้องมาใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กแล้วสะพายเดินออกไป
แต่หลังจากเดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นผมยาวสยายปรกแผ่นหลัง ดูผอมมาก ดวงตาดูล่องลอยและมืดหม่น ทั้งคนดูโซเซเหมือนว่าสามารถถูกลมกระโชกพัดปลิวได้ง่าย ๆ
หญิงสาวคนนั้นมองดูเผ่ยเยว่พร้อมกับลืมตาขึ้น และแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างนั่นยิ่งทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกอึดอัด
เธอเดินมาหาเผ่ยเยว่แล้วถามเบา ๆ “คุณเป็นญาติของผู้อำนวยการฉีรึเปล่าคะ?”
[1] เดินทีละก้าว แล้วว่ากันไปแต่ละก้าว (走一步看一步) หมายถึง เมื่อเจอปัญหาก็ค่อย ๆ แก้ไขตามแต่ละก้าวที่เดินไป