กระบี่จงมา - บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “เส้นทางการฝึกตน ฝ่าทะลุขอบเขตไต่ ทะยานขึ้นสูงไปทีละขั้นก็เป็นการฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจเช่นเดียวกัน
จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ นกบินบนนภาต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขา
ตระหง่าน แม้ไร้หนทางแต่ข้าก็จะขึ้นไปสู่ยอดเขาให้จงได้ หรือจะเป็น เดินไปจนสุดปลายน้ํานั่งมองก้อนเมฆลอยตัว เมื่อบรรลุกระจ่างแจ้ง
หมื่นสรรพสิ่งก็สว่างไสว คล้ายได้ยินเสียงฟ้าผ่าบนพื้นดินราบ”
เกาจวินครุ่นคิดตามไปอย่างละเอียดแล้วจึงพยักหน้ารับ “คํา
กล่าวนี้ของเซียนกระบี่เฉินยอดเยี่ยมมาก ประหนึ่งถ้อยคําของเทพที่
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะหริด
เกาจวินรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการกิจธุระ
และการอยู่ร่วมกับคนอื่น การที่นางมาเป็นเจ้าประมุขของพรรคหูซาน
ได้ นอกจากจะเป็นคําสั่งที่บรรพจารย์อวี่สั่งไว้ ขณะเดียวกันเขาก็ได้ ช่วยเก็บกวาดอุปสรรคทุกอย่างให้นางอย่างลับๆ นอกจากนี้ก็เป็น เพราะนางเกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิชาตระกูลเซียนจริงๆ สามารถ
ฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็วที่สุด สําหรับเกาจวินแล้วนี่ก็
เหมือนว่าระหว่างฟ้าดินมีประตูสวรรค์บานหนึ่งโผล่เพิ่มมา ในอดีต
หากอยากเป็นคนเหนือคนที่มองเหยียดเหล่าจักรพรรดิในโลกมนุษย์
ได้ ก็ได้แต่หันไปฝึกวรยุทธเรียนหมัด กลายไปเป็นปรมาจารย์ด้าน การเรียนวรยุทธ ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ บนโลกก็มีทางเส้นหนึ่ง เพิ่มมา เจินเหรินผู้พิทักษ์อยู่บนพื้นพสุธา เทพและภูตประหลาด ทั้งหลายที่มักจะอ่านเจอในนิยายปรัมปราไม่ใช่บุคคลที่ล่องลอยอยู่
ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นบุคคลและเรื่องราวที่ อยู่ใกล้เพียงข้างมือ
นางก็คือคนที่โชคดีมากที่สุดของพรรคหูซาน
ไม่อย่างนั้นปีนั้นติดตามบรรพจารย์ไปเยือนเมืองหลวง
แคว้นหนันเยวี่ยน อวี้เจินอี้ก็เคยให้ข้อสรุปบอกว่า หากชีวิตนี้นาง เกาจวินได้แต่เดินไปบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธอย่างมากสุดก็ ได้แค่เป็นยอดฝีมือในยุทธภพอย่างพวกราชครูจังซิว หรือไม่ก็
ฮองเฮาจูซูเจินเท่านั้น
เกาจวินมีสีหน้าละอายใจเล็กน้อย “เซียนกระบี่เฉินรู้อะไรก็เล่าให้ ฟังทั้งหมด ถามอะไรก็ตอบ เกาจวินขอขอบคุณท่านจากใจจริง” เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าประมุขเกาเชิญถามมาได้เลย ข้า ไม่มีทางรู้สึกรําคาญเด็ดขาด นิสัยที่คนอื่นบอกว่าชอบทําตัวเป็นครู ของข้ายากจะเปลี่ยนได้จริงๆ”
เกาจวินก็ไม่เกรงใจอีกจริงๆ ถามต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้เซียน กระบี่เฉินพูดถึงการฝ่าทะลุขอบเขตเดินขึ้นสูงไปทีละขั้น การฝึกตน
เหมือนการเดินขึ้นบันได ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนอย่างพวกเรามีการแบ่ง
ขอบเขตและชื่อเรียกอย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่?”
เปิด
เฉินผิงอันพยักหน้า “ห้าขอบเขตกลาง ถ้ําสถิต มีความหมายว่า ร่างกายและฟ้าดินด้านนอกเชื่อมโยงกันเหมือนพาดสะพาน ประตูจวน เริ่มดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดิน ชมมหาสมุทร เอา มาจากสองคําว่า “ข้าขึ้นหอสูงชมร้อยสายน้ํา ไหลลงสู่มหาสมุทรก็ คือไหลลงสู่อ้อมอกข้า” เดินขึ้นสู่ที่สูงชมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไพศาล รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของใต้หล้า เมื่อผู้ฝึกตนมีถ้ําสถิตในจํานวน
ที่แน่นอนแล้วก็จะดูดซับเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาอย่างต่อเนื่อง
หากรั้งไว้ได้ก็จะย้อนกลับไปหล่อเลี้ยงเรือนกาย บํารุงจิตวิญญาณ
เหมือนสายน้ําที่ไหลรินไม่หยุด ขยับขยายเส้นทางท้องน้ําให้กว้างขึ้น อย่างต่อเนื่อง บุกเบิกเส้นชีพจรเหมือนการปูทางหลวงสร้างจุดพักม้า ประตูมังกร ปราณวิญญาณที่กระจายอยู่ในช่องโพรงลมปราณต่างๆ ของผู้ฝึกลมปราณเหมือนได้รวมตัวกันกลายเป็นเจียวน้ําตัวหนึ่งที่
ทวนกระแสน้ําลอยขึ้นเบื้องบน สุดท้ายจะสามารถกระโดดข้ามประตู มังกรไปได้หรือไม่ก็คือธรณีประตูที่ใหญ่มาก ทําสําเร็จก็จะหา “ห้อง โอสถ” แห่งหนึ่งเจอ คือความลี้ลับในความลี้ลับเหมือนได้เปิดถ้ํา สวรรค์แห่งใหม่ไปเจอโลกอีกใบหนึ่ง เป็นเหตุให้มีคํากล่าวบนภูเขา ที่ว่า “ผู้ที่สร้างโอสถทองได้ ล้วนเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า” ข้ามไปไม่ได้ ปราณวิญญาณไหลทวนกระแสน้ําพุ่งชนด่านไม่สําเร็จเป็นเหตุให้
มหาสมุทรลมปราณในจุดตันเถียนแห้งขอด สุดท้ายมีความเป็นไปได้
สูงว่าจะหยุดอยู่ที่ขอบเขตถ้ําสถิตไปตลอดชีวิต นี่จึงเป็นเหตุให้การ
สร้างโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณ โอสถอยู่ในระดับที่เท่าไรก็เหมือน
การสอบเคอจวี่ในโลกมนุษย์ที่มีการแบ่งแยกขอบเขตสูงต่ํา ระดับ
การหล่อหลอมของโอสถทองเม็ดหนึ่ง ขนาดใหญ่เล็กของห้องโอสถ
รวมไปถึงตอนที่สร้างโอสถสามารถชักนําให้เกิดภาพเหตุการณ์
ผิดปกติที่ฟ้าดินขานรับกันได้หรือไม่ ล้วนมีข้อพิถีพิถันต่างกันไป
มหามรรคาแปรปรวนไม่แน่นอนเจตนารมณ์สวรรค์ยากจะคาดเดา จะ กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริงได้หรือไม่ จะได้รับ เงื่อนไขที่ดีเยี่ยมอย่างจริงแท้หรือไม่ ก็ล้วนอยู่ที่การกระทํานี้ หลังจาก นั้นก็จะเป็นก่อกําเนิด สามารถปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงเดิน ทางไกล ช่วยให้จิตหยางกายนอกกายนั่งพิทักษ์ฟ้าดินเล็ก เหมือน
อย่างที่ในตํารากล่าวไว้ว่า ปรมาจารย์ทะยานลมอย่างเยือกเย็น ท่องเที่ยวระหว่างฟ้าดินอย่างเสรี”
“ในสถานการณ์ทั่วไป โอสถทองและก่อกําเนิดต่างก็เรียก รวมกันว่าเป็นเซียนดิน ผู้ฝึกลมปราณออกเดินทางไปเยือนภูเขา
สายน้ําในทวีปหนึ่งของใต้หล้าไพศาลเพียงลําพัง ต่อให้เปิดภูเขา ก่อตั้งพรรค เป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขา ก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ”
“ข้าคะเนว่าโอสถที่บรรพจารย์อวี่ของพวกเจ้าสร้างได้คือระดับ
หนึ่ง ส่วนระดับขั้นโอสถทองของเจ้าประมุขเกาน่าจะอยู่ประมาณ ระดับที่สอง ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ต่อให้อยู่ในใต้หล้าไพศาล ได้
ครอบครองโอสถทองระดับสองเม็ดหนึ่งก็เป็นโชควาสนาที่เซียนดิน
มากมายปรารถนาแต่ก็มิอาจได้มาครองแล้ว”
พูดอย่างเรียบง่าย คนฟังก็เข้าใจได้ง่าย
มองดูเหมือนเป็นการคุยเล่นที่เฉินผิงอันพูดถึงแค่ “ความรู้ทั่วไป” ในด้านการฝึกตนซึ่งไม่ถือว่าลึกซึ้งเข้าใจยากสักเท่าไรสําหรับใต้
หล้าไพศาล บางทีเซียนดินของภูเขาเมฆาเรื่องก็อาจจะพูดได้
เหมือนกัน
แต่สําหรับเกาจวินที่ทุกวันนี้ต้องทั้งทําความเข้าใจและทั้งสัมผัส
กับทุกเรื่องราวด้านการฝึกตนด้วยตัวเองแล้ว ทุกคําพูดของเขากลับ ล้ําค่าเหมือนทองคําเหมือนหยก คํากล่าวนี้มีคุณูปการดุจการแหวก เมฆเห็นแสงตะวัน ระดับความล้ําค่านั้นไม่เป็นรองคัมภีร์เต๋าที่บรรพ จารย์อวี่ทิ้งไว้เล่มนั้นเลย
เฉินผิงอันเองก็แค่พูดไปตามเรื่องตามราว เอ่ยถ้อยคําอย่างไร้ เจตนาซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียของเกาจวิน สืบสาวราวเรื่อง
กันแล้วก็เพราะมองนางเป็นสหายบนเส้นทางของการฝึกตนใน อนาคต ใช้จิตใจที่สงบเป็นกลางเอ่ยประโยคธรรมดาสามัญทั่วไป เท่านั้น
ผลคือรอกระทั่งเขาพูดจบ พริบตานั้นในหัวใจของเฉินผิงอันก็
สั่นสะท้านน้อยๆ อดหันไปกวาดตามองรอบด้านไม่ได้ คล้ายมีการรับ สัมผัสระหว่างคนและฟ้าบางอย่างที่มหัศจรรย์จนมิอาจใช้ถ้อยคํามา
บรรยาย ราวกับว่าได้รับคําชื่นชมและการยอมรับอย่างหนึ่งจากฟ้า
ดิน แห่งนี้…
รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ไม่มีความรู้สึกติดขัด เหมือนตอนที่มาเยือนพรรคหูซานก่อนหน้านี้อีกแล้ว
นาทีนี้เฉินผิงอันยิ่งเข้าใจในคําพูดบางอย่างของหลวงจีนเฒ่าเจ้า
อาวาสวัดซินเซียงแคว้นหนันเยวี่ยน รวมไปถึงหลักการเหตุผล
บางอย่างที่ได้ฟังตอนเข้าร่วมรับฟังการไต่สวนคดีของศาลเทพ
อภิบาลเมืองยามค่ําคืนได้ลึกซึ้งขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงการคาดเดานั้นของจูเหลี่ยนด้วย
ว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนี้มีลางว่าจะเกิด
“เทพเทวดาน้อย” เกิดขึ้นมาจริงๆ เพียงแค่รอให้ “สติปัญญาเปิด ออก’ และทําการ “หลอมเรือนกาย” ต่อเท่านั้น อันที่จริงก่อนหน้านี้ การปรากฏตัวของสตรีที่จําแลงมาจากโชคชะตาบุ๋นของพื้นที่มงคล แล้วถูกฉางมิ่งค้นพบเข้าก็สามารถมองเป็นลางที่น้ํามาลําคลองจะก่อ
เกิดสําเร็จได้เหมือนกัน จนกระทั่งวันนี้ที่เฉินผิงอันมาเยือนพื้นที่
มงคลอีกครั้งหลังจากจากไปนานหลายปี แล้วยังได้รับการเห็นพ้อง จากฟ้าดินในระดับที่แน่นอนอย่างรวดเร็ว หรือว่าปากของพ่อครัว
เฒ่าจะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ?
เกาจวินกลับมิอาจสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินส่วนนี้
นางแค่จมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหนือห้าขอบเขตบนและเซียนดินขึ้นไปมี ขอบเขตอีกกี่อย่าง?”
“ขอบเขตแรกของห้าขอบเขตบนมีชื่อว่าหยกดิบ”
“หยกดิบ? ความหมายก็คือหวนกลับสู่ธรรมชาติความเป็นจริง
เป็นหยกงามที่ไร้ตําหนิหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “กลับคืนสู่ความเป็นจริง ไม่มีทางถูก หลู่เกียรติไปชั่วชีวิตเหมือนกับการสร้างเรือนกายที่ไร้มลทินขึ้นมา สร้างเจดีย์ที่ไร้รูโหว่ แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ไม่มาแปดเปื้อน ผู้ฝึกตนที่ เลื่อนสู่ขอบเขตนี้ ต่อให้เป็นกบใต้บ่อที่กระโดดไปถึงปากบ่อแล้ว แม้ จะอยู่ห่างจากฟ้าอีกไกล แต่ก็สามารถใช้สายตาที่ใกล้เคียงกับ
ภาพรวมนได้แล้ว”
ในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว อวี่เฉินอี้ต่างหากถึงจะ ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกคนแรกในด้านการฝึกตน แน่นอนว่าย่อมไม่มีการ แบ่งขอบเขตอย่างเป็นรูปธรรม
ถึงขั้นที่ว่าปีนั้นอวี่เจินอี้เองก็เคยได้ทําการทดลองอย่างระมัดระวัง ไปมากมายเกี่ยวกับเรื่องของการปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล
ระมัดระวังสุดขีด ไม่เคยทิ้งบันทึกข้อความใดๆไว้ในพรรคหูซาน เพียงแค่บอกกล่าวให้เกาจวินรู้อย่างลับๆ เท่านั้น
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้เกาจวินก็ยังไม่กล้าปล่อย จิตหยินเดินทางไกลง่ายๆได้แต่เลือกวันฤกษ์งามยามดีที่ท้องฟ้า ปลอดโปร่ง ยามค่ําคืนที่ดวงจันทร์ใสกระจ่างแล้วลอง “ออกจากช่อง โพรง” ไปในรัศมีพันลี้รอบพรรคหูซานเท่านั้น
ปีนั้นเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นี้เปิดศึกตัดสินเป็นตายกับติงอิง ติงอิง ที่ได้ครอบครองโชคชะตาบู๊ของฟ้าดินไปเพียงลําพัง ไม่รู้ว่าใช้วิธีลับ อะไรถึงสามารถปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรง กลายร่างไปเป็น กายธรรมใหญ่โตมโหฬารสูงทัดเทียมกับภูเขากู่หนิวได้ จนถึงตอนนี้ เกาจวินมาลองคิดดูก็ยังรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย ทั้งยังเกิดใจใฝ่ฝันหา น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางไม่ได้ฝึกตน คนไม่เชี่ยวชาญก็ได้แต่มุงดู
เรื่องสนุกเท่านั้น หาไม่แล้วนั่นจะเป็นโอกาสอันดีงามที่พันปีก็ยากจะ พานพบ จะมีคุณประโยชน์อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ฝั่งตรงข้ามหลังจากเดินข้ามสะพานผ่านทะเลสาบมามีภูเขาลูก เตี้ยอยู่ห่างไปไม่ไกลด้านบนสร้างตําหนักบรรพจารย์พรรคหูซาน เอาไว้ ตอนนี้ด้านในตั้งบูชาบรรพจารย์ไว้เพียงแค่คนเดียวชั่วคราว เพิ่งจะสร้างขึ้นหลังจากที่อวี้เจินอี้ “บินทะยาน” ไปแล้ว โครงสร้าง
อิงตามบันทึกลับบางอย่างซึ่งแตกต่างไปจากรูปแบบของศาลบรรพ
จารย์ในพรรคของยุทธภพทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
เกาจวินพลันถามคําถามหนึ่งที่เป็นทั้งในทาง ทฤษฎี” และทาง
“ปฏิบัติ” เดิมทีนี่ก็เป็นสัจธรรมที่เป็นกุญแจสําคัญของระบบสืบทอด ลัทธิขงจื้ออยู่แล้ว เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ รู้ดีถึงความหมายลึกซึ้ง จากการที่เกาจวินถามคําถามข้อนี้ แต่กระนั้นก็ยังบอกทุกเรื่องที่
ตัวเองรู้กับอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจอย่างใหม่ต่อเกาจวิน
ดูท่าหลายปีมานี้นางเก็บตัวอยู่ในภูเขาตั้งใจฝึกตนคงได้อ่านตํารามา
ไม่น้อย หากจะบอกว่าให้เฉินผิงอันบุกเบิกโฉมหน้าใหม่บนรากฐาน
วิชาความรู้ของปราชญ์ผู้ล่วงลับ แสดงความคิดเห็นอย่างใหม่ที่เป็น
ของตัวเอง เฉินผิงอันไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย แต่หากจะพูดถึง ข้อคิดเห็นที่ยกมาจากในตําราเมื่อผ่านการสะสางทําความเข้าใจ อาศัยความทรงจําจากการอ่านตําราและการทําความเข้าใจของ ตัวเฉินผิงอันเอง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าแต่เกาจวินเลย ต่อให้เป็น ผู้อํานวยการสถานศึกษาหรือเจ้าขุนเขาสํานักศึกษาของศาลขุ่นเขา
ก็ยังกล้างัดข้อได้นานเป็นครึ่งๆ วันโดยไม่คิดจะหวาดกลัว
คําถามข้อนี้ของเกาจวินไม่ได้แค่ถามเพื่อพรรคหูซานเท่านั้น แต่
ถามเพื่อผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้า ก็คือด่านหนึ่งที่ถูกกําหนดมาแล้ว ว่าจะอ้อมผ่านไปไม่ได้
ทุกวันนี้พรรคหูซานมีผู้ฝึกลมปราณหลายสิบคน แต่นอกจากผู้ อาวุโสในสํานักสองคนของเกาจวินที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว
คนอื่นๆ ก็ยังเป็นแค่ห้าขอบเขตล่างเท่านั้น
อยู่ในพรรคหูซานแห่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ขึ้นชื่อเรื่องระดับขั้นที่ เข้มงวด กฎระเบียบในสํานักหยุมหยิมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็น เจ้าประมุขเกาเดินเคียงคู่มากับบุรุษชุดเขียวแปลกหน้า แม้ว่าในใจแต่
ละคนจะมีคลื่นยักษ์ถาโถม แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าเผยสีหน้าประหลาด เพียงหยุดเท้าคารวะเงียบๆ อยู่ไกลๆ แล้วพากันจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฟ้าดินแห่งหนึ่งมีสรรพชีวิตที่สามารถเดินขึ้นเขาฝึกตน มีภูต มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือความคาดคิดผุดขึ้นมามากมาย ก็มักจะมีเส้นทาง
โลกมืดและโลกสว่างมีความต่าง ผีและคนเดินกันคนละเส้นทาง
เกิดขึ้นนอกตําราจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต่างระหว่างเซียนกับ
มนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนภูเขาและล่างภูเขาก็ยิ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทุกวันนี้พรรคหูซานคือพรรคอันดับหนึ่งอย่างสมชื่อในใต้หล้า หรือ
ควรจะเรียกว่าเป็นจวนเขียนบนภูเขาได้แล้ว
เจ้าประมุขเกาเงินฝึกวิชาตระกูลเซียนได้พิสูจน์มรรคาแล้ว เป็น
เหตุให้มีศาสตร์คงความอ่อนเยาว์ ยี่สิบกว่าปีมานี้รูปโฉมของนาง
แทบไม่เคยแก่ลง กลับกันยังเหมือนทองที่ผ่านการชุบหลอม เหมือน หยกดิบที่ผ่านการขัดกลึง ผิวพรรณและเส้นเอ็นกระดูกถูกขจัดจุด ด่างพร้อยและสิ่งเจือปนทิ้งไปอย่างต่อเนื่อง ได้มีภาพบรรยากาศของ เรือนกายเซียนดินที่เหมือน “กิ่งทองใบหยก” แล้ว ก็เหมือนอวี้เจินอี้ ในปีนั้นที่หลังจากร่วมมือกับจังซิวสังหารเจ๋อเซียนต่างถิ่นคนหนึ่ง จน
ได้กระบี่เซียนและตําราเซียนเล่มหนึ่งมาครอง รูปโฉมของเขาก็ เปลี่ยนจากชายชราผมขาวมาเป็นวัยกลางคน วัยหนุ่มจนกระทั่งเป็น
เด็กหนุ่ม สุดท้ายตอนที่ออกจากด่านมาปรากฏตัวในแคว้นหนัน เยวี่ยน อวี่เจินอี้ก็ขี่กระบี่ทะยานลมอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กน้อยแล้ว
จริงๆ
ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง เปลี่ยนจากแก่มาเป็นเด็ก
เรื่องทํานองนี้ สําหรับผู้ฝึกยุทธแล้วเป็นความเพ้อฝันอย่างหนึ่ง
เมื่อใต้หล้าแห่งหนึ่งที่เดิมทีอายุขัยของทุกคนมีจํากัดเกิดมีผู้ฝึก
ลมปราณปรากฏขึ้นมา รูปโฉมของฟ้าดินและคุณลักษณะภายในก็
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินตามไปด้วย
สิ่งที่เป็นรากฐานที่สุดก็คือจะต้องเกิดการช่วงชิงกันของ “ระบบ
สืบทอด” ที่ซุกซ่อนอําพรางอย่างหนึ่ง นี่จะเกี่ยวพันไปถึงทางทฤษฎี และทางปฏิบัติที่เกาจวินต้องการรู้ ยิ่งเกี่ยวพันไปถึงว่าพรรคหูซานจะ มีเหตุผลชอบธรรมหรือไม่ด้วย
มหาสมุทรตํารากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ความรู้ของสามลัทธิบวก
กับเมธีร้อยสํานัก ไม่ได้มีแค่พันคัมภีร์หมื่นการสืบทอดเท่านั้น
เฉินผิงอันพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด เกาจวินตั้งใจรับฟัง
บนเส้นทางภูเขามีศาลาที่เรียบฟัง
กรอบป้ายเขียน สองคําว่า “ซงไล่” รอบศาลามีต้นไม้โบราณที่เกาะกลุ่มกัน พุ่มใบ เขียวชอุ่ม ลมพัดเงาใบไม้ไหวเพยิบ ศาลาเหมือนอยู่ท่ามกลาง สายน้ําฤดูใบไม้ร่วง
ด้านข้างมีธารน้ําไหลริกๆ น้ําใสไหลคดเคี้ยว ต้นสนเก่าแก่ยืน หลังโก่ง เหนือยอดไม้คือกิ่งก้านที่แผ่พุ่มใบหนาเป็นพิเศษ ใบไม้สี
เขียวเหมือนกระโจมสีเขียวหลังเล็ก
ประหนึ่งเสียงจากสรวงสวรรค์
เสียงน้ําดังคลอลอดผ่านใบสน
คนเดินขึ้นเขาแล้วมาหยุดพักอยู่ที่นี่ ทอดสายตามองทัศนียภาพ ของทะเลสาบ การมองเห็นเปิดกว้าง จิตใจปลอดโปร่งผ่อนคลาย เบื้องหน้าสว่างไสว
เกาจวินเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันหยุดพักชมทิวทัศน์ที่นี่
ปีนั้น “เจ๋อเซียน” ที่มีเฉินผิงอันเป็นหนึ่งในนั้น โจวเฝยแห่ง ตําหนักคลื่นวสันต์ ลู่ฝางแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น เฝิงชิงป้ายจอมยุทธ พเนจร ถงชิงชิงแห่งเรือนจิ้งซิน ฝานกว่านเอ๋อร์หรือควรจะพูดให้ถูก ก็คืออันที่จริงสองคนนี้ก็คือหวงถิงแห่งภูเขาไฟผิง
ตามหลักแล้วหากไม่พูดถึงเฉินผิงอันที่จับผลัดจับผลูพลัดหลง
เข้ามาในพื้นที่มงคลอย่างสู่ฝ่างและหวงถิง เดิมทีอยู่ในใต้หล้าแห่งนี้
ควรเป็นดั่งปลาได้น้ํา แต่กลับกลายเป็นว่าอยู่ในสภาวะที่ติดขัด
ความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตของแต่ละคนยังสู้ตอนอยู่ใต้หล้า
ไพศาลไม่ได้ด้วยซ้ํา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่อาจเอาชนะคนในพื้นที่อย่าง
ติงอิง
สําหรับในเจตนาที่เห็นแล้ว
สําหรับคนต่างถิ่นที่มองดูเหมือนได้ยึดครองความได้เปรียบ
“เทพเทวดา” มักจะไม่ถูกใจเสมอ หรือบางทีนี่ก็อาจจะถือว่าเป็น “ความรู้สึกของคนทั่วไป” อย่างหนึ่งได้เหมือนกัน?