กระบี่จงมา - บทที่ 991.4 เรื่องมงคลคู่มาเยือนพร้อมกัน
บทที่ 991.4 เรื่องมงคลคู่มาเยือนพร้อมกัน
การประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งหนึ่งที่รวดเร็วฉับไว สั้นกระชับ
เรียบง่าย ก็ได้จบลงเพียงเท่านี้
นี่แตกต่างจากการใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยามของเสี
นี่แตกต่างจากการใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยามของเสี่ยวหลงซิ
ซือถูเมิ่งจิงเรียกตัวลิ่งหูเจียวอวี่เอาไว้ ให้นางไปที่เรือนพักในสวน ป่าของเฉิงมีด้วยกันบอกให้ผู้ฝึกยุทธเข้าครัว ครัวทําบะหมี่น้ํามันเดือดมา
สามขาม
เฉิงมี่เองก็มีฝีมืออยู่บ้าง
เพียงไม่นานก็ยกบะหมี่ออกมาสาม
ชาม
หลังจากคลุกเส้นบะหมี่เอาออกจากกระทะมาแล้วก็โรยกระเทียม
บดลงไปเล็กน้อยตามด้วยพริกแห้งอีกนิดหน่อย แล้วราดด้วยน้ํามัน
ร้อนๆ รสชาติเลิศล้ํา
ซือถูเมิ่งจิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม พูดชมไม่ขาดปาก
เฉิงมีไม่มีบ้านให้กลับมานานแล้ว เมืองหลวงของมาตุภูมิรุ่งเรือง
อย่างถึงที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมาก็ไม่เคยมีคําสั่งห้ามเข้าออก ยามวิกาล แสงไฟโชติช่วงเรืองรอง กลางคืนไม่ต่างจากกลางวัน เคย ถูกบนภูเขาขนานนามว่านครไร้แสงจันทร์
จางหลิวจี้เค่อชิงอันดับหนึ่งที่มีฉายาว่าสุ่ยเซียนซึ่งก่อนหน้านี้
เป็นเพียงคนเดียวที่พอจะพูดคุยกันได้ ได้หายตัวไปแล้ว
เฉิงมีถาม “เจ้าขุนเขา ล้วนเป็นความต้องการของทางต้าหลง
ชิวหรือ?”
เดียว”
ซือถูเมิงจิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นแค่ความต้องการของข้าคน
เฉิง อึ้งตะลึง
ซือถูเมิ่งจิงหัวเราะ “ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานไงล่ะ รอให้ทาง ฝั่งของต้าหลงชิวรู้ข่าว แล้วจะทําอย่างไรได้ เปลี่ยนคนมาเป็นเจ้า
ขุนเขาที่นี่? เปิดการเสกครั้ง ปล่อยตัว
วานรเด็ดจันทร์และตะพาบเฒ่าออกมา เชิญหลิวเหอต้าเซิ่งกับ หวงสุ่ยต้าหวังกลับมาใหม่อีกครั้ง? เฉิงมี่ หากเจ้าเป็นเจ้าสํานัก ของต้าหลงชิวจะทําเรื่องวุ่นวาย พวกนี้หรือ มีความหมายหรือ?”
เฉิงมี่ยกนิ้วโป้งให้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ค่อนข้างจะเสีย มารยาทจึงรีบเอามือลง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “สาแก่ใจดีแท้”
ซือถูเมิ่งจิงเอ่ยสัพยอก “อย่าเอานิ้วโป้งกลับไปสิ เงินมากไม่ทับ มือ มากมารยาทไม่ใช่คนแปลก”
เฉิง กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอีก เช็ดปากแล้วยิ้มเอ่ย “ขอพูดจา อย่างไม่เหมาะสมสักคํา หลงหรานเซียนจวินในเวลานี้กับเจ้าขุนเขา
เซียนจวินที่อยู่ในห้องประชุมของศาลบรรพจารย์ราวกับเป็นคนละคน
กันเลย”
ตระกูลซือถูคือตระกูลชั้นสูงอันดับต้นของทวีปแดนเทพแผ่นดิน
กลาง มีรากฐานลึกล้ําทั้งบนและล่างภูเขา นอกจากศาลบรรพชน
หลักที่ตั้งอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วศาลแยกศาลสาขาก็มี
อยู่ทั่วทั้งเกราะทองทวีปและหลิวเสียทวีป คือตระกูลที่มีรากฐานแน่น
หนาถึงขั้นที่ว่าลําพังแค่หนังสือทําเนียบลําดับวงศ์สกุลก็ต้องใช้ชั้น
วางไว้เต็มทั้งห้องแล้ว
นอกจากเซียนจวินจากต้าหลงชิวอย่างซื้อถูเมิ่งจิงแล้ว ในตระกูล ก็ยังมีเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบอีกสองคน คนหนึ่งคือผู้ถวายงาน
อันดับหนึ่งของสํานักบางแห่งในธวัลทวีปและยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็น
เขียนอิสระ แน่นอนว่าพื้นเพบรรพบุรุษอยู่ที่แผ่นดินกลาง ทว่า ภูมิลําเนากลับอยู่ที่หลิวเสียทวีป ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ตระกูลหนึ่งได้ ครอบครองเซียนเหรินหนึ่งท่านและเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบสอง ท่านซึ่งทุกคนยังมีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกันก็แทบไม่ต่างจากสํานักบน
ภูเขาที่แตกกิ่งก้านพุ่มใบหนาแล้ว
และเซียนอิสระท่านนั้นก็คือเซียนกระบี่แห่งหลิวเสียทวีป ซือ
ถูจ๋อวี้ คนผู้นี้นิสัยสันโดษแปลกแยก ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ความสัมพันธ์กับทางตระกูลห่างเหินอย่างมาก อยู่ที่บ้านเกิด ต่อให้ เป็นสหายบนภูเขาก็ยังมีไม่กี่คน ภายหลังไปอยู่ที่กําแพงเมืองปราณ กระบี่ ชื่อเสียงไม่โด่งดัง เพราะถึงอย่างไรในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี
มากมายดุจก้อนเมฆแห่งนั้น ธรณีประตูของเซียนกระบี่ก็ค่อนข้างสูง
ซือถูจ๋อวี่มีชีวิตกลับมายังใต้หล้าไพศาลก็ยังคงทําตัวเป็นนกกระเรียน
ที่โบยบินเดียวดายบนฟ้ากว้าง ไม่เคยเข้าร่วมงานพิธีของทางตระกูล อย่างเช่นพวกงานเซ่นไหว้บรรพบุรุษใดๆ แล้วก็ยังคงไม่ยินดีจะก่อตั้ง
ส่วนตระกูลชื่อกูก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก
ส่วนตระกูลซือถูก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก นั่น คือสตรีของทางตระกูลล้วนมีรูปโฉมงามพิลาสมากเป็นพิเศษ ดังนั้น
ผู้คนจึงให้การยอมรับว่าตระกูลซือถูคือ “รังสาวงาม ซือถูเมิ่งจิงกินบะหมี่หมดแล้วก็วางตะเกียบลง พรูลมหายใจยาว เหยียด นวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกปวดหัว
ก่อนหน้านี้ซือถูจ๋อวี้ได้รับจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่งที่ตนส่งไป ให้ ซือถูเมิ่งจิงเลือกเอาเรื่องบางอย่างที่ไม่เกี่ยวพันกับความลับของ
สํานักมาเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
เดิมทีซือถูเมิ่งจิงก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ กับเซียนกระบี่แห่ง หลิวเสียทวีปท่านนี้คราวก่อนที่พบหน้ากันก็คือเมื่อครั้งที่ซือถูจ๋อวี้ก
ลับมายังไพศาลแล้วเดินทางไปท่องเที่ยวแผ่นดินกลาง ระหว่างทางได้
ผ่านต้าหลง ว
ส่วนครั้งก่อนหน้านั้นไปอีก ซือถูเมิ่งจิงก็จําไม่ได้แล้วว่าเป็นเรื่อง ที่เกิดขึ้นเมื่อกี่ร้อยปีก่อนแล้วกันแน่ สําหรับผู้ฝึกตนตระกูลเดียวกันที มีนิสัยพยศยากกําราบผู้นี้ เขาเองก็ไม่มีความทรงจําที่ลึกซึ้งอะไร
กัน
คาดว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเหมือนกัน ต่างคนต่างไม่ชอบขี้หน้า
ซือถูจีอวี่ส่งจดหมายตอบกลับมาที่ต้าหลงซิวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ซือถูเมิ่งจิงเปิดอ่านแล้วก็สัมผัสได้ถึงฟองน้ําลายที่กระเด็น
มาโดนหน้าได้ทันที
อีกฝ่ายด่ากราดมาในจดหมาย มองเจ้าซือกูเมิ่ง
ไม่ผิดไปจริงๆ
ด้วย ปีนั้นครั้งแรกที่พวกเราสองคนเจอหน้ากันก็รู้สึกแล้วว่าเจ้าคือ
คนเสแสร้งสับปลับปล้นปล้อน….
ซือถูเมิ่งจิงไม่รู้ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เป็นเหตุให้จนถึง
จดหมายที่สายทางบ้าน” ฉบับนั้นของตนเกิด
ปัญหาที่ตรงใดกันแน่
จดหมายที่ส่งไปก่อนหน้านี้ ความหมายคร่าวๆ ก็พูดแค่ว่าอิ่น กวานหนุ่มผู้นั้นรับปาก แล้วว่าหากในอนาคตมาเที่ยวเยือนหลิวเสีย ทวีปจะไปดื่มเหล้ากับซือถูจ๋อวี้ก็เท่านั้นเอง
มารดามันเถอะ ถ้อยคําที่เจ้าตะพาบซือถูจือวี่ผู้นี้ใช้ในจดหมาย ไม่ใช่แค่ทนมองไม่ได้ธรรมดาๆ เลยจริงๆ ทุกคนต่างก็มีบรรพบุรุษคน เดียวกัน นี่เจ้าด่าใครกันแน่
ช่างมันเถอะ คิดเสียว่าถูกหมากัดก็แล้วกัน
ซือถูเมิ่งจิงพลันถามว่า “ลิ่งหูเจียวอวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทําไมข้าถึง ต้องปิดภูเขาของเสี่ยวหลงชิวหกสิบปี?”
เด็กสาวส่ายหน้า ไม่ได้แกล้งโง่ แต่นางไม่รู้จริงๆ
ซือถูเมิ่งจิงกล่าว “ความคิดที่ต้าหลงชิวหวังว่าเสี่ยวหลงซิวจะ กลายเป็นสํานักได้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ซือถูเมิ่งจิงเองก็ไม่คิดจะวกวนอ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมา ว่า “ข้ามารับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาอยู่ที่นี่หกสิบปี จะถ่ายทอดวิชาลับ
ของต้าหลงชิวให้เจ้าด้วยตัวเอง เจ้าและข้ามีความสัมพันธ์คล้ายกับ เป็นอาจารย์และศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ หกสิบปีให้หลัง เจ้าเป็น
ล้วนจะต้องมารับ
ขอบเขตโอสถทองก็ดี ขอบเขตก่อกําเนิดก็ช่าง ตําแหน่งเจ้าขุนเขาต่อจากข้า ต่อให้ถึงเวลานั้นขอบเขตของคนร่วม สํานักจะสูงกว่าเจ้า ยกตัวอย่างเช่นหงเยี่ยนที่เพิ่งถูกถอนตําแหน่งผู้ คุมกฎไป และยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคู่นั้นหลินฮุ่ยจื่อ ข้าก็ไม่มีทาง
เปลี่ยนการตัดสินใจในวันนี้ของตัวเอง สถานการณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ จะเป็นข้อยกเว้นก็คือเว้นเสียแต่ว่าอยู่ดีๆ เสี่ยวหลงชิวก็มีผู้มี
พรสวรรค์หายากเหมือนอย่างชิวจื่อแห่งสํานักกุยหยกปรากฏตัว
ขึ้นมา สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ในเวลาหกสิบปี แต่เรื่อง
ทํานองนี้น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”
ลิ่งหูเจียว หน้าขาวซีดเล็กน้อย เอ่ยเสียงสั่น “อาจารย์ปู่ ทําไมถึง เป็นข้าล่ะ?”
เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะเป็นเจ้าขุนเขาได้เลย อย่าว่า แต่เทียบกับชิงซวงซางเหรินเจ้าขุนเขาคนก่อนและเฉวียนชิงชิวบรรพ
จารย์อาไม่ได้เลย ต่อให้นางเผชิญหน้ากับพี่สาวน้องสาวที่เป็นลูก
ศิษย์ผู้สืบทอดของหลินฮุ่ยจื่อคู่นั้นก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่
หลายส่วน ดังนั้นเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะจึงใจลอยอยู่ตลอด คิดว่าจะ หาเหตุผลอะไรมามอบสมบัติหนักสองชิ้นนั้นกลับคืนไปให้ศาลบรรพ
จารย์ดี
ซือถูเมิ่งจิงกลับยิ้มย้อนถาม “ทําไมถึงเป็นเจ้าไม่ได้ล่ะ?”
ลิ่งหูเจียวอวี่ตอบไม่ถูก
“เจ้าประมุขของหนึ่งตระกูล เจ้าขุนเขาของหนึ่งภูเขา เจ้าสํานัก ของหนึ่งสํานัก เจ้าเหนือหัวแห่งหนึ่งแคว้น เจ้าคิดว่าจุดร่วมที่
เหมือนกันของสถานะเหล่านี้คืออะไร?”
ไม่ได้ ซือถูเมิ่งจิงจึงถาม
เองตอบเองว่า “คือต้นกําเนิด “
รชนิดน้ํา”
“ดังนั้นจึงต้องการการปฏิรูปถึงรากเหง้า มีเพียงน้ําจากต้น กําเนิดใสสะอาดเท่านั้นต่อให้จะเป็นเพียงน้ําเส้นเล็กไหลเบา แต่ก็ยัง ดีกว่าต้นกําเนิดน้ําที่ขุ่นมัวแบ่งแยกออกไปเป็นสายน้ํามากมายที่
มองดูเหมือนยิ่งใหญ่”
“คํากล่าวนี้ข้าไม่ได้เป็นคนคิดขึ้นมาเอง แต่มาจากอิ่นกวาน หนุ่มผู้นั้น อีกฝ่ายพูดกับข้าแบบนี้ เป็นทั้งการคุยเล่นที่ปรองดอง แล้ว
ก็เป็นทั้งการบอกอย่างชัดแจ้งทีไม่ถือว่าแอบบอกอย่างเป็นนัยแล้ว”
ซือถูเมิ่งจิงยิ้มกล่าว “ดังนั้นข้าจึงเสนอกับทางฝ่ายของต้าหลงชิว
แล้วว่าให้เจ้ามารับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาเสี่ยวหลงชิวต่อจากข้า ถึงได้
ผ่านมติการประชุมศาลบรรพจารย์ได้อย่างรวดเร็ว
ที่แน่ชัด
กลายเป็นข้อสรุป หาไม่แล้วลําพังแค่ขอบเขตและความอาวุโสของข้า แม้จะทํา
ได้ก็จริง แต่กลับต้องงัดข้อกับคนอีกไม่น้อย ต้องโต้คารมปะทะฝีปาก กันพักใหญ่ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ภูเขาลั่วคั่วแห่งแจกันสมบัติทวีป สํานักกระบี่ชิงผิงของใบถงทวีปแห่งนี้ รวมไปถึงภูเขาไท่ผิงของ
หวงถิง อยู่ดีๆ เจ้าก็มีสหายที่เป็นสํานักมาเพิ่มถึงสามแห่ง ฟังให้ดี เป็นเจ้า ไม่ใช่เสี่ยวหลงซิว หากวันใดเจ้าได้เป็นเจ้าขุนเขา เสี่ยวหลง ชิวก็จะได้พึ่งใบบุญไปด้วย”
แจ้ง
นะ
เฉิงมี่พยักหน้ารับ เป็นเหตุผลเช่นนี้จริงๆ
ตอนแรกเด็กสาวยังสับสน แต่ต่อมาก็ตกตะลึง สุดท้ายถึงกระจ่าง
ว้าว ที่แท้ข้าก็ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ ขนาดข้ายังไม่รู้ตัวเลย
ใสซื่อน่าเอ็นดู
ลงก็หัวเราะเช่นกัน
ก็เหมือนตอนที่ตนคุยเล่นอยู่กับอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น สุดท้ายก็ได้ ข้อสรุปว่า หากอยากเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี ก็ต้องให้
ความสําคัญกับการปฏิรูปถึงรากเหง้า
พรรคหูซานแคว้นซงไล่ วิหารที่ประณีตแปลกใหม่ซึ่งตั้งอยู่ริม ทะเลสาบแห่งหนึ่งแขวนกรอบป้ายเป็นคําว่าเรือนเทียน ร่าง
มีสตรีคนหนึ่งกําลังถือพู่กันคัดลอกตําราเต๋ วางโต๊ะไว้ติด
หน้าต่าง นอกหน้าต่างมีต้นเหมยเก่าแก่อยู่หลายต้น ดอกไม้ที่ปักอยู่
ในแจกันหล่นร่วงลงบนจานฝนหมึก
สถานที่โอฬารอันเงียบสงบ ห้องแห่งการบ
มรรคาจิตใจใส
กระจ่าง
หายใจเอาแสงจากทะเลสาบดื่มน้ําใสจากภูเขา ม้วนเก็บความ รุ่งเรืองของฟ้ากลืนกินคลองหิน ประโยคแรกมาจากพรรคหูซาน ประโยคหลังกลับคล้ายคําทํานายมากกว่า
จิตแห่งมรรคาของสตรีขยับไหวเล็กน้อย นางขมวดคิ้วเบาๆ เงย หน้าขึ้นมองไปนอกประตู จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน ลมหายใจทอดยาว ฝีเท้าแผ่วเบา ระหว่างที่ก้าวเดินท่วงทํานองสอดคล้องกับฟ้าดิน
หากจะต้องหาคําจํากัดความมาบรรยายสภาพการณ์ที่ลี้ลับ มหัศจรรย์ประเภทนี้ให้ได้ก็คือคําที่มีความหมายตามตัวอักษร “เดิน บนทางแทนฟ้า” (ภาษาจีนคือ #X17 เป็นการแปลตามตัวอักษร แต่ประโยคนี้หากแปลอีกความหมายจะหมายถึงการผดุงความเป็น
ธรรมแทนสวรรค์) เดินจากก้าวเดิน ทางจากเส้นทาง
ในใต้หล้าไพศาล เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งไม่มีทางมีภาพ
บรรยากาศลี้ลับที่ฟ้าและดินร่วมกันขานรับเช่นนี้ได้
แต่หากว่านางออกไปจากพื้นที่มงคล ไปเยือนใต้หล้าไพศาลก็จะ
สูญเสียสัจธรรมแห่งมหามรรคาที่มีความพิเศษนี้ไปอย่างเป็น
ธรรมชาติ
นางสวมชุดคลุมเต่าสีดอกซิ่ง บุคลิกเยือกเย็น คือโฉมงามคน หนึ่ง มองไปยังบุรุษชุดเขียวที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบ
คนผู้นี้รูปโฉมแตกต่างไปจากในอดีตที่ถูกวาดไว้บนภาพแขวน ซึ่งถูกเก็บรักษามานานหลายปีของพรรคหูซานไม่น้อย แต่นางก็ยัง
จ่าเขาได้ในปราดเดียว
นางก้มศีรษะคารวะตามขนบของลัทธิเต๋า “เกาจวินตัวแทนเจ้า
ประมุขพรรคหูซานคารวะเฉินเจ๋อเซียน”
เฉินผิงอันรู้อยู่แล้วเค.เซ
ก้นหลอกตน
เฉินผิงอันถาม “เจ้าประมุขเการู้จักข้าด้วยหรือ?”
* เย่อหยิ่งและไม่ต่ําต้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เคย
โชคดีติดตามบรรพจารย์อวีไปเยือนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
เพียงแต่ตอนนั้นฝีมือของข้ายังไม่เข้าขั้น ตบะตื้นเขิน โชคดีได้เห็น มาดอันเลิศล้ําของเซียนกระบี่เฉิน เสียดายก็แต่ได้แค่มองไกลๆ
เท่านั้น วันนี้จึงพอจะจําได้ว่าเป็นเซียนกระบี่เฉิน”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “เจ้ารู้ความเป็นมาของใต้หล้าแห่งนี้ และความเกี่ยวข้องที่มีต่อโลกภายนอกหรือไม่?”
เกาจวินพยักหน้ากล่าว “ก่อนหน้าที่บรรพจารย์อวี่จะ “จ๋าแลงขน นกบินทะยาน” เคยสอนวิธีการและแนวทางที่จะแก้สถานการณ์กับข้า ต่อหน้า บรรพจารย์อวี่พูดคร่าวๆ เกี่ยวกับการคาดเดาและความเห็น ที่เขาสรุปรวบรวมมาได้ ยกตัวอย่างเช่นว่าโลกภายนอกมีชื่อว่าใต้ หล้าไพศาล มีภูเขาสายน้ําเก้าทวีป อาณาเขตกว้างใหญ่ มีถ้ําสวรรค์ ใหญ่สิบแห่งและถ้ําสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง พื้นที่มงคลดอกบัวของ พวกเราแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใบลงทวีปซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าทวีป เจ๋อเซียนมา ทีนี่เพื่อฝึกประสบการณ์ ขัดเกลาจิตแห่งมรรคา มาเที่ยวเล่นตาม
ขุนเขาสายน้ํา ท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ละคนมีจุดหมายต่างกัน ส่วนสถานะ ภูมิลําเนาและภูมิหลังของเซียนกระบี่เฉินกลับไม่เคยรู้
เลย
“ข้าเคยลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์สามปี รู้ว่าฟ้าอํานวยมี
การเปลี่ยนแปลง ทําให้ดินอวยพรและคนสามัคคีเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างมหาศาลตามไปด้วย ใต้หล้าจึงเกิดเรื่องประหลาดที่ไม่เคยพบไม่ เคยเจอมาก่อนหลายอย่าง”
“แต่หลายปีมานี้ข้ากลับไม่เคยเจอเจ๋อเซียนที่มาจากต่างถิ่น
แม้แต่คนเดียว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เข้าใจความลี้ลับได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สังเกตและศึกษาเจตนารมณ์สวรรค์ด้วยตนเอง”
เกาจวินลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เซียนกระบี่เฉิน ขอ ละลาบละล้วงถามสักคําได้หรือไม่ หากข้าประลองมรรคกถากับท่าน โดยมุ่งเป้าตัดสินเป็นตาย จะมีโอกาสชนะสักกี่ส่วน”
ปีนั้นบรรพจารย์อวี่ลงจากภูเขาไป “ลุยน้ําขุ่น” บ่อนั้นที่เมือง หลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็เพิ่งจะสร้างโอสถทองได้ไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันได้แต่ให้คําตอบที่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองไปว่า
“ตอนนี้เจ้าประมุขเกาได้ครอบครองฟ้าอํานวยดินอวยพร โอกาสชนะ
หนึ่งส่วนย่อมต้องมีอยู่แล้ว”