กระบี่จงมา - บทที่ 990.1 เมามายจนไม่รู้ว่าบนโลกมนุษย์คือวันที่เท่าไร
ทางฝั่งของโรงเรียนในอาเภอไหวหวง เลิกเรียนแล้ว สีท้องฟ้ ายัง วันอยู่มาก เด็กน้อยที่ฐานะทางบ้านดีหน่อยต่างก็พากันไปปล่อยว่าว
ดื่มน้าชา พูดคุยเรื่องประสบการณ์ที่พบเจอกันมาไปแล้ว เฉินผิง อันก็พาเส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินออกมาจากในเรือน ไป เดินเที่ยวบนภูเขาลั่วพั่ว
กลุ่มคนเดินอยู่บนภูเขาเขียว สีขาวคือเมฆ สีมรกตคือต้นไม้ ไม่ รู ้ว่าเป็ นวันที่เท่าไรบนโลกมนุษย์
คิดไม่ถึงว่าเส้าอวิ๋นเหยียนจะหาข้ออ้างปลีกตัวไปเดินเล่นเพียง ล าพังอย่างไร ้คุณธรรมปล่อยให้ถัวเหยียนฮูหยินที่ต้องอยู่กับอิ่นก วานหนุ่มเพียงล าพังตึงเครียดสุดขีด
เฉินผิงอันเดินไปบนยอดเขาพร ้อมกับนาง ในมือมีเชือกหลากสี ที่ร ้อยเงินเหรียญทองแดงเอาไว้พวงหนึ่งปรากฏเพิ่มมา ยิ้มถามว่า “รู ้จักไหม?”
ถัวเหยียนฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เชือกหลากสีเส้นนี้ มาจากการหลอมรวมแก่นจิตวิญญาณหนึ่ง กลุ่มจากเทพีบุปผาหลายคนของพื้นที่มงคลร ้อยบุปผา
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางโดยตรง แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกันอยู่ ปีนั้น การที่ถัวเหยียนฮูหยินสามารถหนีไปที่ภูเขาห้อยหัว เทพีบุปผาหลาย ท่านของพื้นที่มงคลร ้อยบุปผาได้คอยช่วยออกแรงอย่างลับๆ กันไม่ น้อย
ดังนั้นในการประชุมศาลบุ๋นครั้งก่อน ถัวเหยียนฮูหยินจึงมีความ ใกล้ชิดสนิทสนทกับพื้นที่มงคลร ้อยบุปผามาก
เฉินผิงอันเก็บเชือกมา เอ่ยว่า “ครั้งที่เจ้าเดินทางไปเที่ยวเยือน แผ่นดินกลางพร ้อมกับเซียนกระบี่เส้า สามารถช่วยน าความจากข้า ไปบอกกับพื้นที่มงคลร ้อยบุปผาได้ บอกว่าครั้งหน้าที่ข้าไปเยี่ยม เยือนจะนาของชิ้นนี้ไปด้วย ส่วนเรื่องของการมอบของกลับคืน จ าเป็ นต้องพบหน้ากัน”
สีหน้าของถัวเหยียนฮูหยินเผยแววประหลาดใจ อิ่นกวานหนุ่มจะ มอบน้าใจให้ตนเปล่าๆ ครั้งหนึ่งหรือ?
เหมือนอย่างราชวงศ์ล่างภูเขา พวกที่นาข่าวรายชื่อบนกระดาน ทองค าในการสอบเคอจวี่ของเมืองหลวงไปป่ าวประกาศ? พวกเขา ล้วนได้รับค่าตอบแทนกันทั้งนั้นนะ!
อีกทั้งของชิ้นนี้ ความน่าตกตะลึงระคนยินดีนี้ก็ใหญ่เกินกว่าที่ การสอบจิ้นซื่อของบัณฑิตคนหนึ่งจะเทียบได้ติด เทพีบุปผามากมาย ของพื้นที่มงคลร ้อยบุปผา ทุกคนล้วนมีส่วน นี่จึงเป็ นเหตุให้ถัวเหยียน ฮูหยินจินตนาการได้เลยว่า ในอนาคตเมื่อตนกับเส้าอวิ๋นเหยียนไปถึง
พื้นที่มงคลร ้อยบุปผาจะได้เป็ นแขกผู้มีเกียรติที่สูงศักดิ์ถึงเพียงใด ไม่ ว่าหลังจากนั้นการเจรจาระหว่างเฉินผิงอันกับเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่ มงคลจะเป็ นเช่นไร ส าหรับถัวเหยียนฮูหยินแล้วอาจจะสามารถคว้า ตาแหน่งเค่อชิงจากพื้นที่มงคลร ้อยบุปผามาก็ได้ ในฐานะภูตแห่งพืช หญ้าห้าขอบเขตบนที่ฝึกตนจากต้นเหมยกลายเป็ นภูตได้สาเร็จ จะ ไม่มีความคิดใดๆ ต่อพื้นที่มงคลร ้อยบุปผาเลยได้อย่างไร? นี่ก็เหมือน ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในท้องถิ่นของไพศาลที่มองภูเขาต้นไม้เหล็กเป็ น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกตนอิสระเลื่อมใสศรัทธาในนครจักรพรรดิขาว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่ก็ถือว่าเป็ นค่าตอบแทนที่เจ้าต้องสูญเสีย ตบะไปร ้อยกว่าปีที่อารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังแล้วกันนะ?”
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มหวาน “ไม่มีปัญหา!”
ภูตต้นไม้ดอกไม้ในใต้หล้า อันที่จริงศาลบรรพจารย์ก็มีอยู่เพียง แห่งเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินขึ้นไปบนยอดเขา “เหมยจิ้ง เจ้าชื่อนี้ ใช่ไหม?”
ถัวเหยียนฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รอยยิ้มฝืดเผื่อน
เหมยจิ้งคือชื่อจริงเผ่าปีศาจของถัวเหยียนฮูหยินในเอกสารลับ ของคฤหาสน์หลบร้อน
คิดจะสร ้างสวนดอกเหมยแห่งหนึ่งขึ้นมาภายใต้เปลือกตาของ ลูกศิษย์ใหญ่เต้าเหล่าเอ้อที่ภูเขาห้อยหัว นางจะไม่บอกชื่อจริงของ ตัวเองได้อย่างไร
เฉินผิงอันกล่าว “ได้กลับคืนสู่ใต้หล้าไพศาล สวมชุดผ้าแพร กลับคืนบ้านเกิด ได้เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ รู ้สึกเช่นไร?”
อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ถัวเหยียนฮูหยินได้แต่หาหุ่นเชิดมาชักใย รับ หน้าที่เป็ นเจ้าของสวนดอกเหมยที่อยู่เบื้องหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะ ออกมาจากสวนด้วยซ้า
ทุกวันนี้กลับได้เป็ นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสานัก กระบี่หลงเซี่ยง เป็ นที่ยอมรับว่าเป็ นสหายรักของลู่จือ เค่อชิงที่ได้รับ การบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้เดินทางอยู่เคียงข้างเส้าอวิ๋นเห ยียน ในเก้าทวีปของไพศาล มีที่ใดบ้างที่นางจะไม่กล้าไป
เส้นเอ็นหัวใจของถัวเหยียนฮูหยินพลันขมวดตึงขึ้นมาทันที คิด ทบทวนซ้าไปซ้ามา นับตั้งแต่ที่ยกสวนดอกเหมยทั้งแห่งให้กับกาแพง เมืองปราณกระบี่ ตัดขาดความสัมพันธ ์กับปีศาจใหญ่ขอบเขตบิน ทะยานที่ซ่อนตัวอย่างลึกล้า ใช ้นามแฝงว่า “เปียนจิ้ง” อย่างเด็ดขาด เลือกจะเป็ นฝ่ ายติดตามลู่จือ แล้วเดินทางหวนกลับมายังใต้หล้า ไพศาลพร้อมกับนาง รับหน้าที่เป็ นผู้ถวายงานอยู่ในสานักกระบี่หลง เซี่ยงที่ฉีถิงจี้ก่อตั้งขึ้นในทักษินาตยทวีป ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งได้ เป็ นเค่อชิงของสานักอวี่หลง…ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีการกระทาใด ที่ล้าเส้นเลยนี่นา อีกอย่างการคิดบัญชีย้อนหลังก็ไม่ใช่นิสัยการ
กระท าของอิ่นกวานหนุ่มอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เฉินผิงอันทาอะไร มักจะตรงไปตรงมาอย่างมาก
เฉินผิงอันกล่าว “ใจคน ปมในใจ ต้นไม้ที่ตะปุ่ มตะป่ า ใต้หล้า ไพศาลหรือควรจะพูดว่าผู้ฝึ กลมปราณของใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะผู้ฝึกตนบนท าเนียบ ส าหรับในใจเจ้าแล้วก็คือปมปมหนึ่ง”
ถัวเหยียนฮูหยินเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ข้าปล่อยวางได้แล้ว ใต้ เท้าอิ่นกวานไม่จาเป็ นต้องกังวลว่าข้าอยู่ที่นี่แล้วจะยังไม่ยอมเลิกรา กับทุกคน แล้วเป็ นการสร ้างปัญหาที่ไม่จาเป็ นให้กับสานักกระบี่หลง เซี่ยง”
กาลเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณที่สร ้างความ ล าบากใจให้นางในปีนั้นก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่คนแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้องปรับความเข้าใจกับโลกใบนี้หรอก ทุก ครั้งที่ปรับความเข้าใจกันก็คือการรังแกคนอื่นและยังรังแกตัวเอง คือ ความน้อยเนื้อต่าใจ ความน้อยเนื้อต่าใจจะเป็ นความน้อยเนื้อต่าใจไป ตลอดกาล ไม่มีทางลดลงแม้แต่น้อย”
“พูดถึงแค่ความเห็นของตัวข้าเอง ต้องท าการถอดส่วนวิเคราะห์ โลกใบนี้อย่างระมัดระวัง มิดชิดเงียบเชียบ อันดับแรกต้องรู ้ก่อนว่า โลกใบนี้มันคืออะไรกันแน่ เข้าใจว่าท าไมคนหลายคนถึงได้พูดจา แบบนั้น ทาเรื่องแบบนั้น อันที่จริงข้อนี้ ถัวเหยียนฮูหยินทาได้ดีกว่า เมื่อก่อนมากแล้ว ยามตกทุกข์ยากจนอาศัยความใจแข็งอาศัยความ
อดทน ส่วนรอกระทั่งคนล่างล่างพลิกกลับกลายมาเป็ นคนบนบนแล้ว จะเอาคืนโลกใบนี้หนักหน่วงรุนแรงหรือไม่ สรุปแล้วเอาแต่คิดว่าจะแก้ แค้นความชั่วร ้ายที่เคยได้รับ หรือจะตอบแทนความหวังดีบางอย่างที่ เคยพบเจอมา หรือทาทั้งสองอย่าง แต่ละคนต่างก็มีปณิธานต่างกัน สามารถเข้าใจได้”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “สนิทกับข้าหรือไม่ จะ เป็ นสหายกับข้าได้หรือไม่ อันที่จริงเจ้าไม่ต้องใช ้การโยนเปลือกส้ม ไม่กี่ชิ้นมาหยั่งเชิง หากไม่เป็ นเพราะหน่วนซู่ต้องท าความสะอาดห้อง อีกทั้งหน่วนซู่ไม่มีทางยอมให้ข้าท าแทนแน่ ข้าก็คร ้านจะสนใจเจ้า ด้วยซ้า”
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มอย่างเขินอาย “ใต้เท้าอิ่นกวาน เป็ นข้าที่วาด งูเติมขาเอง”
เฉินผิงอันกล่าว “ฉีถิงจี้มีความทะเยอทะยานเป็ นของตัวเอง อีก ทั้งยังเป็ นความทะเยอทะยานที่มากด้วย และเขายังเป็ นคนที่แสวงหา การคิดอย่างรอบคอบ การกระท าอย่างระมัดระวังอย่างสุดขั้ว เปลี่ยน ประโยคพูดก็คือเป็ นคนที่มีโรคย้าคิดย้าทา โรคหวาดกลัวต่อเชื้อโรค และความสกปรก เพียงแต่ว่าเขาปิ ดบังได้ดีมากมาโดยตลอด เมื่อก่อนอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ต้องดูแลตระกูล เพราะ สภาพแวดล้อมบีบบังคับ เขาจึงมิอาจเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาได้ ทุก วันนี้กลายมาเป็ นสานัก เป็ นสานักใหญ่เพียงแห่งเดียวในทักษินาตย ทวีป ดังนั้นเอกลักษณ์พิเศษนี้จะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจะยิ่ง
ปรากฏให้เห็น อีกทั้งยังอาจตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าจะตาหนินินทาผู้อื่น ลับหลัง แต่ข้าไม่ต้องการให้ในอนาคตฉีถิงจี้แตกหักกับลู่จือเพราะ เจ้า หรือเพราะเรื่องบางเรื่อง กลายเป็ นว่าสถานการณ์ดีๆ ของส านัก กระบี่หลงเซี่ยงไหลหายไปกับสายน้า ไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร พูด ถึงแค่ข้า ในบางความหมายแล้วได้มองสานักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษิ นาตยทวีปและสานักกระบี่ชิงผิงแห่งใบถ ทวีปเป็ นผู้สืบทอดควันธูป ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว”
“ลู่จือมีการแสวงหาบนวิถีกระบี่เป็ นของตัวเอง แบ่งสมาธิไปถาม กระบี่กับผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่นางปรารถนา นางไม่ชอบคิดอะไรมากนัก ลง มือหนักเกินไป ง่ายที่จะไม่เหลือที่ว่าง แต่ไหนแต่ไรมาใต้หล้าไพศาล ก็ไม่เคยทาให้ลู่จือน้อยเนื้อต่าใจได้อยู่แล้ว แต่ลู่จือมีเจ้าเป็ นสหายแค่ คนเดียว หากนางออกกระบี่เพื่อเจ้า มีแต่จะยิ่งออกอย่างหนักหน่วง เต็มแรง ลู่จือไม่ค่อยสนใจกฎของศาลบุ๋นเท่าไรนัก แต่ในอีกร ้อยปีให้ หลัง การพันธนาการที่ศาลบุ๋นมีต่อผู้ฝึกตนใหญ่มีแต่จะเข้มงวดมาก ขึ้น นี่ไม่ใช่การปล่อยข่าวลือเขย่าขวัญ ก็เหมือนตัวช ้าเองที่เนื่องจาก การวางแผนในเรื่องบางเรื่อง ก่อนหน้านี้ก็ทาใจสาหรับการที่สอง ส านักบนและล่างจะถูกศาลบุ๋นปิดภูเขานานร ้อยปี จากนั้นตัวข้าเองก็ ยังจะถูกหลี่เซิ่งโยนให้ไปอยู่เป็ นเพื่อนกับหลิวชาหกสิบปีหรือร ้อยปี ทุกวันได้แต่ฝึกกระบี่ตกปลาไว้ก่อนแล้ว”
“เส้าอวิ๋นเหยียนขอบเขตไม่มากพอ แม้จะเป็ นเซียนกระบี่ แต่ไม่ เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ากับผู้อื่น อีกทั้งปณิธานของเขาไม่ได้อยู่ที่การ เดินขึ้นสู่ยอดบนสุดของวิถีกระบี่ เมื่อก่อนใช่ภายหลังก็ยังใช่”
“หากจะให้ข้าพูด เซียนกระบี่เส้าของพวกเราคือคนที่ใช ้ชีวิตได้ ชัดเจนกระจ่างแจ้งมากเมาแล้วเติมสุราไม่สู้ไม่เติม ยามกระหายดื่ม น้าหวานเหมือนน้าค้าง อายุมากร่างกายแข็งแรงไร ้เรื่องกังวล อีกทั้ง ยังมีอายุขัยยาวนานดุจเซียน แค่หลักการสองข้อ หนึ่งคือจะอยู่ร่วม กับคนอื่นบนโลกอย่างไร อีกหนึ่งคือจะขึ้นเขาฝึกตนอย่างไร เขาล้วน คิดได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง ทาได้ดีอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นเส้าอวิ๋นเห ยียนก็ไม่เหมาะที่จะออกหน้าให้เจ้า”
ถัวเหยียนฮูหยินยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน สรุปแล้วเจ้าเฉินผิงอันอยากจะ พูดอะไรกันแน่?
เฉินผิงอันกล่าว “อ้อมไปอ้อมมา พูดกับเจ้าไปมากขนาดนี้ หาก จะพูดให้ง่ายหน่อยก็แค่ประโยคเดียวเท่านั้น สุดท้ายแล้วคนที่เจ้า พึ่งพาได้ก็คือตัวเจ้าเอง”
เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุผล จะหน้าตรงจะหน้าหลัง จะน้อย หรือใหญ่ ล้วนถูกเจ้าเฉินผิงอันพูดไปคนเดียวหมดแล้ว
ถัวเหยียนฮูหยินฟังมาถึงตรงนี้ก็รู ้สึกเยียบเย็นในหัวใจไปหมด เพิ่มความน้อยเนื้อต่าใจใหญ่เทียมฟ้ ามาอีกแล้วใช่ไหม? มีใครเขา อธิบายเหตุผลอย่างเจ้ากันบ้าง?
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเชื่อมั่นในตัวเหมยจิ้งในทุกวันนี้ ดังนั้นหากในอนาคตพบเจอเรื่องใด ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้า ส านักฉีถิงจี้อาจจะไม่เป็ นที่ชื่นชอบนัก ให้ลู่จือออกหน้าจัดการให้ รวดเร็วสะใจก็จริงอยู่หรอก แต่ถึงอย่างไรก็ง่ายที่จะลุกลามเกินจะเก็บ กวาด ต่อให้ฉีถิงจี้จะยินดีช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะให้เจ้า ไม่ไปพูด อะไรกับลู่จือ แต่เจ้าก็ต้องถูกเล่นงานลับหลังแน่นอน ดังนั้นเจ้าต้อง พึ่งตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาที่ภูเขาลั่วพั่ว บอก กล่าวกับข้าสักค า รับรองว่าเรียกเมื่อไหร่ไปถึงเมื่อนั้น”
การรับปากด้วยปากเปล่าๆ แบบนี้ เฉินผิงอันมีให้แค่คนสองคน เท่านั้น สหายรักหลิวจิ่งหลง โจวโหยวเสินจวินแห่งภูเขาสุ้ยซาน ฝ่าย หลังยังเป็ นเพราะอาจารย์ของตนด้วย คราวก่อนที่เฉินผิงอันไปเยือน สุ่ยซานได้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ รับปากด้วยคาว่า “เชิญสั่งการมาได้เลย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้ตอนนั้นข้าไม่อยู่ในภูเขา หรือถึงขั้น ไม่อยู่ใต้หล้าไพศาลเป็ นเหตุให้ไม่อาจมาถึงได้ในทันที ข้าก็จะบอก กับจูเหลี่ยนและชุยตงซานเอาไว้ก่อน ให้เห็นค าขอร ้องของเจ้าเป็ น เรื่องที่สองสานักบนล่างต้องจัดการก่อน วางใจเถอะ ข้าจะต้องทาให้ คนหรือสานักที่มาหาเรื่องเจ้ารู ้ว่าอะไรที่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวแน่นอน”
ถัวเหยียนฮูหยินเหม่อลอย พอคืนสติกลับมานางก็เงียบงันไป นางเพียงแค่ยอบกายคารวะอิ่นกวานหนุ่มด้วยท่วงท่าสง่างาม
คนชุดเขียวยืนพิงราวรั้ว
ถัวเหยียนฮูหยินฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว นางไม่จาเป็ นต้องประทิน โฉม ก็มีความงดงามมีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ดุจความงามของดอก เหมย
ดูเหมือนว่าเมื่อไม่มีเรื่องเป็ นการเป็ นงาน ทั้งสองฝ่ ายก็ไม่มีอะไร ให้คุยกันได้อีก ทั้งคู่จึงพากันเงียบเสียงไป
นางพลันหันหน้ากลับมา ถามว่า “เฉินผิงอัน วันนี้พูดคุยความ ในใจกับข้า แรกเริ่มก็หยิบเชือกสีออกมา จากนั้นบอกชื่อจริงของข้า แล้วก็พูดเรื่องนิสัยใจคอของเจ้าสานักฉีอาจารย์ลู่และเส้าอวิ๋นเหยียน สุดท้ายพูดถึงเจตนาเดิมกับข้าอย่างชัดเจน นี่ก็ถือว่าเป็ นการถอด ส่วนวิเคราะห์กับข้าอย่างหนึ่งหรือไม่?”
“อย่าเอาเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่ง คาพูดดีๆ คาหนึ่งมาพูดให้ประหลาด แบบนี้สิ”
“ใช่แล้ว เฉินผิงอัน แผนการที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้คือแผนการ อะไรกันแน่ ผลลัพธ์ร ้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“หลอกหย่างจื่อที่ถูกศาลบุ๋นละเว้นโทษแล้วออกมาแล้วฟันให้ ตาย จากนั้นรอให้ถูกหลี่เซิ่งจับตัวไปขังไว้ที่สวนกงเต๋อ”
“…”
……
ภูเขาหย่วนมู่เป็ นเพื่อนบ้านกับภูเขาหวงหู เมฆคล้อยมาถึงภูเขา แห่งนี้ก็เหมือนคนที่ค่อยๆ เดินขึ้นเขาแล้วพลันทิ้งตัวดิ่งลงไปเบื้องล่าง พริบตาเดียวก็เหมือนทะเลเมฆที่ไหลหลั่งลงมาดุจน้าตก
เป็ นเรื่องหายากที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก เฉินผิงอันมาตรวจสอบ การด าเนินงานการก่อสร ้างของยอดเขาหย่วนมู่แห่งนี้ด้วยตัวเอง พูดคุยเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ กับจูเหลี่ยน
เพราะมักจะออกเดินทางไกลเป็ นประจ า เป็ นเหตุให้แม้แต่ภูเขา บรรพบุรุษของภูเขาลั่วพั่วเองก็แทบจะเป็ นจูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่คนนี้ที่ รับผิดชอบเรื่องงานการก่อสร ้างทั้งหมด
เฉินผิงอันซื้อแผ่นหินเขียวก้อนใหญ่มามากมาย คิดว่าจะปูเป็ น พื้นหินเขียวให้ทั่วเส้นทางภูเขาของยอดเขาหย่วนมู่ สองข้างมีรั้วไม้ ไผ่ ในภูเขามีไผ่เขียวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง สามารถเก็บมาท าเป็ นวัตถุดิบ ต่างๆ ได้
เช ้าตรู่ของทุกวันยังจะต้องออกลาดตระเวนภูเขาพร ้อมกับหมี่ลี่ น้อยรอบหนึ่ง จากนั้นจึงไปที่ห้องบัญชีจวนเฉวียนฝู่ ตรวจสอบบัญชี ไปพร ้อมกับเหวยเหวินหลงและจางเจียเจิน
กลับมาที่เรือนไม้ไผ่แล้ว เฉินผิงอันก็จะตอบกลับเทียบเชิญ บางส่วนด้วยมือตัวเอง
นอกจากเฉินผิงอันจะสอนหมัดให้จ้าวขู่เซี่ยแล้วก็คือฝึกหายใจ และหลอมกระบี่
กวอจู๋จิ่วไม่ชอบไปที่หอบูชากระบี่ กลับชอบไปเดินเล่นแถวภูเขา เขียนจ่าวบ่อยๆ ข้างกายยังมีเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวติดตามไป ด้วย คอยยุยงให้กวอจู๋จิ่วมาก่อตั้งพรรคร่วมกับนาง
ทุกวันเฉินหลิงจวินจะ ปิดด่าน” สองชั่วโมงแล้วจะออกจากเรือน ตรงเวลา หากไม่ไปพูดคุยกับนักพรตเซียนเว่ยที่หน้าประตูภูเขา ก็จะ ไปตรอกฉีหลงคล้ายต้องการตรวจตรา พี่ใหญ่เจี่ยเป็ นผู้ดูแลรองของ เรือข้ามฟากเฟิงยวน ไม่อยู่บ้านแล้ว จึงได้แต่ไปโต้คารมกับเด็กชาย ผมขาวที่ได้เลื่อนขั้นขุนนางผู้นั้น ระหว่างที่กลับมามองศาลาข้างทาง ที่ว่างเปล่า เจ้าลูกกระต่ายน้อยป๋ ายเสวียนไม่ตั้งแผงดื่มชาอยู่ที่นั่น แล้ว เฉินหลิงจวินรู ้สึกไม่ค่อยดีเลย คิดว่าจะลองโน้มน้าวนายท่าน เมื่อไหร่ดีว่า ไม่สู้เรียกป๋ ายเสวียนกลับมา ระวังจะถูกห่านขาวใหญ่ขุด มุมก าแพงไป ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราจะไม่สูญเสียแม่ทัพใหญ่ที่ใน อนาคตสามารถใช ้ในงานสาคัญไปคนหนึ่งเลยหรือ?
บุรุษผู้หนึ่งที่กล้าแข็งข้อกับเผยเฉียน มีไม่มากหรอกนะ ดูอย่าง ป๋ ายโส่วแห่งส านักกระบี่ไท่ฮุยสิ ทุกวันนี้กล้าไหม? ดังนั้นถึงได้บอก ว่าเจ้าเด็กป๋ ายเสวียนผู้นี้ต้องมีอนาคตแน่แม้อายุจะน้อยแต่ปณิธาน กลับสูงส่งยาวไกล
ช่วงนี้เฉินผิงอันจะต้องเอาเวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามมาสอน หมัดให้จ้าวซู่เซี่ยที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ทุกวัน
การสอนหมัดครั้งแรก เพียงแค่ให้จ้าวซู่เซี่ยเห็นแก่นแท้ของวิชา หมัด เห็นความลึกล้าของฟ้ าดินเล็กในร่างกายตัวเอง
การสอนหมัดครั้งที่สอง เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ป้ อนหมัด แต่กลับ ให้จ้าวซู่เซี่ยได้รู ้จักว่าอะไรคือฟ้ าดินอีกแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันประกบ สองนิ้วทามุทรา ค่ายกลยันต์ก็พลันปรากฏ