กระบี่จงมา - บทที่ 989.1 เป็ นเด็กหนุ่มเพียงชั่วขณะ พกสุราบุกขึ้นเขา
ปลายเดือนหนึ่งของปีฉุนผิงที่หก ฉู่โจวมีฝนกระหน่าตกลงมาห่า ใหญ่ แม้จะเป็ นตอนเที่ยงวันอากาศก็ยังขมุกขมัวสลัวเหมือนยามค่า คืน เพียงแต่ว่าเมื่อสายฝนสายฟ้ าผลุบหายไป ท้องฟ้ าหลังจากฝนตก ถูกชาระล้างจนสีเขียวขจีชุ่มปลั่งเต็มภูเขา แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิ อบอุ่น ฝูงนกในภูเขาบินโผเกาะไปตามกิ่งไม้อย่างลิงโลด หยาดฝน พลิ้วปลิวอยู่ท่ามกลางลมวสันตฤดู
เฉินผิงอันได้นาตาราหมัดที่คงโหวมอบให้ไปให้จูเหลี่ยนได้ยืม อ่านแล้ว
ในเมื่อทั้งสองฝ่ ายนัดหมายกันว่าจะถามหมัดในเมืองหลวงของ แคว้นหนันเยวี่ยน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องต่อสู้กันอย่างจริงจัง
เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินที่ออกท่องไปตามขุนเขา สายน้าของแจกันสมบัติทวีปมาโดยตลอดกาลังจะจับมือกันมาเยี่ยม เยือนภูเขาลั่วพั่ว
เพราะได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาบอกทางยอดเขาจี้เซ่อให้ทราบ ถึงก าหนดการเดินทางล่วงหน้าก่อนแล้ว วันนี้เฉินผิงอันจึงพาเหวยเห วินหลงมาที่หน้าประตูภูเขา ดื่มน้าชารอคน
เว่ยป้ อมาปรากฏกายที่หน้าประตูภูเขา องอาจสง่างาม มองแล้ว สดชื่นสบายตา สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะ บุคลิกแห่งเทพสูงส่ง ประดุจเดินอยู่บนภูเขาหยก
นั่งลงข้างโต๊ะ เว่ยป้ อรินน้าชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย บอกว่าแขกสอง คนของเจ้ามาถึงอ าเภอไหวหวงแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องให้เว่ยซานจวินมา แจ้งเตือนด้วยตัวเองด้วยหรือ? หากมีความจริงใจจริงๆ เจ้าก็ไปช่วย ข้าต้อนรับแขกที่เมืองเล็กสิ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ามีหน้ามีตา”
เว่ยป้ อไม่ต่อคา เพียงแค่เอ่ยขอบคุณไปคาหนึ่ง ไม่คิดจะนั่งอยู่ นาน ดื่มน้าชาหมดถ้วยก็จะกลับจวนชานจวินแล้ว ไม่ถ่วงรั้งการ ต้อนรับแขกของเจ้าขุนเขาเฉิน
เพราะฉุนหยางเจินเหรินที่เมื่อไม่กี่วันก่อนมาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่ว พั่ว ก่อนหน้านี้ได้ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่ ก้าวเท้าออกไปก้าว เดียวก็ตรงดิ่งไปยังทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปทันที ดูจาก ท่าทางก็น่าจะข้ามมหาสมุทรไปเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว แต่ไม่รู ้ว่าเหตุ ใดเจินเหรินถึงย้อนกลับเข้ามาในอาณาเขตของขุนเขาเหนืออีกครั้ง มายังภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วที่มีชื่อว่ายอดเขาหย่วนมู่ หลวี่เห ยียนที่อยู่บนหน้าผาซึ่งมีต้นสนโบราณเก่าแก่เลื้อยยาวคดเคี้ยวไป ตามภูเขาเหมือนหยวน (จิ้งจกน้าหรือซาลาแมนเดอร ์) ตัวใหญ่ที่เกาะ อยู่บนหน้าผา มือหนึ่งของเขาถือกระบวยน้าเต้าดื่มเหล้า อีกมือหนึ่ง ทามุทรากระบี่แทนพู่กันแกะสลักบทกวีบทหนึ่งลงบนหน้าผา เว่ยป้ อ
ได้รับเสียงเตือนทางใจจากเฉินผิงอันจึงเร่งรุดเดินทางไปที่ยอดเขา หย่วนมู่ทันที ฉวยโอกาสตอนที่ฉุนหยางเจินเหรินยังเกิดแรงบันดาล ใจอยากเขียนกวี พูดอ้อมๆ เชื้อเชิญให้อีกฝ่ ายไป “ทาตามแบบ” ที่ ภูเขาพีอวิ๋นบ้านตน แกะสลักตัวอักษรบนหน้าผาอีกสักที ต่อให้ไม่ได้ เขียนบทกวีทั้งบท แค่ตัวอักษรใหญ่ๆ ตัวสองตัวก็ได้เหมือนกัน คง เป็ นเพราะเห็นแก่หน้าเจ้าขุนเขาเฉิน หลวี่เหยียนจึงไม่ได้ปฏิเสธเรื่อง นี้ ไปเยือนภูเขาพีอวิ่นของเว่ยป้ อรอบหนึ่งจริงๆ บนภูเขาสูงยังมีหิมะ ทับถม หลวี่เหยียนไม่ขี้เหนียว “น้าหมึก” ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ แกะสลักถ้อยคาไพเราะที่คล้ายคลึงกับบทอารัมภบทไปหนึ่งประโยค
พกสุราบุกขึ้นเขา หิมะปลิวกระทบหน้าที่เมามาย ทั้งชีวิตเห็น มาแล้วพันหมื่นภูเขาแห่งแรกที่สนใจคือพีอวิ๋น
ถึงอย่างไรภูเขาพีอวิ๋นก็เป็ น “มหาบรรพตใหม่” หากจะพูดถึง ตัวอักษรที่แกะสลักบนหน้าผาก็เรียกได้ว่ายากแค้นจริงๆ ห้ามหา บรรพตของแจกันสมบัติทวีป บางทีอาจมีดีกว่าแค่ขุนเขาใต้ของฟ่ าน จวิ้นเม่าเท่านั้น
ภูเขาลูกนัของตนมีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่กลิ่นอายเต็มเปี่ยมล้น ประโยคนี้ เว่ยป้ อก็รู ้สึกว่าไม่ด้อยกว่าขุนเขากลางของจิ้นชิงแล้ว
เว่ยป้ อดื่มน้าชาไปแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้าหากมีเรื่องดีๆ เช่นี้อีก จ าไว้ว่าต้องนับภูเขาพีอวิ๋นของข้าเข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งด้วยนะ”
เฉินผิงอันตอบตกลง เว่ยป้ อรีบรินน้าชาให้เจ้าขุนเขาเฉินด้วย ตัวเองทันที จากนั้นก็มาอย่างอารมณ์ดีจากไปด้วยความพึงพอใจ
เหวยเหวินหลงเกร็งหน้าอยู่ตลอด คอยเหลือบไปมองเส้นทางเล็ก บนภูเขาอยู่เป็ นระยะ
เฉินผิงอันรู ้สึกว่าน่าสนใจ เพราะเจ้าจวนเหวยเทพเจ้าแห่งโชค ลาภบ้านตนผู้นี้ตื่นเต้นมาก เวลานี้ดื่มชากลับเหมือนคนดื่มเหล้า ระงับความตกใจมากกว่า
เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินที่เดินเท้ามาบนเส้นทางภูเขา พอพบหน้ากันที่ประตูแล้วก็เรียกขานเฉินผิงอันว่าอิ่นกวานด้วยความ เคยชิน
เทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาลั่วพั่ว บุคคลอันดับหนึ่งแห่งจวน เฉวียนฝู่ เหวยเหวินหลงมีสีหน้าเครียดขรึม กุมหมัดก้มหัวคารวะ เส้าอวิ๋นเหยียน “ลูกศิษย์เหวยเหวินหลงคารวะท่านอาจารย์”
เส้าอวิ๋นเหยียนแค่ผงกศีรษะรับเท่านั้น ปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ผู้ สืบทอดของเรือนชุนฟาน อันที่จริงเส้าอวิ๋นเหยียนไม่ค่อยเห็นดีในตัว ลูกศิษย์ที่ชอบแต่ศาสตร ์การคานวณอย่างเหวยเหวินหลงเท่าใดนัก
หากจะบอกว่าไม่สนิทสนมกับเหวยเหวินหลงเลยก็ไม่ใช่ เพราะ ถึงอย่างไรลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเส้าอวิ๋นเหยียนก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน เท่านั้น แต่หากจะบอกว่าอาจารย์และศิษย์สองคนสนิทกันถึงเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นนั้นเช่นกัน
อีกอย่างนับแต่เล็กมาเหวยเหวินหลงก็คือน้าเต้าตันที่เอากระบอง ฟาดกี่ทีก็ไม่ยอมผายลม ส่วนเส้าอวิ๋นเหยียนที่อยู่ในเรือนขุนฟานปี นั้นก็ไม่ใช่อาจารย์หรืออาจารย์ปู่ที่เมตตาปราณีอะไร
เส้าอวิ๋นเหยียนหันหน้าไปถามเฉินผิงอัน “ใต้เท้าอิ่นกวาน อยู่ที่ ภูเขาถั่วพัวนี้ เหวยเหวินหลงที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ นั่งอยู่ในเก้าอี้ อันดับที่เท่าไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตาแหน่งที่นั่งที่อยู่ด้านหน้าเขามีแค่ข้า ผู้คุม กฏฉางมิ่ง โจวเฝยผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง แค่สามคนนี้เท่านั้น ดังนั้น เหวยเหวินหลงจึงถือว่านั่งอยู่ในเก้าอี้อันดับที่สี่ของภูเขาลั่วพั่วพวก เรา”
สานักทั่วไปมักจะต้องมีบรรพจารย์ที่อายุขัยการฝึกตนยาวนาน ล าดับอาวุโสสูงมากอยู่สองสามคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นยศที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีอานาจที่แท้จริง แต่ตาแหน่งในศาลบรรพจารย์ก็มักจะอยู่ หน้าๆ หากขอบเขตทิ้งระยะห่างจากเจ้าสานักคนปัจจุบันหนึ่งถึงสอง ขั้น ไม่แน่ว่าตาแหน่งเก้าอี้อาจเป็ นรองแค่เจ้าสานักเท่านั้น ตาแหน่งผู้ ฝึกตนของในส านักยังอยู่ด้านหลังด้วยซ้า
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนไม่เคยรู ้สึกอะไร ตอนนี้มายืน อยู่ที่ตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนจะรู้สึกว่าไม่เลวเลยจริงๆ”
เหวยเหวินหลงยิ้มอย่างเขินอาย
สัมผัสได้ถึงสายตาของอาจารย์ เหวยเหวินหลงรีบตีหน้าเคร่ง หุบยิ้มทันที
เฉินผิงอันบ่น “เซียนกระบี่เส้า ข้าต้องเตือนท่านสักคานะ จะดีจะ ชั่วเจ้าจวนเหวยก็เป็ นบุคคลยิ่งใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ท่าน ต้องเกรงใจกันหน่อย อย่าเอาแต่วางมาดอาจารย์ ท าหน้าบูดบึง”
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่คิดจะโต้เถียงกับใต้เท้าอิ่นกวาน “เหวินหลงอ่า เจ้าขุนเขาของพวกเจ้าตาหนิข้าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร ข้าที่เป็ น อาจารย์ควรจะมีหน้ายิ้มดีไหม?”
เหวยเหวินหลงกล่าวอย่างตึงเครียด “ไม่ต้องๆ อาจารย์เป็ น เหมือนในอดีตก็ดีมากแล้วขอรับ”
รอกระทั่งเหวยเหวินหลงหันไปพูดคุยกับเฉินผิงอันก็ไม่ขี้ขลาด อีกต่อไป เขาพูดด้วยสีหน้าเป็ นธรรมชาติว่า “เจ้าขุนเขา อาจารย์ เป็ นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใบหน้าเย็นชาจิตใจเร่าร้อน อาจารย์ ไม่จาเป็ นต้องจงใจทาเช่นไร นั่นกลับกลายเป็ นว่าจะยิ่งทาให้ข้าไม่ เป็ นตัวของตัวเอง”
เฉินผิงอันหันไปสบตากับเส้าอวิ๋นเหยียนแล้วยิ้มให้กัน
ถัวเหยียนฮูหยินแอบเบ้ปาก ปีนั้นอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว นางมองไม่ ออกจริงๆ ว่านักบัญชีเหวยเจ้าดื่มแห่งเรือนชุนฟานผู้นี้จะได้รับ โอกาสและประสบความสาเร็จอย่างในวันนี้ได้ คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ
ทุกวันนี้ถัวเหยียนฮูหยินมีชื่อว่าเหมยโส่ว ฉายาว่านายแห่งดอก เหมย
นางได้เผาผลาญตบะไปหนึ่งร ้อยยี่สิบปี ที่อารามชิงเหมย ทะเลสาบหนันถัง แต่สุดท้ายกลับรายงานเท็จไปว่าหนึ่งร ้อยห้าสิบปี
ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวเยือนสานักอวี่หลงที่มีการผลัดแผ่นดินใหม่ เส้าอวิ๋นเหยียนได้รับคาเชื้อเชิญจากน่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้เป็ นเจ้าส านัก ส่วนถัวเหยียนฮูหยินที่เนื่องจากในอดีตมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลว กับอวิ๋นเซียนแห่งตาหนักสุ่ยจิง ทุกวันนี้คนทั้งสองจึงกลายเป็ นผู้ ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสานักอวี่หลงแล้ว
ดูเหมือนใต้หล้าอิ่นกวานจะสังเกตเห็นแขกคนที่สองแล้ว
เฉินผิงอันมองถัวเหยียนฮูหยิน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่องอยู่ในใต้ หล้า ทาดีกับคนอื่นย่อมไม่มีทางผิดเป็ นแน่”
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มกระอักกระอ่วน ในใจนินทาไม่หยุด
ใต้เท้าอิ่นกวาน นิสัยแย่ๆ ที่ชอบทาตัวเป็ นอาจารย์คนอื่นของเจ้า ต้องปรับปรุงบ้างแล้วจริงๆ นะ
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี คล้ายมองทะลุความคิดของนาง “ถ้าอย่าง นั้นก็ปรับปรุงเสียหน่อย?”
ถัวเหยียนฮูหยินแสร ้งทาหน้ามึนงง เฉินผิงอันก็ไม่คิดมาก ยิ้ม เอ่ยว่า “น่าหลันไฉ่ฮ่วนยังเป็ นเหมือนเดิม คาว่าพูดคุยถึงเรื่องเงินทอง
จะท าร ้ายความสัมพันธ ์ช่างกล่าวได้ดีนักแม้แต่เงินเดือนก็ไม่ยอมมอบ ให้พวกเจ้า” เจ้าบ้านและแขกเดินขึ้นเขาไปพร ้อมกัน บังเอิญเจอกับเฉินยวน จีที่ฝึกหมัดเดินนิ่งลงจากภูเขามาพอดี นางสบตากับเจ้าขุนเขาเฉิน เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็ นนัยแก่นางว่าไม่ต้องหยุดพูดคุย
ถัวเหยียนฮูหยินใช ้เสียงในใจถาม “นี่นางกาลังทาอะไร?”
เฉินผิงอันคร ้านจะตอบคาถามทานองนี้ แม้ว่าจะส่งกระบี่บินแจ้ง ข่าวไปให้เส้าอวิ๋นเหยียแนล้ว แต่เวลานี้เฉินผิงอันก็ยังพูดเรื่องการ เชื้อเชิญของ ‘ชางอู๋” เสินจวินแห่งภูเขาจิ่วอี๋ให้ถัวเหยียนฮูหยินฟังอีก ครั้ง ขณะเดียวกันก็พูดคุยถึงขนบธรรมเนียมนิสัยผู้คนของภูเขาจิ่วอี๋ ให้นางฟังมากหน่อย เพราะถึงอย่างไรเรื่องบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่อง ที่เกี่ยวพันกับวงในก็ไม่มีทางบอกกล่าวโจ่งแจ้งในรายงานภูเขา สายน้า รายงานของแผ่นดินกลางไม่พูดถึงเรื่องของห้ามหาบรรพต นี่ แทบจะเป็ นกฎที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งแล้ว มีบางครั้งที่เป็ น กรณียกเว้นอยู่เหมือนกัน แต่ก็แค่บางครั้งเท่านั้น
นี่ทาให้ถัวเหยียนฮูหยินค่อนข้างล าพองใจ สามารรถท าให้ชานจ วินห้ามหาบรรพตแห่งขุนเขากลางเปิดปากเชื้อเชิญด้วยตัวเอง ไม่ถือ ว่าเป็ นเรื่องหายากเท่าไร แต่ก็ต้องเป็ นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่บ่อย แน่นอน
เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าจะกลับไปที่สานักกระบี่หลงเซี่ยงกันเลย หรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้า “จะเดินทางขึ้นเหนือต่อ กลับไปที่บ้าน เกิดก่อนรอบหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ควรกลับไปดูบ้าง”
เส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่ที่เดินทางออกจากบ้านเกิดผู้นี้ แท้จริง แล้วเป็ นคนของอุตรกุรุทวีป
ปีนั้นหลิวจิ่งหลงพาลูกศิษย์อย่างป๋ ายโส่วไปเป็ นแขกที่เรือนชุน ฟาน แน่นอนว่าข้างกายยังมีผู้ฝึกตนหญิงอีกคนหนึ่ง คือหลุสุ้ยลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าส านักภูเขาสุ่ยจิ่ง นางรักและเลื่อมใสในตัวหลิว จิงหลงอย่างมาก
การไปเยือนครั้งนั้น หลิวจิ่งหลงช่วยสังจองน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ลูก หนึ่งของเรือนชุนฟานมาให้ลูกศิษย์ อันที่จริงเส้าอวิ๋นเหยียนได้ให้ ราคาที่เป็ นธรรมมากแล้ว แต่กลับยังทาให้ป๋ ายโส่วได้ยินถึงกับเหงื่อ ซึมบนหน้าผาก
เถาน้าเต้าที่เป็ นสมบัติล้าค่าก่อนกาเนิดบนภูเขาอย่างสมชื่อเส้น นั้นได้ออกผลน้าเต้ามาทั้งหมดสิบสี่ลูก แต่จากการอนุมานและ ค านวณของเส้าอวิ๋นเหยียน น้าเต้าที่สุดท้ายจะหลอมเป็ นน้าเต้าเลี้ยง กระบี่ชั้นสูงได้สาเร็จนั้น อันที่จริงมีแค่เจ็ดลูกเท่านั้น และนับตั้งแต่ที่ ได้เถาน้าเต้ามาเส้นหนึ่ง จนกระทั่งมันกาลังจะเป็ น “แตงสุกขั้วก้าน
หลุด” เส้าอวิ๋นเหยียนก็รอมานานเกือบหนึ่งพันปี การก่อสร ้างเรือน ชุนฟานขึ้นมาก็เพื่อปลูกเจ้าสิ่งนี้
การที่หลิวจิ่งหลงสามารถสั่งจองลูกหนึ่งในนั้นได้ล่วงหน้า นั่นก็ เป็ นเพราะว่าในคนเจ็ดคน มีคนผู้หนึ่งที่ไม่อ่ายจ่ายเงินได้ตามสัญญา เรือนชุนฟานถึงได้เอาสิทธิ์นี้ออกมาเพิ่มบังเอิญที่หลิวจิ่งหลงซึ่ง “มา เร็วไม่สู้มาได้จังหวะบังเอิญ” มาเก็บตกไปได้พอดี
ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่พื้นที่คับแคบไม่เหมาะจะรับรองแขก เฉิน ผิงอันจึงพาแขกทั้งสองมายังเรือนพักแห่งหนึ่งที่ยังว่างอยู่ของยอด เขาจี๋หลิง
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจาก ชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เส้าอวิ๋นเหยียน ด้านบนคือรายชื่อและรายการ สิ่งของที่เขียนไว้ยาวเป็ นพรวน
เส้าอว๋นเหยียนอ่านอย่างละเอียด เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ราคาไม่ใช่ ปัญหา ขอแค่อีกฝ่ ายยินดีเปิดปากตั้งราคา เจ้าก็ได้ช่วยข้าตอบตก ลงไปได้เลย”
เส้าอวิ๋นเหยียนมองเส้นสนกลในที่ซ่อนอยู่ออกในปราดเดียว ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าต้องการโชคชะตาบุ๋นพวกนี้ไปทาอะไร?”
รายการบนกระดาษแผ่นนี้ นอกจากชางผูชะตาบุ๋นของภูเขาจิ่วอี๋ แล้ว ยังมีรายชื่อของภูเขาใหญ่และผู้ฝึกตนใหญ่ของทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลาง อุตรกุรุทวีปและทักษินาตยทวีปอีกเป็ นจ านวนไม่น้อย
แต่ส านักด้านบนนี้ส่วนใหญ่เส้าอวิ๋นเหยียนล้วนค่อนข้างคุ้นเคย เกี่ยวกับผู้ฝึกตนที่มาซื้อน้าเต้าเลี้ยงกระบี่อีกหกคน ปีนั้นเส้าอวิ๋นเห ยียนก็ไม่เคยปิดบังเฉินผิงอันถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังอยู่ แล้ว เรือนชุนฟานที่เป็ นหนึ่งในสี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขา ห้อยหัวเช่นเดียวกัน อันที่จริงมีความสัมพันธ ์ควันธูปบนภูเขา มากกว่าจวนหยวนโหรวของสกุลหลิวธวัลทวีป สวนดอกเหมยของ ถัวเหยียนฮูหยินและต าหนักสุ่ยจิงของสานักอวี่หลง
ถัวเหยียนฮูหยินทีเดิมทีเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร ้านพอได้ ยินค าว่าชะตาบุ๋น นางก็เกิดความสนใจทันที สีหน้าเปี่ยมชีวิตชีวา คง ไม่ใช่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราท่านนี้คิดจะใช ้สถานะลูกศิษย์คน สุดท้ายของเหวินเซิ่งเป็ นไม้กระดานพาดทางข้าม ในอนาคตคิดจะ เป็ นผู้อ านวยการของสถานศึกษาศาลบุ๋น หรือถึงกระทั่งเป็ น…รองเจ้า ลัทธิหรอกนะ?!
เฉินผิงอันอธิบาย “ผู้ดูแลน้อยของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา ชื่อว่าเฉิน หรูชู ฉายา “หน่วนซู่ หน่วนซู่น้อยนางคืองูหลามไฟชะตาบุ๋น ตอนนี้ ยังเป็ นแค่ขอบเขตประตูมังกร สร ้างโอสถทองคือด่านใหญ่บนภูเขา เพราะสาเหตุจากรากฐานมหามรรคาเป็ นเหตุให้การเดินลงน้าของ นางค่อนข้างจะพิเศษ”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าว “ต่อให้มีของนอกกายพวกนี้มาช่วยเสริม แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องเดินลงน้าอยู่ดีนะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก คนบนภูเขาย่อม มีแผนการเป็ นของตัวเอง”
หลิวเสี้ยนหยางเคยมอบลมเปิ ดหน้าหนังสือให้เฉินผิงอันกลุ่ม หนึ่ง อันที่จริงเฉินผิงอันได้มอบให้กับเฉินหน่วนซู่ไปตั้งแต่แรกแล้ว ผลคือสังเกตเห็นว่ามันไปอยู่กับเฉาฉิงหล่าง ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างเป็ น ฝ่ ายเอ่ยเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนใจ เฉินผิงอันจึงบอกกับเขาว่าไม่ต้องคิดมาก ให้เขาเก็บเอาไว้
เพราะถึงอย่างไรหากเป็ นเรื่องที่หน่วนซู่น้อยยืนกราน อย่าว่าแต่ เฉาฉิงหล่างที่จนปัญญาเลย พ่อครัวเฒ่าก็ท าอะไรไม่ได้เหมือนกัน เฉินผิงอันก็หมดสิ้นหนทางไม่ต่างกัน
เส้าอวิ๋นเหยียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ากับสานักและผู้ฝึกตนเหล่านี้ มีความสัมพันธ ์ควันธูปกันในทางอ้อมจริง เพียงแต่ว่าสิ่งของในใบ รายการนี้ของเจ้า เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องของราคาสูงต่า อีกอย่างสานักที่ อยู่ในรายชื่อล้วนไม่มีแห่งใดที่ขาดเงิน ดังนั้นหน้าตาของข้าจึงไม่แน่ เสมอไปว่าจะได้ผล สามารถยกชื่อเจ้าไปพูดได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีปัญหา เชิญเซียนกระบี่ใหญ่เส้าตาม สบาย ข้าแค่รับผิดชอบจ่ายเงินเท่านั้น หากอีกฝ่ ายไม่อยากรับเงิน อยากจะใช ้สิ่งของแลกเปลี่ยน หรือมีข้อเรียกร ้องอะไรที่ไม่เกี่ยวกับ เงิน ยกตัวอย่างเช่นว่าอีกฝ่ ายต้องการให้ข้าไปเข้าร่วมงานพิธี อยาก ได้ตราประทับหรืออะไรทานองนั้น ก็ได้เหมือนกัน เจ้าตอบตกลงแทน ข้าได้เลย”
เส้าอวิ๋นเหยียนมองเฉินผิงอันแล้วรู ้สึกสงสัยใคร่รู ้อยู่บ้างว่า “หน่ วนซู่” ผู้นี้คือเทพเซียนจากฝ่ายใด
ส่วนถัวเหยียนฮูหยินนั้นถึงกับจ้องเป๋ งไปที่อิ่นกวานหนุ่ม
ในใจของนางรู ้สึกเปรี้ยวฝาด อาศัยอะไรข้าอยู่กับใต้เท้าอิ่นก วานถึงต้องสะอึกอึ้ง ต้องน้อยเนื้อต่าใจอยู่ตลอด? แต่งูหลามไฟ ชะตาบุ๋นที่มีขอบเขตแค่ประตูมังกรตัวนั้นกลับเป็ นดั่ง…สมบัติที่มิอาจ ประเมินค่าได้เช่นนี้?
เฉินผิงอันพลันกระแอมหนึ่งที เตือนทั้งสองคนว่าอย่าเพิ่งพูดคุย เรื่องนี้
เพียงไม่นานก็มีเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งยกถาดผลไม้ และขนมกินเล่นมานางเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เคาะประตู เห็นว่านาย ท่านผงกศีรษะยิ้มรับ นางถึงข้ามธรณีประตูมา วางถาดลงบนตะ ยอบ กายคารวะแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่าน แนะนาตัวเองด้วยน้าเสียงใส กระจ่าง จากนั้นหน่วนซู่จึงขอตัวลาเตรียมจะจากไป
ถัวเหยียนฮูหยินมองประเมินเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อิ่นก วานหนุ่มบอกว่าเป็ นผู้ดูแลน้อยของภูเขาลั่วพั่ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ ายจะ เป็ นแม่นางน้อยที่เหมือนหยกสีชมพูแกะสลักรูปโฉมน่ารักน่าเอ็นดู
เฉินผิงอันหยิบส้มลูกหนึ่งมาจากในถาด ยิ้มยื่นส่งไปให้ เฉิน หน่วนซู่ยิ้มเขินอาย สายหน้าเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “หากนาย
ท่านมีอะไรจะสั่งการก็บอกข้าสักคา หน่วนซู่จะรอรับใช ้อยู่ในลาน บ้านด้านนอก” เฉินผิงอันเองก็ไม่รั้งนางเอาไว้ เพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม