กระบี่จงมา - บทที่ 987.4 ผู้ฝึกยุทธมาพบข้าที่เรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “อายุก็ไม่น้อยแล้ว แล้วก็เคยขึ้น เหนือล่องใต้มาก่อน ไม่เคยเจอสตรีที่ถูกใจบ้างเลยหรือ? เจ้าชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเจ้า เขาชอบเจ้า แต่เจ้าดันไม่ชอบเขา? สูงก็ไม่ได้ต่าก็ ไม่ได้เช่นนี้ ก็เลยถูกถ่วงเวลาเอาไว้?”
จ้าวซู่เซี่ยเอ่ยอย่างเขินอาย “ไม่เคยคิดในด้านนี้มาก่อน”
เฉินผิงอันเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่พูดถึง เรื่องนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการเร่งรัดให้คนอื่นแต่งงาน เป็ น เรื่องที่แม้แต่หมาก็ยังรังเกียจ เพิ่งจะเป็ นอาจารย์คนเขาได้แค่ไม่กี่วันก็ ไม่ควรวางมาดผู้อาวุโสที่ไม่ไม่เป็ นที่ชื่นชอบอย่างนี้”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันในเวลานี้มีทั้งสิ้นห้าคน ชุยตง ซาน เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง จ้าวซู่เซี่ย กวอจู๋จิ่ว
ชุยตงซานกลายเป็ นเจ้าสานักของสานักแห่งหนึ่งแล้ว เผยเฉียน ก็ยิ่งเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า
เฉาฉิงหล่างคือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอันดับหนึ่ง เป็ นปิ้งเหยียนใน การสอบเคอจวี่ของต้าหลี ทุกวันนี้คือเขียนดินโอสถทอง เพิ่งจะได้ เป็ นเจ้าแห่งยอดเขาของยอดเขาจิ่งซิง
กวอจู๋จิ่วมาจากกาแพงเมืองปราณกระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง มาจากสายคฤหาสน์หลบร ้อน อยู่ที่บ้านเกิดก็คือสุดยอดของสุดยอด ในกลุ่มผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์
ดูเหมือนว่าจะมีแค่จ้าวซู่เซี่ยเท่านั้นที่ไร ้ชื่อเสียง ไม่เพียงแต่ทุก วันนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรที่มีค่าพอให้พูดถึง หลัจากนี้ไปเขาก็อาจจะยิ่ง นานก็ยิ่งทิ้งระยะห่างกับคนร่วมสานักทั้งหลายเรื่อยๆ
จ้าวซู่เซี่ยเองก็ไม่เคยคิดถึงอนาคตของตัวเอง บางทีผ่านไปอีก ยี่สิบสามสิบปี อย่างมากที่สุดเขาอาจจะเป็ นผู้ฝึ กยุทธขอบเขตร่าง ทอง หรืออาจจะไม่ใช่ ขอบเขตมีแต่จะหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตหกไป เนิ่นนาน
ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านั้นที่ภูเขาลั่วพั่วเลือนเป็ นส านัก เฉินผิงอัน พลันรับเขาเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอด รับเข้าท าเนียบของศาลบรรพจารย์ ยอดเขาจี้เซ่อ คนที่ประหลาดใจที่สุดไม่ใช่คนอื่น แต่เป็ นจ้าวซู่เซี่ย เอง
เนื่องจากเฉินผิงอันมักจะออกเดินทางไกลเป็ นประจา อันที่จริง เรื่องของการสอนหมัดอาจารย์จูถือว่าทุ่มเทจิตใจอย่างมาก
เพียงแต่ทุกครั้งที่จ้าวซู่เซี่ยฝ่ าทะลุขอบเขต ห่างจากค าว่า แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถช่วงชิงโชคชะตาบู๊มาได้ไกลจนมิอาจเอื้อม ถึง
ในเรือนพักของจ้าวซู่เซี่ยมีกรอบป้ ายหน้าห้องหนังสืออยู่กรอบ หนึ่ง เป็ นลายมือของเฉินผิงอันเอง
เรือนฉิวสือ (เน้นให้สอดคล้องกับความเป็ นจริง)
คาดว่านี่น่าจะเป็ นความหวังที่ใหญ่ที่สุดที่เฉินผิงอันมีต่อจ้าว ซู่เซี่ยแล้ว
เฉินผิงอันน าทางจ้าวซู่เซี่ยไป คนหนึ่งเดินหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินขึ้นบันไดเรือนไม้ไผ่ไป
เฉินผิงอันเดินช ้ามาก เขาเอ่ยเนิบช ้าว่า “ชูเชี่ย ตามความเห็น ของข้า คนผู้หนึ่งได้ครอบครองพรสวรรค์สองอย่างที่ล้าค่าอย่างถึง ที่สุด อย่างที่มองเห็น คือพรสวรรค์ อย่างที่มองไม่เห็น คือความ ขยันหมั่นเพียร จ้าวหลวนคืออย่างแรก ส่วนเจ้าคืออย่างหลัง แน่นอน ว่าไม่ได้บอกว่าจ้าวหลวนไม่ขยันฝึกตน แล้วก็ไม่ได้พูดว่าเจ้าไร ้ซึ่ง พรสวรรค์ สามารถกลายเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ได้ ก็ถือว่าได้เดิน เข้าห้องห้อง ปณิธานหมัดอยู่บนร่าง เป็ นเรื่องที่คนที่เรียนวรยุทธกี่ มากน้อยปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน บางทีอยู่นอกภูเขา หากมีแค่ คนในยุทธภพก็ไม่ควรยกตนข่มท่านมากเกินไป ตาสูงมองไม่เห็นหัว ใคร แต่ภูเขาลั่วพั่วค่อนข้างพิเศษ ข้าต้องท าให้เจ้าไม่ดูถูกตัวเองมาก เกินไป ไม่ปฏิเสธตัวเองมากเกินไป เผยเฉียนคือเผยเฉียน จ้าวซู่เซี่ย คือจ้าวซูเซี่ย ฝึกหมัดอันดับแรกอยู่ที่ตัวเอง ถามหมัดแบ่งสูงต่ากับ โลกมนุษย์เป็ นอย่างหลัง ลาดับขั้นตอนก่อนหลังของในเรื่องนี้มิอาจ ผิดพลาดได้”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เอ่ยหยอกล้อว่า “อาจารย์ดีเกินไป ศิษย์พี่หญิงแข็งแกร่งเกินไป บางครั้งก็เป็ นภาระอย่างหนึ่งเหมือนกัน สินะ?”
จ้าวซู่เซี่ยอืมรับหนึ่งที เป็ นคนชื่อคนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย มาถึงระเบียงชั้นสองของเรือน ไม้ไผ่ เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนเปิดประตู
“เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเราทุ่มเทความพยายามให้กับเรื่องบางเรื่อง เมื่อเวลานานวันเข้าก็ย่อมมองเห็น เพียงแต่ว่าง่ายที่จะมองไม่เห็น เพราะคนที่พยายามกับคนที่มองดูอยู่ด้านข้างล้วนไม่รู ้สึกว่านี่คือ พรสวรรค์อย่างหนึ่ง”
“ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่า หากไม่เคยกัดฟันพยายามมาก่อน อย่างแท้จริงก็ไม่มีคุณสมบัติจะพูดถึงเรื่องพรสวรรค์ เมื่อเลือกทาง เส้นหนึ่งแล้ว จากนั้นมองเห็นประตูแล้วเดินเข้าไปโดยที่ไม่เสียสมาธิ ยืนหยัดต่อไปด้วยจิตใจแน่วแน่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เหยียบลงบนพื้น เต็มเท้า แล้วพลันเงยหน้ามองไป เวลานี้คนที่เจ้ามองไม่เห็นแผ่นหลัง คนที่เดินอยู่เบื้องหน้าเจ้าก็คือคนมีพรสวรรค์ พ่ายแพ้ให้กับพวกเขา คือชะตาชีวิต หากไม่พอใจก็สามารถบ่นฟ้ าได้อย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่โทษตัวเอง กินอิ่มมีเสื้อผ้าให้สวมใส่ นอนหลับสบาย ถามใจ ตัวเองแล้วไม่ละอาย”
“รู ้ถึงความต่างระหว่างตัวเองกับผู้มีพรสวรรค์พวกนั้นแล้ว ผลลัพธ ์ที่ได้หลังจากพยายามไปแล้ว ก็อย่าได้รู ้สึกว่าไม่มีประโยชน์ ส าหรับการเรียนวรยุทธและชีวิตของเจ้าในภายหลังแล้วล้วนมี ประโยชน์อย่างมาก”
“เพราะบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ ข้ากับเฉาสือก็มี ความสัมพันธ ์ประมาณนี้ต่อกัน”
จ้าวซู่เซี่ยลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะพูดอย่าง ตรงไปตรงมา “อาจารย์ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถไล่ตามเฉาสือไปทัน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของเฉาสือได้ตลอดเวลา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รู ้สึกปลาบปลื้มใจอย่างถึง ที่สุด ดีมากเลย อันดับแรกก็มีลุกศิษย์อย่างเฉาฉิงหล่าง ภายหลังยังมี ลูกศิษย์อย่างจ้าวซู่เซี่ย ใครจะยังกล้าพูดว่าขนบธรรมเนียมของภูเขา ลั่วพั่วข้าไม่เที่ยงตรงอีก?
เฉินผิงอันกล่าว “ซูเซี่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าบนเส้นทางชีวิตคน ของพวกเรา บางทีอาจจะมีบุคคลที่คล้ายคลึงกับเฉาสืออยู่?”
จ้าวซู่เซี่ยพยักหนา เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เข้าใจแล้ว!”
เฉินผิงอันถาม “ชูเซี่ย เจ้าคิดว่าเผยเฉียนที่เป็ นศิษย์พี่หญิงมี ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดคืออะไรหรือควรจะพูดว่าเรื่องที่ทาให้เจ้าอยากเรียนรู ้ มาจากนางมากที่สุดคือเรื่องใด?”
จ้าวซู่เซี่ยตอบอย่างไม่ลังเล “ศิษย์พี่หญิงทั้งทนกับความ ยากล าบากใหญ่แล้ว แล้วก็มีความคิดเป็ นของตัวเองด้วย สองข้อนี้ ศิษย์พี่หญิงเหมือนอาจารย์มาก”
ยกตัวอย่างเช่นช่วงที่เผยเฉียนฝึกหมัดอยู่ที่นี่ นางเคยกระโดด ลงไปจากหน้าผาทุกวัน…ถามหมัดกับพื้นดิน! เรื่องประเภทนี้ จ้าว ซู่เซี่ยคิดว่าต่อให้ตัวเองฝึกหมัดไปอีกร ้อยปี ก็ยังคิดไม่ได้
ดังนั้นจ้าวซู่เซี่ยจึงไม่เคยคิดว่าเผยเฉียนประสบผลส าเร็จในการ เรียนวรยุทธอย่างถึงวันนี้ได้เพียงแค่เพราะนางมีพรสวรรค์ในการ เรียนหมัดดีเท่านั้น
เฉิ นผิงอันยืนอยู่กลางระเบียง เอามือประคองจับราวรั้ว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะบอกความในใจที่ข้า ไม่เคยพูดให้ใครฟังกับเจ้า อันที่จริงข้ามีความปรารถนาอย่างหนึ่งมา โดยตลอด”
จ้าวซู่เซี่ยมีสีหน้าจริงจัง รอคอยฟังค าพูดประโยคถัดไป
เฉินผิงอันพลันเปลี่ยนใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ประโยคนี้อีกเดี๋ยวไว้ค่อย พูด ต้องปิดประตูพูด”
ราชวงศ์ต้าตวนแห่งแผ่นดินกลางในใต้หล้าไพศาล เทพีแห่งการ ต่อสู้เผยเปยมีลูกศิษย์คือเฉาสือและยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามคน ซึ่งมีหม่าฉวีเซียนเป็ นหนึ่งในนั้น
หลินเจียงเซียนแห่งใต้หล้ามืดสลัวที่ถูกเรียกขานอย่างให้ความ เคารพว่า “หลินซือ นอกจากที่ตัวเองจะเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งของ วิถีวรยุทธอย่างสมชื่อแล้ว ได้ยินมาว่าในเรื่องของการสอนหมัดก็มี ความเชี่ยวชาญมากเหมือนกัน
และทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วนี้ เฉนิผิงอันกับเผยเฉียนก็มีอาจารย์
และลูกศิษย์สองคนที่เป็ นขอบเขตปลายทาง แต่ภูเขาลั่วพั่วยังมีจูเหลี่ยน
มีเจิ้งต้าเฟิงที่ทุกวันนี้อยู่ที่ใต้หล้าห้าสี
แล้วก็ยังมีจ้งชิว เว่ยเซียน หลูป๋ ายเซี่ยง คนรุ่นเยาว์ก็มีเฉินยวนจี หยวนเป่า หยวนไหล โจวจวิ้นเฉิน
ส่วนใต้หล้ามืดสลัวที่เนื่องจากผู้ฝึกตนใหญ่ป่าเถื่อนเกินไป ผู้ฝึก ยุทธเต็มตัวไม่เคยเป็ นโล้เป็ นพายมาโดยตลอด ต่อให้ได้เลื่อนเป็ น ขอบเขตปลายทาง หากไม่กลายเป็ นบริวารใต้อาณัติก็ต้องถูกผู้ฝึก ตนฆ่าตาย แทบจะไม่มีปรมาจารย์เลยสักคนที่สามารถก่อสานักตั้ง พรรค หยัดยืนไม่ล้มลงได้ตามความหมายที่แท้จริงอยู่ในใต้หล้ามืด สลัว
เป็ นเหตุให้ใต้หล้าหลายๆ แห่งเกิดเค้าโครงว่าจะเป็ นสถานการณ์ ที่ “หมัดแบ่งออกเป็ นสามสาย
ถึงอย่างไรจ้าวซู่เซี่ยก็เป็ นคนชื่อสัตย์จึงเปลี่ยนคาเรียกขานตาม จิตใต้สานึกอีกครั้งเอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน เกี่ยวกับผลสาเร็จในการ
เรียนวรยุทธของวันหน้า อาจารย์จูเคยท าการประเมินล่วงหน้าให้ข้า มานานแล้ว เขาบอกว่าชั่วชีวิตนี้หากข้าไม่ได้เจอกับอาจารย์เฉินก็มี ความเป็ นไปได้มากว่าจะด้อยกว่าศิษย์พี่หญิงเผยสามขอบเขต ข้า รู ้สึกว่านี่น่าจะเป็ นเรื่องจริงแล้ว”
ที่แท้จูเหลี่ยนก็เคยแสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างไม่เก็บงา ต่อจ้าวซู่เซี่ยมาก่อนบอกว่าหากเจ้าไม่เคยได้เจอเจ้าขุนเขา บางทีต่อ ให้เจ้าขยันฝึกวรยุทธไปชั่วชีวิต โชคดี ไม่ได้ถูกคนฆ่าตายในยุทธ ภพ ก็คือได้เป็ นขอบเขตหก กลายเป็ นยอดฝี มือระดับบนสุดของ แคว้นเล็กแห่งหนึ่ง เรียกลมเรียกฝนอยู่ในยุทธภพที่มีขนาดเท่าบ่อน้า ก็ถือว่าเป็ นผลลัพธ ์ที่ดีที่สุดแล้ว รอกระทั่งเจ้าได้เข้ามาเรียนหมัดที่ ภูเขาลั่วพั่ว ก็ไม่ต่างจากว่าฟ้ าดินขยายใหญ่ขึ้น เจ้าก็มีหวังที่จะเลื่อน เป็ นขอบเขตร่างทอง และยังสามารถเพ้อฝัน แน่นอนว่าได้แต่เพ้อฝัน ว่าจะเป็ นขอบเขตแปดขอบเขตถัดไป ลมปราณแท้จริงกลายร่างเป็ น ขนนก สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้อย่างผู้ฝึกลมปราณ หากว่า มีวันนั้น เจ้าโชคดีได้กลายเป็ นลูกศิษญ์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาของ พวกเรา ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้เจ้าก็จะมีหวังได้เลื่อนเป็ นขอบเขตเก้า แม้ว่าจะเป็ นขอบเขตยอดเขา ทว่าก็ได้แต่ยืนอยู่บนยอดเขาของผู้ฝึก ยุทธในโลกมนุษย์เท่านั้น ยังคงได้แต่ยึดคอยาวแหงนมองฟ้ าไปแต่ โดยดีเท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พ่อครัวเฒ่าก็คือขอบเขตยอดเขา จะเข้าใจกะ ผายลมอะไร เขามองคนได้ไม่แม่นย าพอหรอก”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เอาสองมือไพล่หลังเดินมาบนทางเส้นเล็ก เพิ่งจะ มาถึงทางแยกเดินเลี้ยวมาที่เรือนไม้ไผ่กระแอมสองสามที แล้วก็ได้แต่ ย้อนกลับไปทางเดิม ไม่เข้าไปให้เป็ นที่อิดหนาระอาใจของผู้อื่นแล้ว
จ้าวซู่เซี่ยได้ยินเสียงกระแอมจากทางฝั่ งนั้นก็พลันกระอัก กระอ่วนสุดขีด เขาเคารพนับถือจูเหลี่ยนอย่างมาก
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “อยู่ที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้ จะช่วยเจ้าสร ้าง รากฐานที่ดีก่อน หลังจากนี้ข้าจะไปอวิ้นโจว ไปเป็ นครูสอนหนังสือใน สถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าอาเภอสู้ยอันจังหวัดเหยียนโจว ถึงเวลานั้น เจ้าก็ติดตามข้าไปอยู่ที่นั่นด้วย เราจะลงหลักปักฐานกันที่นั่น ข้าจะ คอยช่วยชี้แนะการฝึกตนให้เจ้าเป็ นระยะ”
ลาคลองเถี่ยเชวี่ยนที่มีฐานะเป็ นตอนบนของแม่น้าป๋ ายกู่ ศาล เทพมีชื่อว่าศาลจีเซียง คล้ายคลึงกับศาลประจาตระกูลอย่างจวนจื่อห ยาง เทพลาคลองมีชื่อว่าเกาเนี่ยง ลักษณะเหมือนขุนนางปุ่นลูกศิษย์ ลัทธิขงจื๊อเท่า แต่กลับเป็ น “คนมหัศจรรย์” อันดับหนึ่งโดยแท้ และ น่านน้าหลายร ้อยลี้ของลาคลองเถี่ยเชวี่ยน ทุกวันนี้ถูกยกให้อยู่ใน การดูแลของจวนวารีแม่น้าป๋ ายกู่ กรมพิธีการของราชส านักต้าหลี จวนซานจวินของขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋น และราชส านักแคว้น หวงถิง ต่างก็แยกกันบันทึกไว้ในเอกสาร ด้วยเหตุนี้เหนียงเนียงเทพ วารีของแม่น้าป๋ ายกู่ที่ถูกเซียนซือบนภูเขาขนานนามว่า “สาวงาม พุทธรักษา” เนื่องจากได้ควบรวมลาคลองเถี่ยเชวี่ยนมาดูแล เซียวหล
วนได้อาศัยโอกาสนี้ยกระดับเทพขึ้นสูงหนึ่งขั้น มีระดับเท่า เทียมกับ เทพวารีของแม่น้าหันสือแล้ว
ส่วนเกาเนี่ยงที่โยกย้ายจากลาคลองเถี่ยเชวี่ยนก็ได้เลื่อนขั้นใน วงการขุนนางหนึ่งขั้นเหมือนกัน เนื่องจากที่อวิ้นโจวมีลาคลองใหญ่ ที่ต้าหลีแต่งตั้งเพิ่มมาเส้นหนึ่ง เกาเนี่ยงได้สร ้างศาลอยู่ที่นั่น ได้สร ้าง ร่างทองใหม่อีกครั้ง ประเด็นสาคัญคือลาธารอู่ชีที่เป็ นต้นก าเนิดได้ ซุกซ่อนซากปรักวังมังกรแคว้นสู่ที่ราชสานักต้าหลีเพิ่งจะค้นพบเมื่อ ไม่นานมานี้ ลาธารเล็กเองก็คล้ายคลึงกับล าคลองหลงซวีที่ต่างก็ สร ้างสะพานหินโค้งที่ใช ้กฎเกณฑ์พอๆ กันไว้แห่งหนึ่ง มีชื่อว่าสะพาน หมื่นปี แน่นอนว่าก็แค่ไม่เคยแขวนกระบี่โบราณไว้ก็เท่านั้น ว่ากันว่า ทางฝั่งของอาเภอสุ้ยอัน ทุกครั้งที่เจอกับอากาศแล้งยาวนานไม่มีฝน ตก ก็จะมีขนบธรรมเนียมที่ผู้เฒ่าขึ้นภูเขาไปเรียกฝน
เฉินผิงอันควักกุญแจออกมาเปิ ดประตูของชั้นสอง หมุนตัว กลับไปนั่งบนพื้น ถอดรองเท้าผ้าออก
จ้าวซู่เซี่ยนั่งลงด้านข้างแล้วทาตาม
เฉินผิงอันที่นั่งเท้าเปล่าอยู่หน้าประตูม้วนชายแขนเสื้อขึ้นช ้าๆ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชุยที่สอนหมัดอยู่ที่นี่ในช่วงแรกสุดคือขอบเขตยอด ชั้นเทพมาเยือน อีกทั้งยังเคยก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในขอบเขตสิบ เอ็ดด้วย ศิษย์พี่หญิงของเจ้าจะเลื่อนเป็ นเทพมาเยือนเมื่อไหร่ ข้าไม่ กล้าพูด แต่เลื่อนสู่ชั้นคืนความจริง เชื่อว่าคงใช ้เวลาไม่นานนัก
ส่วนตัวข้าเอง “เทพมาเยือนแน่นอนว่าไม่ง่ายเลย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น เรียกว่าเป็ นแค่ความเพ้อฝัน”
เฉินผิงอันยกมือขึ้น ยื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว “คาโบราณเอ่ยว่าเรื่อง เดิมไม่ทาซ้าสาม ทั้งพูดถึงว่าเรื่องราวบางอย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น ติดต่อกันถึงสี่ครั้ง แล้วก็พูดด้วยว่าเรื่องบางอย่างสามารถมีหนึ่งมีสอง มีสองมีสาม (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าเล่า) แต่ยากที่จะถึง สี่หากจะบอกว่าข้าไม่หวังกับเจ้าไว้สูงนัก นั่นก็คือคาโกหก เจ้า สามารถเชื่ออย่างโง่งมได้ แต่ตัวข้าเองกลับพูดออกจากปากไม่ได้ แน่นอนว่าข้าต้องการให้จ้าวซู่เซี่ยที่ได้มาเรียนหมัดที่นี่มีวันหนึ่งที่ สามารถกลายเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนที่สี่ต่อจากชุยเฉิง เฉินผิงอันและเผยเฉียน เมื่อเป็ นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธของเรือนไม้ไผ่ก็ล้วน เป็ นขอบเขตปลายทางกันทั้งหมด”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองจ้าวซู่เซี่ย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้น ตอนนี้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเจ้าแล้ว”
จ้าวซู่เซี่ยยืดเอวตรง ร่างขึงเกร็ง อันที่จริงในหัวสมองของเขาว่าง เปล่ามานานแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “อย่าว่าแต่ทาเลย แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิด เลยใช่ไหม?”
จ้าวซู่เซี่ยพยักหน้าอย่างเขินอาย “จ้าวซู่เซี่ย เจ้าต้องกล้าคิด!”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่ก็คือหมัดแรกที่เจ้าได้เรียนจากข้าเฉินผิงอัน ก่อนที่จะผ่านประตูเดินเข้าห้องอย่างเป็ นทางการในวันนี้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “เรื่องที่แม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้าคิด แล้วจะพูด ถึงท าส าเร็จได้อย่างไร คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกก็ควรพูดประโยคว่า “ข้าท าไม่ได้” กับตัวเองให้น้อยหน่อยลัทธิเต๋าเน้นย้าในเรื่องถือศีล แห่งจิตนั่งลืมตน เจ้าก็ต้องนั่งครองจักรวาลเพียงลาพัง การฝึกจิตใจ จนตัวเองกลายมาเป็ นฟ้ าดิน ลัทธิพุทธกล่าวว่านั่งเข้าญาณหันหน้า หาผนัง เจ้าก็ต้องนั่งจนเบาะรองใบนั้นทะลุลอดทะลวงไปถึงกาแพง ต่อให้เส้นทางเบื้องหน้าผ่านไปไม่ได้ก็ต้องใช ้หมัดเปิดทางออกไป จ้าวซู่เซี่ย เจ้าไม่เหมือนกับข้า เจ้าเป็ นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้นแต่ ข้าเป็ นทั้งผู้ฝึกยุทธแล้วก็เป็ นทั้งผู้ฝึกตนบนภูเขา ผู้ฝึกยุทธมีอายุขัย ที่จากัด ข้าหวังว่าวันหน้าเจ้าอายุมากแล้ว ปล่อยหมัดออกไปไม่ไหว แล้ว ต่อให้จะไม่เคยได้เลื่อนเป็ นขอบเขตปลายทาง แต่ถามใจตัวเอง แล้วก็ต้องไม่ละอาย เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าทบทวนตัวเองก็ต้องกล้าพูด ว่า ข้าจ้าวซู่เซี่ยฝึกหมัดเรียนวรยุทธในชีวิตนี้ ไม่เคยผิดต่อคาว่าเต็ม ตัว”
“เข้าประตู!”
เฉินผิงอันหันตัวกลับก้าวยาวๆ เข้าไปในห้อง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แล้วปิดประตู!”
จ้าวซู่เซี่ยเดินตามเฉินผิงอันเข้าไปในห้อง แล้วจึงหมุนตัวมาปิด ประตูไม้ไป่ลง
หากไม่เป็ นเพราะเมื่อคืนวานได้รับการเตือนจากจูเหลี่ยน และโจวหมี่ลี่ บางทีเวลานี้จ้าวซู่เซี่ยก็คงตระหนักไม่ได้ถึงความหมาย ที่แท้จริงของคาว่า “ปิดประตู” ที่อาจารย์กล่าวถึง
นับแต่บัดนี้เป็ นต้นไป จ้าวซู่เซี่ย เด็กหนุ่มผอมแห้งที่ในอดีตถือ มีดผ่าฟืนอยู่ในมือก็คือลูกศิษย์ปิดประตูบนเส้นทางการเรียนวรยุทธ
ของเฉินผิงอันผู้เป็ นอาจารย์! เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงต าแหน่งหนึ่งในห้อง
จ้าวซู่เซี่ยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ตาแหน่งของเขา ในตอนนี้ก็เหมือนตาแหน่งที่เฉินผิงอันในปี นั้นและเผยเฉียนใน ภายหลังยืน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปิ ดประตูลงแล้ว ข้าก็สามารถพูด ประโยคนั้นได้แล้ว”
“ข้าต้องการให้ใต้หล้า ไม่ใช่แค่ใต้หล้าไพศาล แต่เป็ นผู้ฝึกยุทธ ในทุกใต้หล้าที่ได้เห็นเรือนไม้ไผ่แห่งนี้แล้วเหมือนเห็นศาลบรรพ จารย์!”