กระบี่จงมา - บทที่ 985.2 ยันต์อัคคี
หลวี่เหยียนยื่นนิ้วออกมา ชี้ไปยังดวงตะวันที่อยู่บนฟ้ า “ใน สายตาของผินเต้า สมบัติล้าค่าสูงสุดของฟ้ า ปรากฏชัดมิใช่ซ่อนอา พราง ทุกคนล้วนได้ครอบครอง ก็มีเพียงดวงตะวันแดงจ้าที่ลอยอยู่ กลางนภาดวงนี้เท่านั้น”
นักพรตถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที พ่นเอาลมปราณที่ใสสะอาด ออกมา ไอขาวขมุกขมัวประหนึ่งเมฆคล้อยน้าไหล ด้านในมีเส้นสี แดงเส้นหนึ่งเลื้อยคดเคี้ยวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ประหนึ่งมีมังกรเพลิงตัว เล็กบ้างที่ทะยานเมฆหมอกอยู่ภายใน ได้รับคาสั่งให้เคลื่อนเมฆโปรย พิรุณ “สมบัติใหญ่ของมนุษย์ แม้จะถูกเก็บซ่อนไม่ปรากฏชัดเจน แต่ กระนั้นก็ยังหามาได้ ลมหายใจก็คือหยางที่แท้จริง ของสิ่งนี้ทั้งเป็ น แก่นแท้ทั้งบริสุทธิ์ ผู้ฝึกตนหลอมรวมให้เป็ นกลุ่มก้อนอย่างช ้าๆ ก็ คือหยางบริสุทธิ์ (ฉุนหยาง) ของร่างกายตัวเอง นี่จึงเป็ นเหตุให้เมื่อ มีหยางบริสุทธิ์จึงเป็ นเซียน เมื่อมีหยินบริสุทธิ์จึงเป็ นผี มนุษย์นั้นอยู่ ระหว่างหยินและหยางระหว่างเซียนและผี จะเป็ นเซียนหรือเป็ นผีก็อยู่ แค่ที่การฝึกตน พิสูจน์จิตใจของตัวเอง หล่อหลอมจิตวิญญาณของ ตัวเอง เปลวเพลิงก็คือปราณหยาง ไฟก็คือสมบัติล้าค่าแห่งร่างกาย มนุษย์”
เซี่ยโก่วหัวเราะร่วน “เหตุผลนั้นเป็ นเหตุผลที่ดี แต่ออกจะเลื่อน ลอยเกินไปสักหน่อยฟังแล้วสับสนมึนงง ไม่สัมผัสฟ้ าไม่แตะโดนดิน”
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็เหมือนอย่างแม่นางเฉินผู้นี้ แม้ว่า จะไม่ใช่ผู้ฝึ กปราณในฐานะผู้ฝึ กยุทธเต็มตัว เรียนวรยุทธฝึ กวิชา หมัดกับวิถีแห่งการหลอมลมปราณนั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่ ผู้ฝึก ยุทธฝึกวรยุทธใช ้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์มาหล่อหลอมเรือนกาย ก็ เหมือนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งเดินลงน้า เลือดลมคือลาคลองสายยาวที่ กระแสน้าเชี่ยวกรากเส้นเอ็นและกระดูกคือเทือกเขาที่ทอดยาว อีกทั้ง ยังมองออกว่าอาจารย์ที่สอนหมัดให้กับแม่นางเฉินมีพรสวรรค์ด้าน การเรียนวรยุทธอย่างมาก โดยเฉพาะการใช ้ท่าหมัดผสานรวมกับ การหายใจ สามารถทาให้คนที่มองอยู่ด้านข้างได้เปิ ดหูเปิ ดตา เนื่องจากคนผู้นี้ได้สอนวิชาการหายใจสี่ชนิดที่แตกต่างกันอย่าง สิ้นเชิงให้กับแม่นางเฉิน นี่จึงเป็ นเหตุให้วิถีแห่งการโคจรลมปราณที่ แท้จริงต่างกันออกไปในยามกลางวันและกลางคืน ต่างกันไปตาม อากาศร ้อนอากาศหนาว ดังนั้นถึงได้สามารถกดขอบเขตไว้โดย ตลอดโดยที่ไม่ทาร ้ายร่างกายและจิตวิญญาณ กลับกลายเป็ นว่ายัง ทาให้ปณิธานหมัดยิ่งหนักแน่นเพราะเหตุนี้ หล่อเลี้ยงบารุงจิต วิญญาณทาให้ต่างไปจากคนปกติทั่วไป”
เฉินยวนจีอึ้งค้างอยู่กับที่ เส้นทางการโคจรลมปราณที่แท้จริงสี่ ชนิดซึ่งอาจารย์ผู้เฒ่าจูสอนให้กับนาง นางฝึกหมัดมานานหลายปี
ขนาดนี้ แน่นอนว่าย่อมรู ้ชัดเจนดี เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมี ความรู ้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ซุกซ่อนอยู่
หรือว่าที่ตนฝ่ าทะลุขอบเขตได้ช ้า อันที่จริงไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ คุณสมบัติของตัวเองที่นางคิดว่าแย่เกินไป? อาจารย์ผู้เฒ่าจูพูดมา โดยตลอดว่าคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธของนางดีมาก นั่นไม่ใช่
หลวี่เหยียนยิ้มรับ
ตอนนี้เซี่ยโก่วยังไม่รู ้ว่าเซียนอิสระแห่งพสุธาที่มีฉายาว่าฉุนห ยางผู้นี้ก็คือหนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้าในอนาคตในสายตาของ ปรมาจารย์มหาปราชญ์
เฉินผิงอันไม่ได้เดินไปตามเส้นทางเทพที่ผู้คนใช ้เดินไปจุดธูป คารวะ มุ่งตรงไปยังศาลที่อยู่บนยอดเขา แต่เดินเท้าขึ้นเขา ในมือถือ ไม้เท้าเดินป่า มุ่งหน้าไปยังยอดเขารองของภูเขาพีอวิ๋นอยู่ท่ามกลาง กลุ่มคนที่เดินขึ้นเขา ไม่ต่างอะไรจากปัญญาชนที่มาจุดธูปขอพร จากศาลเหวินชางของภูเขาลูกนี้แม้แต่น้อย
ในภูเขาพือวิ่นมีวัดวาอารามสิบกว่าแห่ง ปีนั้นราชสานักต้าหลี เคยเลือกหกภูเขาสิบวัดจากแผนที่ของในทวีป ล้วนเป็ นภูเขาที่มี ชื่อเสียงและวัดใหญ่ของลัทธิพุทธ หนึ่งในนั้นก็มีวัดก่วงฝูของ ภูเขาพือวิ๋น เป็ นวัดที่ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีมีพระราชโองการให้สร ้าง
ขึ้น เขียนกรอบป้ ายให้ด้วยตัวเอง ประทานจีวรและฉายาทางธรรมให้ แล้วยังเคยเรียกตัวให้เจ้าอาวาสเข้าเมืองหลวงไปเขียนคัมภีร ์อักษร ทอง
ตรงกึ่งกลางภูเขามีศาลาพักเท้าอยู่แห่งหนึ่ง กรอบป้ ายของศาลา เหมือนอยู่ติดกับขอบฟ้ า ริมหน้าผามีต้นสนโบราณ กิ่งต้นไม้ยื่น ออกไปข้างนอกเหมือนอยู่นอกฟ้ า
ด้านข้างมีเพิ่งน้าชา ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นคนหาบของที่จะมาแวะดื่ม น้าชาอยู่ในเพิ่งแห่งนี้ เฉินผิงอันจึงเลือกที่นี่ เงยหน้ามองก็เห็นว่าคน ที่จะจ่ายเงินค่าน้าชาให้มาแล้ว
ที่แท้เว่ยซานจวินก็มาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าต้องร่าย เวทอ าพรางตาท าให้คนธรรมดาจ าหน้าเขาไม่ได้
ซานจวินมหาบรรพตอุดรที่ชื่อเสียงเลื่องระบือไปไกลถึงต่างทวีป ผู้นี้มีร่างทองที่บริสุทธิ์ยิ่ง ตบะขอบเขตในทุกวันนี้เทียบเท่ากับ ขอบเขตเซียนเหริน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทั่วทั้งอาณาเขตของขุนเขาเหนือล้วน เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเว่ยป้ อ จึงสามารถมองเว่ยป้ อเป็ น ขอบเขตบินทะยานเกินครึ่งตัวได้เลย
เฉินผิงอันสั่งน้าชามาชามหนึ่ง เว่ยป้ อนั่งลงแล้วก็ถามแสกหน้า ทันที “ท าไมอาจารย์เสี่ยวโม่ถึงไม่ได้มาด้วยล่ะ? คงจะถูกเจ้าขุนเขา เฉินขัดขวางไว้อีกสินะ ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
เฉินผิงอันตอกกลับไปทันทีทันใด “เว่ยซานจวินจะจัดงานเลี้ยง ท่องราตรีอีกเมื่อไหร่ล่ะดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยได้ดื่มสุราเลิศรสใน จวนซานจวินสักครั้งเลยนะ ช่างเป็ นเรื่องน่าเสียดายในชีวิตจริงๆ จ าเป็ นต้องหาโอกาสชดเชยเสียหน่อยแล้ว”
ค าพูดเก่าแก่เอ่ยไว้ว่าอยู่นานท าให้คนรังเกียจ มาบ่อยต่อให้เป็ น ญาติใกล้ชิดก็ยังห่างเหิน
ภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาพือวิ่นกลับไม่มีความกังวลในเรื่องนี้
แต่อันที่จริงขุนนางหลักของกองงานต่างๆ ในจวนซานจวิน สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าเกือบสามสิบคนในทุกวันนี้ เฉินผิงอันกลับ ไม่รู ้จักเลยสักคน
“ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วมีสานักเบื้องล่างแล้ว หากว่าที่อุตรกุรุทวีปมี สานักเบื้องล่างอีกสักแห่ง ภูเขาลั่วพั่วและสานักกระบี่ชิงผิงก็ไม่ใช่ว่า จะได้เลื่อนเป็ นสานักดั้งเดิมและสานักเบื้องบนได้เลยหรอกหรือ?”
“เรื่องราวที่งดงามเช่นนี้ แค่คิดก็พอแล้ว”
“ถึงเวลานั้นหากมีพวกชอบสอดรู ้สอดเห็นมาทาการประเมิน ส านักใหญ่สิบแห่งในใต้หล้าไพศาลอะไรอีก ก็ต้องมีพื้นที่สาหรับพวก เจ้าแน่นอน”
“ “พวกเจ้า” อะไรกัน คาพูดนี้ช่างทาร ้ายความรู ้สึกกันยิ่งนัก ต้องพูดว่าพวกเราสิ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เรื่องของการขุดเจาะลาน้าใหญ่ที่ใบถงทวีป เริ่มมีเค้าลางแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะทาการก่อสร ้างกันแล้ว ข้าให้ทางฝัง ของสานักกระบี่ชิงผิงเว้นที่ว่างที่หนึ่งไว้ให้เจ้าจานวนเงินอยู่ที่หนึ่งพัน สี่ร ้อยถึงหนึ่งพันแปคร ้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช เจ้ามีความคิดอะไร หรือไม่? หากว่าคลังสมบัติของภูเขาพีอวิ๋นขาดแคลน ข้าสามารถ ช่วยส ารองจ่ายไปให้ก่อนได้”
สาหรับผู้ฝึกลมปราณโดยทั่วไปแล้ว เข้าร่วมการขุดเจาะลาน้า ใหญ่ บางทีอาจเป็ นการไปมาหาสู่ระหว่างทรัพย์สินเงินทองที่มีได้มี เสีย ถึงขั้นที่ว่ายิ่งทาเงินได้มากเท่าไรก็จะยิ่งอยู่ห่างไกลจากคุณ ความชอบมากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นจางจื๋อแห่งร ้านผ้าห่อบุญสกุล หลิวแห่งธวัลทวีป ต่างก็อยู่ในข้อนี้ แต่จะมากจะน้อยก็สามารถช่วงชิง โชควาสนาให้กับพรรคและตระกูลของใครของมันได้ เพียงแต่ว่าโชค วาสนาพวกนี้จะไม่มีการเคลื่อนย้ายถ่ายเทมากเกินไปนัก โดยทั่วไป แล้วมีแต่จะถูก “เบิก” จากโดยรอบลาน้าใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นว่าถูก ถ่ายโอนไปเป็ นโชคด้านการเงินที่จานวนไม่แน่นอนส่วนหนึ่ง ช่วยให้ กิจการของร ้านผ้าห่อบุญเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมาอย่างที่ มองไม่เห็น และนี่ก็เป็ นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ทาไมจางจื่อจะต้อง เปิดร ้านที่ท่าเรือทุกแห่งให้จงได้ ส่วนชิงถงแห่งหอสยบปีศาจที่มีความ เกี่ยวพันกับโชคชะตาของทวีปอย่างแนบแน่นนั้นคือข้อยกเว้น แต่ สาหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าแล้ว ล้วนเป็ นคุณูปการของแท้ แน่นอนที่มีติดตัว ถือว่ามีแต่กาไรไม่มีขาดทุน
เว่ยป้ อพยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะควักเงินตัวเองสองพัน เหรียญเงินฝนธัญพืชเอามารวบรวมให้ครบจ านวน”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “เว่ยซานจวินเอาเงินฝนธัญพืช ออกมารวดเดียวสองพันเหรียญโดยที่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครั้งเลย หรือ? คลังสมบัติของจวนซานจวินมหาบรรพตอุดรของพวกเราจะไม่ เท่าภูเขาเงินภูเขาทองเลยหรือ? ในเมื่อมาก็มาแล้ว ไม่สู้พาข้าไปเดิน เล่นเปิดหูเปิดตาเสียหน่อยสิ?”
เว่ยป้ อกระตุกมุมปาก “เป็ น “พวกเจ้า” ไม่ใช่ “พวกเรา”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พระอาทิตย์ตกภูเขาสายน้าสงบนิ่ง สายลมพัดผ่านต้นสนพากันส่งเสียง ขอให้ข้าได้เงี่ยหูฟังสักหน่อยว่า มันพูดว่าใช่หรือไม่ใช่?” เว่ยป้ อเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ชื่อเสียงในการแต่งกลอนขบขันและกวี รวมประโยคของเฉินอิ่นกวานโด่งดังมากพอแล้วนะ” “แต่เว่ยซานจวินมิอาจปฏิเสธได้ว่านี่สอดคล้องกับทัศนียภาพ อย่างยิ่ง” เว่ยป้ อพลันขมวดคิ้วน้อยๆ เฉินผิงอันถาม “มีอะไรหรือ?”
เว่ยป้ ออธิบาย “ภูเขาถั่วพัวของพวกเจ้ามีนักพรตพเนจรคนหนึ่ง มาเยือน ข้าถึงกับมองไม่ออกว่าตบะของอีกฝ่ ายตื้นหรือลึก แต่อีก ฝ่ายกลับสัมผัสได้ถึงการลอบแอบมองของข้าในทันที”
ในถ้วยชาเกิดไอหมอกกระเพื่อมขึ้นมาเผยให้เห็นภาพ เหตุการณ์หนึ่ง เห็นเพียงว่าที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วมีคนนั่ง ล้อมโต๊ะกัน คนหนึ่งในนั้นก็คือนักพรตวัยกลางคนที่มีกลิ่นอายความ เป็ นเซียน เพียงแต่ว่าภาพนี้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันเห็นแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ปกติมาก ผู้อาวุโสท่านนี้แช่หลวี่ นามเหยียน ฉายาว่า “ฉุนหยาง” คือผู้บรรลุมรรคาตามความหมายที่ แท้จริง คือผู้ที่พิสูจน์มรรคาได้อย่างสมชื่อเขาไม่ต้องการให้คนรู ้ ร่องรอยของตัวเอง อย่าว่าแต่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราหรือภูเขาพือวิ๋ นของพวกเจ้าเลย เกรงว่าต่อให้อยู่ที่ตีนเขาของภูเขาสู้ยซาน เสินจ วินโจวโหยวก็คงสัมผัสไม่ได้ เหมือนกัน”
เว่ยป้ อเอ่ยชื่นชม “ฉุนหยาง? มี “ฉายา” ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว หรือ คนทั่วไปมิอาจรับได้ไหวหรอกนะ”
เว่ยป้ อสารวจทะเลสาบหัวใจอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งก็ใช ้เสียงใน ใจถามว่า “ข้าจ าได้ว่าในประวัติศาสตร ์ของแคว้นหวงถิงเคยมี นักพรตคนหนึ่งโยนจอกเหล้าทิ้งไปในแม่น้า มันกลายเป็ นห่านฟ้ าสี ขาว (ป๋ ายหู) ตัวหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็คือฝีมือของฉุนหยางเจินเหรินผู้นี้นี่แหละ ปี นั้นเขากับเจ้าขุนเขาเฉิงล่องเรือท่องแม่น้าไปด้วยกัน เกิดแรง บันดาลใจเพราะความเมามาย นี่ถึงได้มีเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้า ป้ ายหูในภายหลังอย่างไรล่ะ”
เว่ยป้ อท าท่าจะพูดแต่ไม่พูด
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เกี่ยวกับนักพรตฉุนหยางที่ชอบออกมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ผู้ นี้ยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องเก่าแก่เรื่องหนึ่งด้วย
ในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ล้วนเป็ นเรื่องปีมะโว้ที่ประวัติศาสตร ์ถูกฝุ่ น เกาะมานานเหลือเกินแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเฟิงอี๋ที่ทุกวันนี้อยู่ในศาล เทพอัคคีของเมืองหลวงก็เคยมีเรื่องเล่าขานแห่งภูเขาสายน้าที่ว่า “เผาหญ้าอ้ายฉ่าวนาบหน้าผากมังกรหญิง
หรือยกตัวอย่างเช่นพื้นที่มงคลร ้อยบุปผาในอดีต เทพีบุปผา มากมายเคยช่วยเหลือบุรุษแซ่ชุยที่บนร่างแบกโชคชะตาไว้คนหนึ่ง ต้านทานเฟิงอื่
และคนผู้นี้ก็ได้กลายเป็ นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์ต้ายง มีความสัมพันธ ์ควันธูปกับพื้นที่มงคลร ้อยบุปผามาโดยตลอด จนถึง ทุกวันนี้ก็ยังมีความเคยชินที่ผู้คนจะทัดบุปผากันทั้งแคว้น
และช่วงแรกของศึกพิฆาตมังกร มังกรที่แท้จริงในใต้หล้า จวน วารีต าหนักมังกรส่วนใหญ่ก็เคยฝากความหวังให้ผู้บรรลุมรรคาคน หนึ่งให้ความช่วยเหลือ คนผู้นั้นก็คือฉุนหยางหลวี่เหยียน
เว่ยป้ อจึงไม่ชักถามอะไรมากอีก หันมาบ่นแทนว่า “ “แม่นาง น้อย” ที่ใช ้นามแฝงว่าเซี่ยโก่วผู้นี้ เจ้าคิดจะจัดการกับนางอย่างไร?”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง แล้วยังมี ชาติก าเนิดมาจากเผ่าปี ศาจแห่งเปลี่ยวร ้าง ลอยไปลอยมาอยู่ใน อาณาเขตของขุนเขาเหนือทุกวัน ท าให้เว่ยป้ อรู ้สึกสยดสยองอย่าง มาก
เป็ นเหตุให้จนถึงตอนนี้เว่ยป้ อก็ยังไม่ได้แพร่งพรายความลับให้ เหล่าขุนนางผู้ช่วยในจวนซานจวินทั้งหลายฟังว่า มีบุคคลเช่นนี้มา เตร็ดเตร่อยู่ที่อาเภอไหวหวง หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาอกสั่นขวัญผวา
เฉินผิงอันพูดตัดความเกี่ยวข้องโดยตรง “นางคือคนที่หลงรัก อาจารย์เสี่ยวโม่ของเจ้าจะมาบ่นอะไรกับข้า”
เว่ยป้ อกล่าว “เมื่อครู่ข้าคานวณบัญชีผิดไป ทุกวันนี้จวนซานจวิ นต้องใช ้เงินกับทุกเรื่อง ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว จะอย่างไรก็ยากจนนัก เงินฝนธัญพืชสองพันเหรียญคงต้องขอให้ฝ่ ายเฉวียนฝู่ ของภูเขาลั่ว พั่วช่วยส ารองไปให้ก่อน ข้าสามารถเขียนใบกู้ยืมได้”
เฉินผิงอันจึงได้แต่รับรองว่า “ทางฝั่งของเซี่ยโก่ว เดี๋ยวข้าจะ ควบคุมให้เอง จะไม่ปล่อยให้นางท าตัวเหลวไหลเด็ดขาด หากเกิด ข้อผิดพลาดใดๆ เจ้าก็มาหาข้าได้เลย”
เว่ยป้ อถาม “นักพรตฉุนหยางปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขาแล้ว เจ้ายังไม่รีบเผยกายไปรับรองแขกอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้องไปอยู่แล้ว แต่ไม่รีบร ้อน ขอให้ข้าได้ดื่ม น้าชากับเว่ยซานจวินสักถ้วยเถอะ เป็ นคนจะได้ใหม่แล้วลืมเก่า เกินไปไม่ได้”
นี่ก็เพราะมีความมั่นใจ ยามพูดจาถึงได้พูดได้เต็มปากเต็มคา
มีหมี่สี่น้อยช่วยรับรองแขก ไหนเลยจะต้องให้เจ้าขุนเขาอย่าง เขาไปเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร ไม่มีความจ าเป็ นเลยแม้แต่น้อย
หากแขกที่มาเยือนไม่ได้เป็ นขอบเขตบินทะยานขึ้นไป ภูเขาลั่ว พั่วของพวกเราไม่อยากจะให้ผู้พิทักษ์ขวาออกมาต้อนรับด้วยซ้า
แต่หากเปลี่ยนมาเป็ นนายท่านใหญ่เฉินหลิงจวิน ก็คอยดูเถอะว่า ข้าเฉินผิงอันจะร ้อนรนหรือไม่ รับรองว่าคงเผ่นแน่บเหมือนไฟลนก้น ไปที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วนานแล้ว
เฉินผิงอันดื่มชาไปสองถ้วยก็บอกเว่ยซานจวินว่าไม่ต้องไปส่ง แล้วจึงขอตัวลาจากไปอย่างสง่างาม
เฉินผิงอันมาถึงหน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว หลวี่เหยียนก็ลุก ขึ้นยิ้มเอ่ย “รบกวนแล้ว”
ทั้งสองฝ่ายขึ้นเขาไปด้วยกัน เดินขึ้นบันไดตรงไปที่ยอดเขา
หลวี่เหยียนพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “มีเรื่องจะขอร ้อง”
เฉินผิงอันเองก็พูดขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน ความหมายพอๆ กัน คือมีเรื่องจะขอร ้อง
หลวี่เหยียนยิ้มเอ่ย “เจ้าขุนเขาเฉินลองพูดมาก่อน”
เฉินผิงอันก็ไม่เกรงใจ เอ่ยทันทีว่า “บางทีอาจจะต้องขอยันต์อัคคี แผ่นหนึ่งจากท่านนักพรต ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”
หลวี่เหยียนกระจ่างแจ้งในใจ “เพื่อเรื่องการเดินลงน้าของงูหลาม ไฟชะตาปุ่นหรือ?”
เฉินผิงอันถามอย่างลังเลเล็กน้อย “หน่วนซู่น้อยบ้านข้า มรรคา ปรากฏที่หอจือหลันสกุลเฉาแคว้นหวงถิง หรือว่ามีความเกี่ยวข้องกับ ท่านนักพรต?”
หลวี่เหยียนลูบหนวดยิ้ม “ผินเต้าเคยวาดยันต์ไว้บนเสาคานต้น หนึ่งในหอหนังสือของดินแดนสู่แห่งนั้น ความตั้งใจเดิมคือแค่เอามา ใช ้ปกป้ องตารา เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่ใช่หอจือหลันอะไร ส่วนมัน ตกมาอยู่ในมือของสกุลเฉาได้อย่างไร คิดดูแล้วก็คงจะแค่เป็ นไปตาม โชคชะตาเท่านั้น”
เฉินผิงอันประสานมือขอบคุณ
หลวี่เหยียนโบกมือ “ไม่จาเป็ นต้องทาเช่นนี้
หลวี่เหยียนถามต่ออีกว่า “งูหลามไฟชะตาบุ๋นเดินลงน้าไม่ใช่ เรื่องง่ายเลย น้าและไฟเกิดมาก็ขัดแย้งกันเอง ยากจะผสานรวมกันได้ เจ้าขุนเขาเฉินมีแผนการอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม พริบตานั้นหลวีเหยียนก็ กวาดตามองไปรอบด้านคลี่ยิ้มบางๆ ที่แท้ได้มาอยู่ในแม่น้าแห่ง กาลเวลาที่กระบีบินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเฉินผิงอันสร ้างไว้นาน แล้ว จุดที่น่าประหลาดใจที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าสองฝากฝั่งล้วนเป็ นภูเขาที่ เกิดจากตัวอักษร ชะตาบุ๋นเปี่ยมล้น ภาพบรรยากาศไม่ธรรมดา
หลวี่เหยียนกล่าว “อาศัยรากฐานส่วนนี้ ในอนาคตเฉินหน่วนซู่ก็ เลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบได้อย่างสบายๆ ไม่จ าเป็ นต้องมียันต์อัคคี แผ่นนั้นของผินเต้า เพราะความต่างไม่ได้มากเท่าไร”
เห็นท่าทางเหมือนจะพูดแต่ไม่พูดของเฉินผิงอัน หลวี่เหยียนก็ยิ้ม เอ่ย “เดิมทีผินเต้าก็มาเพื่อขอร ้องคนอื่นอยู่แล้ว มีหรือจะขี้เหนียว ยันต์แค่แผ่นเดียว”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู ้ “ไม่ทราบว่าเรื่องที่ท่านนักพรตจะ ขอร ้องคือเรื่องใด?”
หลวี่เหยียนกล่าว “ช่วยปกป้ องมรรคาให้สักครั้ง”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ด้วยขอบเขตของผู้เยาว์ในทุกวันนี้ จะรับหน้าที่นี้ได้จริงๆหรือ?”
หลวี่เหยียนพยักหน้า “ตอนนี้ผินเต้าไม่กังวลเลยสักนิดว่าเจ้า ขุนเขาเฉินจะรับหน้าที่ได้หรือไม่ กลัวก็แต่ว่าเจ้าขุนเขาเฉินปกป้ อง มรรคาอย่างทุ่มเทกายใจมากเกินไป กลับกลายเป็ นว่าตัวผินเต้าเอง ไม่มีเรื่องอะไรให้ทา”
เฉินผิงอันถาม “ท่านนักพรตช่วยอธิบายเรื่องปกป้ องมรรคา อย่างละเอียดได้หรือไม่?”
หลวี่เหยียนยิ้มกล่าว “ไม่รีบร ้อน ยังต้องรอแรงไฟอีกหน่อย”
เฉินผิงอันเก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มมา หลวี่เหยียนก็ หยิบยันต์สองแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันเอ่ย “แค่แผ่นเดียวก็พอแล้ว”
หลวี่เหยียนยิ้ม “ถือเสียว่าเรื่องดีมาเป็ นคู่ ยันต์อัคคีมอบให้เฉิน หน่วนขู่ ส่วนยันต์วารีอีกแผ่นหนึ่งนั้นมอบให้ผู้พิทักษ์ขวาของพวก เจ้า”
ตอนนั้นอยู่ที่ท่าเรือชิงชานภูเขาเซียนตู แม่นางน้อยชุดด าก า เชือกของกระเป๋ าสะพายเอาไว้แน่น เพราะคิดไม่ตกว่าควรจะเอาปลา แห้งถุงนั้นออกมารับรองแขกดีหรือว่าจะเก็บไว้ให้หมี่อวี้ดี เครียดจน เหงื่อซึมเต็มหน้าผากโดยที่ไม่รู ้ตัว นางขมวดคิ้วยู่หน้าอยู่ตลอดเวลา
ทาให้หลวี่เหยียนไม่รู ้ว่าควรจะหัวเราะหรือร ้องไห้ดี แล้วก็ไม่สะดวกจะ เปิดปากพูดให้อีกฝ่ายเก็บปลาล าธารตากแห้งเอาไว้ด้วย
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ ายก็ไปยืนพิงราวรั้ว เฉินผิงอันขอความรู ้ เรื่องการฝึกตนบางส่วนมาจากฉุนหยางเจินเหริน
ลมหนาวไปจากฟ้ าดิน ขุนเขาเขียวเหมือนกาลังคลี่ยิ้ม ยืนอยู่ เหนือยอดของกลุ่มเทือกเขา จึงได้สัมผัสสายลมอันแรงกล้า