กระบี่จงมา - บทที่ 984.1 ผู้ที่มีความกังวลคลายความกังวลด้วยตัวเอง
เดินเท้ากลับไปด้วยกัน เดินไปบนสะพานหินโค้ง ขึ้นบันไดไป เฉินผิงอันเดินไปถึงตรงกลางของสะพานก็พลันหยุดเดิน นั่งลง สอง เท้าห้อยอยู่นอกสะพาน
เด็กชายผมขาวจึงนั่งลงด้านข้างเอาอย่างเขา
เฉินผิงอันหันไปมองทางภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนว่าหมี่ลี่น้อยเพิ่งจะ ลาดตระเวนภูเขาไปถึงศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อ นางเดินไม่ เร็วนัก
ความขยันหมั่นเพียรในการลาดตระเวนภูเขาของผู้พิทักษ์ขวา ภูเขาลั่วพั่ว เช ้าเย็นสองรอบนั้นขึ้นชื่อว่าต่อให้ฟ้ าผ่าก็ไม่สะเทือน ไม่ เคยมีวันใดที่จะนอนขี้เกียจไม่ยอมตื่น
ก็เหมือนการมาขานชื่อตามเวลาทุกเดือนของเด็กชายชุดสีชาด ที่คิดว่าเมื่อเทียบกับการลาดตระเวนภูเขาทุกวันของรองหัวหน้าโจว แล้ว ตัวเองยังห่างชั้นอยู่อีกมาก ระหว่างที่ลาดตระเวนภูเขา รอบด้าน ไร ้ผู้คน หมี่ลี่น้อยก็จะเริ่มแสดงเคล็ดวิชาแห่งยุทธภพ ก็คือวิชากระบี่ มารคลั่งที่เผยเฉียนถ่ายทอดให้ เพียงแต่ว่าเผยเฉียนถือกระบี่ด้วยมือ เดียว นางกลับไม่เหมือนกัน มือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่ า อีกมือหนึ่งถือ คานหาบสีทอง สองมือถือกระบี่ พลานุภาพเพิ่มขึ้นเป็ นเท่าตัว!
อย่าได้อิจฉา อิจฉาไม่ได้หรอก เพราะนี่เรียกว่าบุคคลที่ประสบ ความส าเร็จได้ด้วยการศึกษาด้วยตนเอง
จากนั้นก็จะไปที่ริมลาธาร แหวกก้อนหินออกหาปูและกุ้งมาเล่น ทายหมัดด้วย ไม่มีความหมายอะไร เพราะมักจะชนะอยู่เสมอ ไม่มี อะไรให้ต้องลุ้น การกระทานี้ออกจะเด็กน้อยอยู่บ้างจริงๆ ไม่เข้าท่านัก
คราวหน้าจะไม่รังแกแม่ทัพผู้พ่ายที่เป็ นลูกน้องพวกนั้นอีกแล้ว ไปจับปลาดีกว่า ทูตตระเวนภูเขาผู้นี้ออกกระดาษก่อน จากนั้นกดที่ หน้าท้องของปลาเบาๆ หนึ่งที ปลาน้อยก็อ้าปากออก นี่ก็คือหมัดแล้ว เฮ้อ ชนะได้อย่างมั่นคงอีกแล้ว
ตอนที่เจ้าขุนเขาคนดีไม่อยู่ที่บ้าน การลาดตระเวนภูเขาของหมี่ ลี่น้อยก็จะเดินเร็วหน่อย มักจะวิ่งไปวิ่งมาเสมอ
เจ้าขุนเขาคนดีอยู่บ้าน การลาดตระเวนภูเขาก็จะเดินช ้าๆ เดิน อย่างสบายอารมณ์ ไม่รีบร ้อนแม้แต่น้อย เสียเวลาอยู่บนเส้นทาง ภูเขาอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว
ราวกับว่าขอแค่นางวิ่งได้เร็ว เจ้าขุนเขาคนดีก็จะกลับมาบ้านได้ เร็วหน่อย
ถ้าอย่างนั้นก็หลักการเดียวกัน ขอแค่นางเดินได้ช ้าหน่อย เจ้า ขุนเขาคนดีก็จะลงจากภูเขาออกเดินทางไกลไปช ้าหน่อย
เฉินผิงอันยิ้มพลางถอนสายตากลับมา ยกเท้าขึ้นถอดรองเท้า ออก นั่งขัดสมาธิ ดีดดินโคลนเล็กน้อยที่ติดอยู่ใต้รองเท้า จากนั้นปัด ผิวของรองเท้าผ้าสองสามทีเบาๆ ถามว่า “วิชาหมัดเล่มนั้น?”
เด็กชายผมขาวคล้ายจะรู ้ใจของบรรพบุรุษอิ่นกวานเป็ นอย่างดี เอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ “ขอแค่ไม่ถูกน้ามันหมูบด บังหัวใจ มอบให้ร ้านหนังสือของล่างภูเขาเอาไปจัดพิมพ์ ไม่เอาไป ขายเพื่อหาเงินมาก็พอ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พูดเรื่องเป็ นการเป็ นงานหน่อย”
การที่ทาเนียบหยกทองบนภูเขามีสองคาว่า “หยกทอง’ ก็ เพราะว่ามีความหมายแฝงอยู่สองชั้น ชั้นแรกเป็ นในเชิงทฤษฎีอย่าง หนึ่ง นั่นคือต้องการเตือนผู้ฝึกตนว่าสถานะบนทาเนียบที่ได้มานั้นไม่ ง่าย อีกชั้นหนึ่งเป็ นสิ่งที่จับต้องได้จริง ตาราหยกทาเนียบทอง ตัววัสดุ ที่ใช ้ก็มีความพิถีพิถันประณีตอย่างยิ่ง และตาราหมัดเล่มนั้นก็ เหมือนกับคัมภีร ์ล้าค่าที่สืบทอดกันอย่างลับๆ ของสานัก กระดาษที่ เป็ นวัสดุธรรมดาทั่วไปมิอาจรองรับปณิธานหมัดที่เข้มข้นส่วนนั้น เอาไว้ได้ พูดง่ายๆ ก็คือการพิมพ์ซ้าไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างมากสุดก็ได้ แค่สร ้างตาราหมัดที่เป็ นระดับรองของผลงานจริงขึ้นมาเท่านั้น ไม่แน่ ว่าเฉินผิงอันอาจยังจาเป็ นต้องให้สร ้างตราผนึกขุนเขาสายน้าให้หนา ชั้นด้วย
หากจะให้ยกตัวอย่าง ตาราหมัดเล่มนี้ก็คือภูเขาลูกหนึ่ง ในภูเขา มีกลิ่นอายแห่งมรรคา จ าเป็ นต้องใช ้ค่ายกลพิทักษ์ภูเขามาสร ้าง
ความมั่นคงให้กับปราณวิญญาณฟ้ าดินไม่ถึงขั้นทาให้ปณิธานหมัด ในต าราไหลกระจายหายไปข้างนอก
เด็กชายผมขาวเอ่ย “นอกจากบรรพบุรุษอิ่นกวานที่จะศึกษา ฝึกฝนด้วยตัวเอง ในอนาคตลูกศิษย์สองสานักที่มาจากภูเขาลั่วพั่ว และภูเขาเซียนตู ไม่ต้องสนว่าจะเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดแท้ๆ ของบรรพ บุรุษอิ่นกวานอย่างเผยเฉียน จ้าวซู่เซี่ย หรือจะเป็ นลูกศิษย์ของลูก ศิษย์อย่างโจวจวิ้นเฉิน หรือจะเป็ นการแตกกิ่งก้านสาขาในอนาคต ลูกศิษย์รุ่นที่สาม บวกกับรุ่นที่สี่ห้าหกเจ็ด ขอแค่มีสถานะเป็ นลูกศิษย์ ผู้สืบทอดอยู่บนท าเนียบก็ล้วนสามารถเปิดอ่านตาราหมัดวิชานี้ได้ แต่มิอาจน าไปแพร่งพรายข้างนอก ไม่อาจเอาหมัดออกไปสอนให้กับ คนนอก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถือว่าข้าติดค้างน้าใจเจ้าครั้งหนึ่ง”
แค่มองก็รู ้ว่าไม่ได้เป็ นคาสั่งของอู๋ช่วงเจี้ยง เจ้าตาหนักอู๋ไม่มี อารมณ์สุนทรีมากขนาดนั้น ต้องเป็ นความคิดของลูกศิษย์นักการที่ อยู่ข้างกายผู้นี้เองแน่นอน
แน่นอนว่าบางทีอู๋ช่วงเจี้ยงอาจจงใจ จงใจให้เฉินผิงอันติดค้าง นาง ไม่ใช่ภูเขาลั่วพั่วติดค้างเขาและต าหนักสุ่ยฉู อย่างแรกจะมี หรือไม่มีก็ได้ อย่างหลับกลับไม่มีความจ าเป็ นเลยแม้แต่น้อย
เด็กชายผมขาวกลอกตาเร็วจี๋ ถามหยั่งเชิงว่า “บรรพบุรุษอิ่นก วาน ข้ามีข้อเสนอแนะที่ถือเป็ นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่ง ไม่รู ้ว่า ควรจะพูดดีหรือไม่”
หากว่าเป็ นในอดีต คุยมาถึงตรงนี้ก็สามารถยุติได้แล้ว แต่ถึง อย่างไรก็เอาผลประโยชน์มาจากคนอื่นเขา เฉินผิงอันจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไหนลองว่ามาสิ”
เด็กชายผมขาวมีสีหน้าสดใส เอ่ยว่า “ในฐานะลูกศิษย์นักการ ฝ่ ายนอก และข้าเองก็เป็ นส่วนหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว ตามหลักแล้วควร จะทุ่มเทสุดความสามารถอันน้อยนิดที่มี จึงอยากจะทุ่มเทสติปัญญา ทั้งหมดจนถึงที่สุดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทางานไม่หยุดพักทั้งกลางวัน กลางคืน เรียบเรียงชีวประวัติตามลาดับปีปฏิทินที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ ใช ้ถ้อยค าสละสลวยงดงาม เต็มไปด้วยสีสันวิจิตรตระการตาให้กับ บรรพบุรุษอิ่นกวานและเหล่าลูกพี่ใหญ่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้ เช่อของภูเขาลั่วพั่ว!”
ปัญญาชนล่างภูเขาและพรรคบนภูเขาต่างก็มีความเคยชินใน การเรียบเรียงชีวประวัติตามล าดับปีปฏิทิน ฝ่ ายแรกมักจะเป็ นคนรุ่น หลังที่บันทึกเรื่องราวในชีวิตของปราชญ์ผู้ล่วงลับในตระกูล เรื่องที่ เขียนล้อมวนอยู่รอบเจ้าของชีวประวัติเป็ นหลักแล้วขยายออกไป ใช ้ ยุคสมัยเป็ นแกนหลัก ฝ่ ายหลังก็คล้ายคลึงกัน แต่ขอบเขตกลับกว้าง ยิ่งกว่า อิงตามกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นจากความเคยชินของผู้คน ส านัก ชั้นสูงสามารถบันทึกประวัติของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหมดเอาไว้
ได้ สานักทั่วไปและจวนเซียนที่ค่อนข้างใหญ่จะบันทึกแค่เรื่องของผู้ ฝึกตนโอสถทอง ส่วนพรรคทั่วไปจะบันทึกเรื่องของผู้ฝึกลมปราณห้า ขอบเขตกลางที่มีขอบเขตถ้าสถิตเป็ นหนึ่งในนั้น สรุปก็คือล้วนมี ธรณีประตูที่กาหนดไว้แน่นอน
แน่นอนว่าภูเขาลั่วพั่วสามารถทาเรื่องนี้ได้นานแล้ว การที่ไม่ได้ ขยับพู่กันลงมือเขียนเสียที หลักๆ แล้วเป็ นเพราะเจ้าขุนเขาไม่พูดถึง ทุกคนจึงแสร ้งทาเป็ นว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่
คนที่ถือพู่กันจะค่อนข้างคล้ายคลึงนักประวัติศาสตร ์หรือไม่ก็ฉี่จ วีหลาง (เป็ นชื่อ ตาแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการบันทึกการกระท าประจ าวันของฮ่องเต้และเรื่องใหญ่ๆ ของ บ้านเมือง) ส่วนใหญ่มักจะเป็ นผู้ฝึกตนสายของผู้คุมกฏที่จัดการเรื่อง นี้
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา ก้มหน้าเริ่มควักชายแขนเสื้อ
คืนต าราหมัดไปก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้า
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนม้านั่งของตรอกฉีหลง พวกเราสองคนก็มี บัญชีเก่าบัญชีหนึ่งที่ต้องคิดกัน
เด็กชายผมขาวรีบใช ้สองมือกุมแขนของบรรพบุรุษอิ่นกวาน เอาไว้ “อย่าทาแบบนี้สิอย่าทาแบบนี้ เรื่องของการเรียบเรียงชีวประวัติ ตามล าดับปีปฏิทินไม่ต้องรีบร ้อนเสียหน่อยบรรพบุรุษอิ่นกวานยังไม่ ต้องรีบมอบสมุดเปล่าให้ข้าตอนนี้หรอก”
เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นยืน เด็กชายผมขาวหยิบรองเท้าผ้า ข้างหนึ่งที่บรรพบุรุษอิ่นกวานวางไว้อย่างเป็ นระเบียบตรงกลาง ระหว่างพวกเขาสองคนขึ้นมาเพ่งมองอย่างละเอียด “ฝี มือดียิ่งนัก มองออกว่าตั้งใจอย่างมาก”
เฉินผิงอันหยิบรองเท้ากลับมาวางต าแหน่งเดิม คล้ายกับว่า เปลี่ยนความคิด เอ่ยว่า “การเรียบเรียงชีวประวัติตามลาดับปีปฏิทิน อยู่บนภูเขาไม่ใช่เรื่องเล็ก ครั้งหน้าในการประชุมศาลบรรพจารย์ ข้า จะนาเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุม หากว่าไม่มีใครมีความเห็นต่างก็จะ ให้เจ้ารับหน้าที่เป็ นคนเรียบเรียง”
เด็กชายผมขาวได้คืบแล้วเริ่มจะเอาศอก ถามหยั่งเชิงว่า “เรียบ เรียงชีวประวัติตามล าดับปีปฏิทินของภูเขาลั่วพั่ว สามารถลงนาม ของข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันเริ่มควักชายแขนเสื้ออีกครั้ง
เด็กชายผมขาวตบสะพานหิน เอ่ยเสียงกลัดกลุ้ม “ช่างเถอะๆ ท า เรื่องดีไม่ควรทิ้งนาม”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ให้เจ้าเรียบเรียงชีวประวัติ ตามล าดับปีปฏิทินของภูเขาได้ไม่มีปัญหา ข้ามีข้อเรียกร ้องแค่สอง ข้อ ข้อแรกตัวอักษรต้องเรียบง่ายไม่เติมแต่งถ้อยคากระชับสั้น เรื่องราวต้องเป็ นความจริง ห้ามปกปิดข้อบกพร่องด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา แล้วก็หลีกเลี่ยงเอ่ยนามผู้สูงศักดิ์ ข้อเรียกร ้องอย่างที่สองให้
เริ่มต้นตอนที่ข้าอายุสิบสี่ปี ให้เป็ นบทเริ่มต้นของชีวประวัติตามลาดับ ปีปฏิทิน เรื่องราวก่อนหน้านั้นเจ้าไม่ต้องเขียนแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรให้ เขียนด้วย”
เด็กชายผมขาวพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวสาร สอง มือถูกัน เตรียมจะแสดงฝี มืออันยิ่งใหญ่อย่างเต็มที่ เมื่อมีคุณ ความชอบนี้ เป็ นหัวหน้าสาขาอะไรนั่นก็ไม่ใช่แค่เอื้อมมือคว้าหรอก หรือ?
เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่พูดถึงเรื่อง นี้ขึ้นมาเอง อันที่จริงข้าก็จะเป็ นฝ่ ายเตือนเจ้าเองอยู่แล้ว สามารถลง นามในชีวประวัติตามล าดับปีปฏิทินได้”
เด็กชายผมขาวหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด ใช ้สองมือเกาหัว “เป็ นข้า ที่วาดงูเติมขาเองดูแคลนความใจกว้างของบรรพบุรุษอิ่นกวาน ต้องโทษข้า ไม่โทษใจแคบเป็ นไส้ไก่ของบรรพบุรุษอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “หากเจ้ายังกวนโอ้ยแบบนี้อีก ก็อย่าหวังว่า จะได้ลงนามเลย”
เด็กชายผมขาวเก็บสีหน้าทันใด ยึดเอวตรง หันหน้าไปมองภูเขา ใหญ่ทางทิศตะวันตกถามอย่างใคร่รู ้ “ภูเขาเจินจูลูกนั้นใช ้เงินเหรียญ ทองแดงแก่นทองซื้อมาเหรียญเดียวจริงๆหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เพราะเจ้าขอบเขตสูงถึงได้มองความลี้ลับที่ ซ่อนอยู่ออก ช่วงแรกเริ่มสุดนั้น ใครจะยินดีจ่ายเงินอย่างเปล่า ประโยชน์ ซื้อเนินเขาเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรแห่งนี้ล่ะ”
เด็กชายผมขาวเอ่ยถาม “มียอดฝีมือคอยชี้แนะบรรพบุรุษอิ่นก วานอย่างลับๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนนั้นข้ารู ้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาเจินจู ฟังแล้วเหมาะสมคู่ควรกันดี”
“อีกอย่างก็คือภูเขาเจินจูอยู่ใกล้เมืองเล็กมากที่สุด ง่ายที่คนใน เมืองเล็กจะมองเห็นมากที่สุด อีกทั้งคิดจะเข้ามาในภูเขาลั่วพั่ว ภูเขา เจินจูก็คือสถานที่ที่ต้องผ่าน ข้าอยากอาศัยโอกาสนี้ ใช ้วิธีการที่ไม่ ต้องเปิดปากพูดเสียงดังมาบอกกับคนทั้งเมืองเล็กเงียบๆ ว่าเฉินผิงอัน แห่งตรอกหนีผิง ทุกวันนี้มีเงินแล้ว พวกเจ้าดีใจหรือไม่ดีใจ จะสนใจ หรือไม่สนใจ ก็ล้วนต้องยอมรับความจริงที่เป็ นเรื่องจริงแท้แน่นอนนี้”
“คากล่าวนี้ ถือว่านอกเรื่อง เจ้าอย่าได้เขียนลงไปในชีวประวัติ ตามล าดับปีปฏิทิน”
เด็กชายผมขาวไม่มีสีหน้าทะเล้นอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่พยัก หน้าตอบตกลง
บางทีชีวิตคนอาจไม่มีการร่วมทุกข์ร่วมยินดีที่แท้จริง ก็น่าจะ เหมือนคนสองคนที่เป็ นฟ้ าดินสองแห่ง
ต่างคนต่างมีความคิด เจ้ายินยอมข้าพร ้อมใจ สิ่งหนึ่งเพิ่มสิ่งหนึ่ง ลด ท าให้โลกมนุษย์ไม่มีที่ให้จัดเตรียม
เด็กชายผมขาวอยู่ในตรอกฉีหลงมานานมากแล้ว ส าหรับประวัติ การร่ารวยของเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่ว ย่อมรู ้ชัดเจนดีมาก เฉินหลิง จวินมักจะไปดื่มเหล้าผายลมกับเจี่ยเฉิงเป็ นประจา คนหนึ่งคือ เด็กชายชุดเขียวที่มักจะพร่าพูดว่าลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญ ในวันวาน คนหนึ่งคือนักพรตเฒ่าที่ความสามารถในการประจบ สอพลอเข้าขั้นชานาญ มักจะบ่นว่าบนโต๊ะเหล้าไม่มีคนนอกอยู่สัก หน่อย ความองอาจผึ่งผายของเจ้าและข้าสองพี่น้องในวันวาน ความ ยากลาบากที่พบเจอนั้นไม่ได้ผ่านกันมาง่ายๆ มิอาจบอกกล่าวแก่คน นอกได้ หรือว่าจะยังเอามากินแกล้มเหล้าไม่ได้อีก?
ดังนั้นเด็กชายผมขาวก็จะนั่งตรงธรณีประตู แทะเมล็ดแตงพลาง ฟังตัวตลกทั้งสองคุยโม้แล้วก็ชมกันเองไปส่งเดช บางครั้งดื่มเหล้าเมา แล้วยังมีกุมหัวร ้องไห้เสียงดังด้วย เป็ นการร ้องไห้จริงๆ หนึ่งคนแก่ หนึ่งเด็กนั่งกันอยู่ใต้โต๊ะ ร ้องเสร็จแล้วก็หาเหล้าดื่มใหม่
ดูเหมือนว่าปีนั้นเฉินผิงอันจะอายุสิบสี่ปี
หลังจากนั้นก็ซื้อภูเขาฮุยเหมิงที่เป็ นเพื่อนบ้านทางทิศเหนือของ ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาหนิวเจี่ยวที่ร ้านผ้าห่อบุญของแจกันสมบัติทวีปเป็ น ฝ่ ายถอนตัวออกไปเอง ภูเขาจูชาที่สกุลสวีนครลมเย็นเป็ นฝ่ ายละทิ้ง นอกจากนี้ยังมีภูเขาหลังอ าวและยอดเขาเว่ยเสีย รวมไปถึงหอบูชา กระบี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของกลุ่มภูเขาด้วย บวกกับผ่านการ
สานสะพานความสัมพันธ ์จากเฉินหลิงจวินก็ได้ซื้อภูเขาหวงหูมาอีก ลูกหนึ่ง
นี่ถือเป็ นพื้นที่อิทธิพลที่ภูเขาลั่วพั่ว “ขยับขยาย” เป็ นครั้งที่สอง ภูเขาลั่วพั่วจึงได้ครอบครองภูเขาใต้อาณัติสิบเอ็ดลูก
ต่อจากนั้นมาก็เป็ นภูเขาที่มีเนินจ้าวตู๋เป็ นหนึ่งในนั้นที่ถือเป็ น การ “รวบรวมก าลังคนแล้ว
เด็กชายผมขาวถามอย่างระมัดระวัง “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ภูเขา สามลูกที่มีภูเขาเป๋ าลู่เป็ นหนึ่งในนั้น ทุกวันนี้เป็ นอย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ไม่นานสานักกระบี่หลงเฉวียนเปลี่ยนเจ้าสานัก กะทันหัน กลายมาเป็ นหลิวเสี้ยนหยางที่เป็ นเจ้าสานักแทน ผลคือ พวกเขาย้ายส านักจากไป แม้แต่ภูเขาบรรพบุรุษก็เอาไปด้วย แต่ ภูเขาทั้งสามลูกนั้นล้วนไม่ได้แตะต้อง
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจ่ายเงินฝนธัญพืชยี่สิบเจ็ดเหรียญ เท่ากับ ว่าเช่าภูเขาสามลูกกลับมาจากสานักกระบี่หลงเฉวียนเป็ นเวลาสอง ร ้อยเจ็ดสิบปี”
เด็กชายผมขาวกลอกตามองบน รู ้สึกว่ามารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่ ถอดกางเกงเพื่อผายลมหรอกหรือ หร่วนฉงผู้นั้นสมองมีรูหรืออย่างไร …
มิน่าเล่าเฉินหลิงจวินจึงมักจะคุยโวว่าตัวเองเป็ นสหายต่างวัยของ อริยะหร่วนที่แค่พบเจอก็เหมือนรู ้จักกันมานาน ที่แท้ก็เป็ นคนบน เส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “เจ้ากลับร ้านที่ตรอกฉีหลงไปเถอะ ข้าจะเดินเลียบล าคลองหลงซวี เลือกเส้นทางใกล้ๆ กลับไปที่ภูเขาลั่ว พั่ว”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เดินเลียบลาคลองหลงซวีตอนบนไป ระหว่างนั้นได้ผ่านก้อนหินหน้าผาที่คนในท้องถิ่นเรียกว่าหลังวัวดา จากนั้นก็อ้อมเส้นทาง ผ่านภูเขาเจินจูที่ไม่เคยมีการก่อสร ้างใดๆ แล้ว จึงเดินเท้าเข้าไปในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก เฉินผิงอันไม่ได้ตรง กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาเตรียมจะไปที่ยอดเขาอีไต้ก่อน ญาติ ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง ลงจากภูเขาแล้วค่อยไปเยี่ยมเยือน เกาะจูไชที่ภูเขาหลังอ๋าว เรือฟานโม่ลานั้นและยังมีร ้านที่ผ้าห่อบุญ ภูเขาหนิวเจี่ยวทิ้งไว้ ตลอดหลายปีมานี้อันที่จริงล้วนเป็ นหลิวจ้งรุ่น และผู้ฝึ กตนหญิงบนท าเนียบของเกาะจูไซที่ช่วยจัดการให้มาโดย ตลอด
จะว่าไปแล้วก็แปลก สาหรับกาไรจากเงินเทพเซียนที่มีจานวนน่า ตะลึงเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่สานัก กระบี่ชิงผิงได้รับมา ลาพังแค่เงินฝนธัญพืชที่สกุลหลิวธวัลทวีปมอบ ให้ก็มีมากขนาดนั้น แต่เฉินผิงอันมิอาจบอกได้ว่าไม่ตกตะลึงระคน ยินดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นเก็บมาใส่ใจมากเกินไป แต่สาหรับรายได้ที่เป็ นน้า
เส้นเล็กไหลยาวไม่ว่าจะเส้นใดก็ตาม ต่อให้จะน้อยแค่ไหน เฉินผิงอัน กลับใส่ใจมากเป็ นพิเศษ
แต่ความคิดเช่นนี้เฉินผิงอันไม่ได้บอกกับใคร ถึงอย่างไรพูดไป แล้วก็คงได้ยินแต่ค าประจบอีกยาวเหยียดแน่นอน
ทว่าหากหลิวเสี้ยนหยางได้ยินเข้า ต้องยิ้มด่าหรือไม่ก็เอ่ย สัพยอกแน่ๆ ว่า ตอนเด็กเจ้ายากจนจนกลัวเสียแล้ว ไม่มีแนวคิดต่อ เงินก้อนใหญ่ แค่รู ้สึกว่าเงินก้อนเล็กถึงจะเป็ นของจริง
แรกเริ่มสุดในแจกันสมบัติทวีป ทุกครั้งที่บนภูเขามีการพูดถึง ประวัติความร่ารวยของเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ล้วนหนีไม่พ้น ภูเขาพีอวิ๋นมหาบรรพตอุดรและสานักกระบี่หลงเฉวียน พูดให้ถูกต้อง ก็คือ หนีไม่พ้นเว่ยป้ อและหร่วนฉง
ทางตะวันตกของเมืองเล็กซึ่งรวมไปถึงภูเขาพีอวิ๋นมหาบรรพต อุดรเป็ นหนึ่งในนั้น เคยมีภูเขารวมทั้งสิ้นหกสิบสองลูก แน่นอนว่า ต่างก็มีเจ้าของนานแล้ว
การที่บอกว่าเคย สาเหตุก็เพราะหร่วนฉงอริยะสานักการทหาร คนสุดท้ายที่เฝ้ าพิทักษ์ถ้าสรรค์หลีจู ได้ปลดประจาการออกจาก ต าแหน่งเจ้าสานัก ยกตาแหน่งให้กับหลิวเสี้ยนหยางผู้เป็ นลูกศิษย์
จากนั้นสานักกระบี่หลงเฉวียนก็ย้ายภูเขาของบ้านตัวเองทั้งหมด ซึ่งมีภูเขาเสินซิ่วที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ ภูเขาเที่ยวเติง ยอดเขาเหิง ชั่วไปไว้ในอาณาเขตของเมืองหลวงซึ่งเป็ นที่ตั้งเก่าของมหาบรรพต
อุดรทางทิศเหนือ แต่ทิ้งภูเขาสามลูกที่เคยเช่าจากภูเขาถั่วพัวเอาไว้ ในสายตาของคนนอกเดาว่านี่อาจเป็ นความต้องการของสกุลซ่งต้า หลี ไม่ยินดีให้สองส านักอยู่ติดกันมากเกินไป ป้ องกันไม่ให้เกิด สถานการณ์ที่เสือสองตัวมิอาจอยู่บนภูเขาลูกเดียวกันได้ หรือไม่ ระหว่างภูเขาทั้งสองลูกก็เกิดช่องว่างบางอย่างที่คนนอกมิอาจล่วงรู ้ได้ จริงๆเพราะถึงอย่างไรหากข่าวลือที่แพร่ออกมาไม่ผิด เฉินผิงอัน บุคคลยอดเยี่ยมที่มีชื่อเสียงขึ้นมาในภายหลังซึ่งมีชาติกาเนิดจากถ้า สวรรค์หลีจูผู้นี้ เคยทางานระยะสั้นอยู่ในร ้านหลอมกระบี่ริมลาคลอง หลงซวีมาก่อน แต่เขาทั้งไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองสานักของ สานักกระบี่หลงเฉวียน แม้แต่เรื่องที่เพื่อนรักหลิวเสี้ยนหยางรับหน้าที่ เป็ นเจ้าส านักก็ไม่เคยปรากฏตัวและทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วนี้ แรกเริ่ม ที่ก่อตั้งประตูภูเขาก็ไม่ได้เชิญสานักกระบี่หลงเฉวียนเช่นกัน หลังจากนั้นได้กระโดดเลื่อนเป็ นสานักอักษรจง ก็ไม่เคยเชิญหร่วน ฉง ว่ากันว่าตอนนั้นมีแค่หลิวเสี้ยนหยางคนเดียวที่ปรากฏตัวบนยอด เขาจี้เซ่อ…