กระบี่จงมา - บทที่ 982.4 คนรุ่นหลังน่าหวาดกลัว
จากนั้นฟู่ หูก็โยนคันเบ็ดลงน้าอีกครั้ง สังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนี่ไม่ คิดจะกลับไปนั่งตกปลาต่อก็อดไม่ไหวยิ้มเอ่ยว่า “พี่ชาย วางใจเถอะ อีกเดี๋ยวเมื่อข้าเก็บคันเบ็ดแล้วจะต้องให้เจ้าได้เลือกปลาที่ตัว ค่อนข้างใหญ่ไปสองตัว เจ้าเอาแต่จ้องข้าแบบนี้ทาไม กลัวว่าข้าจะ หิ้วข้องวิ่งหนีไปหรือ? ข้าไม่ทาแบบนั้นหรอก”
บุรุษที่นั่งยองอยู่ด้านข้างกลับยิ้มเอ่ย “ตกปลามีอยู่สามขอบเขต คนชอบตกปลา ตกปลาไม่ได้ ทุกครั้งที่ตกปลามักจะกลับไปพร ้อม ผลเก็บเกี่ยวเต็มสองมือเสมอ ตกปลาก็แค่ตกปลา ไม่แสวงหาผลลัพธ ์ หรือขยับสูงขึ้นไปอีกนิดก็ยังมีอีกขอบเขต ได้แต่พบเจอมิอาจ ปรารถนามาครอบครอง ซึ่งก็ต้องดูที่พรสวรรค์ของคนตกปลาแล้ว”
ฟู่ หูยิ้มเอ่ย “อ้อ? ยังมีขอบเขตที่สูงยิ่งกว่าอีกหรือ? คืออะไร พี่ ใหญ่ช่วยบอกหน่อยเถอะ”
คนผู้นั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อเทียบกับตกปลาแล้วชอบมอง คนอื่นตกปลามากกว่า”
ฟู่ หูยกนิ้วโป้ งให้ หัวเราะร่าพลางเอ่ย “วกวนอ้อมค้อม ที่แท้ก็ชม ตัวเอง พี่ชายใช ้ได้เลยนี่นา”
ลูกหลานของเมืองหลวง บ้างก็เป็ นคนประเภทที่ชอบใช ้อานาจ รังแกคนอื่น แต่ก็มีคนประเภทที่นิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายอย่างฟู่ หู
หากใช ้ค าพูดของฟู่หูก็คือ แค่อาศัยใบบุญของบรรพบุรุษมีชีวิตอยู่ไป วันๆ เท่านั้น แต่ละวันเอาแต่หาความบันเทิงจากชาวบ้านทั่วไป ลด เกียรติตัวเอง
คนผู้นั้นถาม “ฟังจากสาเนียงของน้องชายไม่เหมือนคนใน ท้องถิ่นของพวกเรา”
ฟู่ หูพยักหน้า “มาจากเมืองหลวง ทาการค้าเล็กน้อย หาเลี้ยงชีพ ไปวันๆ พี่ชายล่ะ เป็ นคนที่ไหน?”
“คนของอาเภอไหวหวง มาเยี่ยมญาติที่นี่”
“อ าเภอไหวหวง? ห่างจากอ าเภอผิงหนันของพวกเราไม่ใช่ใกล้ๆ เลยนะ”
“ไม่ถือว่าไกลอะไรหรอก เมื่อก่อนเคยเป็ นช่างในเตาเผา มักจะ ต้องขึ้นเขาไปผ่าพื้นเผาถ่านเป็ นประจา เดินแค่ไม่กี่ก้าวแค่นี้ ไม่หอบ ด้วยซ้า”
ฟู่หูยิ้มเอ่ย “พี่ชายคุยเก่งกว่าตกปลาอีกนะ”
คนผู้นั้นก็มีนิสัยที่ไม่เลว ถูกหยอกแล้วกลับยังนั่งหัวเราะอย่างโง่ งม
ฟู่หูรู ้สึกว่าพี่ชายคนนี้ คบได้
ฟู่หูถาม “ข้าแช่ฟู่ ฟู่จากค าว่าซื่อฟู่ที่แปลว่าช่าง ช่างของเตาเผา มังกร พี่ชายล่ะ?”
คนผู้นั้นยิ้มตอบ “ข้าแช่เฉิน เฉินที่เขียนด้วยอักษรเอ่อกับอักษร ตงรวมกัน”
ด้วยชาติตระกูลของฟู่ หูยังไม่ได้ดีจนถึงขั้นที่เขาจะมีองค์รักษ์ ประจ าตัว ผู้ถวายงานของตระกูล แน่นอนว่าต้องมี เพียงแต่ว่าไหน เลยจะมาถึงคราวของเขาฟู่ หู ต่อให้เป็ นฟู่ อวี้ผู้เป็ นพี่ชาย นอกจาก ออกจากบ้านแล้ว เวลาปกติอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ได้มีผู้ฝึกลมปราณ ติดตามไปทุกวัน อีกอย่างอยู่ในฉู่โจวแห่งนี้ จะดีจะชั่วเขาฟู่ หูก็เป็ น ขุนนางขั้นเจ็ด ยังจะต้องกลัวอะไร
ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ จะคุยโวไปทาไมนักหนา คนที่มีคุณสมบัติที่จะ เดินกร่างจริงๆ ก็ต้องเป็ นอย่างพวกเฉาเกิงซิน หลิวสวินเหม่ยโน่น ต่างหาก พวกเขาเดินอยู่ในตรอกอี้ฉือ ถนนฉือเอ๋อร ์ พวกคนเฒ่าคน แก่ยังไม่ค่อยกล้าจะวางมาดผู้อาวุโสต่อหน้าพวกเขาด้วยซ้า ส่วนฟู่หู ขอแค่เป็ นงานที่สามารถฆ่าเวลาได้อย่างเช่นการตกปลา ทานกหวีด ฟู่ หูล้วนชอบทั้งสิ้น เป็ นพวกไม่เอาการเอางานตามแบบฉบับ นี่ เรียกว่าสูงไม่สาเร็จต่าก็ไม่ได้เรื่อง ในหัวใจไร ้ปณิธานอันยิ่งใหญ่
เฉินผิงอันกล่าว “ฉู่โจวของพวกเราคือสถานที่ที่ดีที่เลื่อนขั้นขุน นางกันได้ง่าย คนเฒ่าคนแก่บอกว่าที่นี่มีโชคชะตาแห่งขุนนางมาก พอ สามารถมีขุนนางใหญ่ได้ง่ายๆ อีกทั้งชื่อเสียงยังไม่เลวอีกด้วย”
ฟู่ หูเบ้ปาก “ต่างก็พูดกันว่าหลงโจวเก่าหรือฉู่โจวใหม่ในทุกวันนี้ ขุนนางในทุกระดับชั้นล้วนฉลาดเฉลียวมีความสามารถ แต่ถ้าถาม ข้านะ จริงก็จริงนั่นแหละ เหอะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แต่ว่า?”
ฟู่ หูโบกมือ “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว พี่ชายท่านเป็ นชาวบ้าน ส่วนข้า เองก็เป็ นแค่พ่อค้าที่เนื้อตัวเหม็นกลิ่นเหรียญทองแดง มาวุ่นวายใจ กับเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่ากินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรท าหรอกหรือ”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเดาว่าความหมายคร่าวๆ ของน้องชายคือ รู ้สึกว่าขุนนางทุกระดับของฉู่โจวไม่ค่อยรู ้จักเป็ นขุนนางกันสัก เท่าไร? ส่วนลึกในกระดูกไม่เห็นการเป็ นขุนนางเป็ นเรื่องสาคัญ? งาน ก็ทาอยู่ แล้วก็ทาได้ดีกว่าขุนนางในพื้นที่แห่งอื่นจริง เพียงแต่ว่ากลิ่น อายขุนนางแรงเกินไป ชอบวางอ านาจบารมีของขุนนาง ท าให้คน มักจะรู ้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่เสมอ อืม ร ้อยเรียงกันเป็ นชั้น เป็ นปม เหมือนอย่างการมัดปมเส้นเอ็นตกปลาที่น้องชายสอนข้า”
ฟู่ หูหันมามองบุรุษที่มาเยี่ยมญาติผู้นี้ เส้นผมเริ่มเป็ นสีขาว แต่ ใบหน้ากลับยังหนุ่มอยู่มาก ดังนั้นจึงมองอายุที่แท้จริงไม่ออก ฟู่ หูคลี่ ยิ้ม เอ่ยตอบรับอย่างขอไปทีว่า “คงเป็ นเพราะว่าหากไม่เป็ นเช่นนี้ก็มิ อาจราบรื่นในวงการขุนนางได้กระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “น้องฟู่ คิดแบบนี้ได้ ไม่ไปเป็ นท่าน นายอ าเภอก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ฟู่ หูลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เฉิน พวกเราสองคนถูก ชะตากัน ข้าก็จะบอกความลับกับท่านก็แล้วกัน เมื่อครู่ข้าหลอกท่าน อันที่จริงข้าทางานอยู่ในที่ว่าการอาเภอ เป็ นคนของเมืองหลวงจริง
ไม่ได้โกหกท่าน ทางานอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าสานักรายงานข่าวที่ ทาการไปรษณีย์ นั่งเก้าอี้เย็น พี่ชายไม่แม้แต่จะเคยได้ยินมาก่อน กระมัง? ฮ่า เป็ นที่ว่าการน้าใส สถานที่ใหญ่เท่ากันอย่างจริงแท้ หาก ใครผายลมสักคน คนทั้งที่ว่าการก็ได้ยินกันหมดหมวกขุนนางที่ใหญ่ ที่สุดก็แค่ขั้นเจ็ดเท่านั้น คือขุนนางเมล็ดงาเหมือนที่กล่าวถึงในงิ้วเลย ล่ะ”
ไม่เปิดเผยความในใจกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมกัน ไม่ว่าที่ไหนก็ ถือเป็ นข้อห้ามทั้งนั้น
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “น้องฟู่ ก็พูดจาตลกเหมือนกันนะ พูด ได้ดีเหมือนตกปลาเลย”
ฟู่ หูเอ่ยอย่างเกียจคร ้าน “เป็ นขุนนางที่ดี ไม่กล้าคาดหวัง เป็ น ขุนนางที่ชื่อสัตย์ ถามมโนธรรมในใจตัวเองแล้วก็กล้าพูดได้เต็ม ปาก”
แต่คาพูดต่อมาที่ชาวบ้านในพื้นที่แซ่เฉินคนนี้พูดออกมา กลับ ท าให้ฟู่หูที่ได้ยินรู ้สึกชาไปทั้งหนังหัว
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นสีหน้าสงบนิ่ง มองผิวน้าพลางพูดร่ายยาว “คุณความชอบและความผิดแยกกันคิด เว่ยหลี่ผู้ว่าคนก่อน อันที่จริง ก็มีส่วนที่บกพร่องต่อหน้าที่เหมือนกัน ไม่ได้อยู่ที่การทางาน แต่อยู่ที่ การสั่งสอน เรื่องราวมากมายอย่างการจัดการกับเอกสารคดีฟ้ องร ้อง การจัดส่งหนังสือเอกสารทะเบียน การจับกุมโจร ถนนหนทาง
เส้นทางทางน้า เว่ยหลี่ที่เป็ นขุนนางหลักของจังหวัดแห่งหนึ่ง แน่นอน ว่าล้วนดูแลได้เป็ นอย่างดี นี่ก็คืองานในหน้าที่ของเขา แต่การ ปกครองจังหวัดแห่งหนึ่ง หากอิงตามกฎของต้าหลีแล้วก็จะต้องมี หน้าที่ในการกล่อมเกลาให้ความรู ้ชาวบ้านในพื้นที่ด้วย และนี่ก็เป็ น สิ่งที่การประเมินใหญ่ของเมืองหลวงและการประเมินในพื้นที่มิอาจ ตรวจสอบอย่างเป็ นรูปธรรมได้พอดี บางทีอาศัยว่าในอาณาเขตมี เคอจื่อ มีจิ้นซื่อจากการสอบเคอจวี่เพิ่มมากี่คน ก็อาจจะพอมอง เบาะแสออกอย่างคร่าวๆ เพียงแต่ว่านี่ก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าคาว่าพอ มากนัก เจ้าเมืองเหมือนจะเป็ นขุนนางที่ใกล้ชิดกับชาวบ้าน แต่ แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ในฐานะใต้เท้าผู้ว่าที่เป็ นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ก็ ยิ่งไม่ใช่เข้าไปอีก ตลอดทั้งปีได้พบกับชาวบ้านในพื้นที่สักเท่าไรกัน เชียว แม้จะบอกว่าหน้าที่ของเขาคือการตรวจตรา นาพา วางแผน อย่างรอบคอบ ปรับทุกอย่างให้ได้สัดส่วนเหมาะสม เพียงแต่ว่าการ ดาเนินงานในที่ว่าการแห่งหนึ่งของราชสานัก จากบนลงล่างขุนนาง สามระดับอย่างอ าเภอ เขตและจังหวัด ในใจของแต่ละคนก็คงไม่อาจ ทุ่มเทอยู่กับการเป็ นขุนนางได้เหมือนกันทั้งหมด หาไม่แล้วใน ความเห็นของข้า ยิ่งเป็ นที่ว่าการที่มีขุนนางเก่งกาจ ด าเนินงานได้ อย่างรวดเร็วมากเท่าไร ความสามารถในการปิดบังอ าพรางความผิด ก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น ยิ่งทาได้อย่างผีไม่รู ้เทพไม่เห็นมากเท่านั้น ใน สถานที่ที่วิธีการของขุนนางป่ าเถื่อน ชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม อย่างน้อยที่สุดทุกคนก็รู ้ว่าได้รับความอยุติธรรม คนข้างๆ มองเห็น ในใจก็กระจ่างราวกับกระจก แต่ในฉู่โจวแห่งนี้ หรือควรจะพูดว่า ฉู่โจ
วในอนาคต กลับบอกได้ยากแล้ว เพราะเหมือนมีรถม้าเคลื่อนผ่าน แล้วมีคนตามมาด้านหลังรถม้า คอยลบกลบร่องรอยให้ ขุนนางหลัก ไม่ต้องการให้คนอื่นรู ้ คนอื่นก็จะไม่รู ้ ราชสานักที่อยู่เบื้องบน ชาวบ้านที่อยู่เบื้องล่างก็ไม่มีทางรู ้ มีเพียงเพื่อนร่วมงานและระหว่าง เบื้องบนกับเบื้องล่างเท่านั้นที่รู ้กันเองโดยปริยายมานานแล้ว ก็ เหมือนอย่างเมื่อครู่นี้ที่เจ้าสบตากับข้าก็รู ้แล้วว่า “กฎเกณฑ์” เป็ น เช่นไร ดังนั้นข้าสามารถพูดได้เลยว่า หากราชส านักต้าหลีใน อนาคตก็คือวงการขุนนางของฉู่โจวที่ใหญ่ยิ่งกว่า นั่นก็จะเป็ นปัญหา มากแล้ว ในเรื่องนี้เว่ยหลี่อดีตผู้ว่าได้ทิ้งเรื่องเละเทะที่มองไม่เห็นไว้ ให้กับอู๋ยวน”
ฟู่หูเหม่อลอยไร ้ค าพูด
จุดที่ทาให้เขารู ้สึกตกตะลึงเป็ นเท่าตัว ไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่ ายเดี๋ยวก็ เรียกเว่ยหลี่ เดี๋ยวก็เรียกอู๋ยวน เรียกชื่อออกมาตรงๆ โดยไม่กริ่งเกรง สิ่งใด ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้อยู่ที่ความคิดเห็นบางอย่างของอีกฝ่ายด้วย
บอกตามตรง ในวงการขุนนางเมืองหลวง พูดถึงแค่ส านัก รายงานข่าวที่เขาเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งอยู่ที่นั่น ในทางส่วนตัวแล้ว พูดถึงใครก็เหมือนกันหมด ปิดประตูลงแล้วจะด่าเจ้ากรมของหกกรม ก็ยังได้ ค าพูดวางโตไร ้แก่นสารท านองว่าข้าต้องการให้ใครๆๆ เป็ น อย่างไรๆๆ ยิ่งเป็ นที่ว่าการขนาดเล็ก ระหว่างเพื่อนร่วมงานที่เชื่อใจ กันก็ยิ่งมีคาพูดแบบนี้มากเป็ นกระบุงโกย ปี นั้นเขาฟู่ หูก็ชอบที่จะ พูดคุยเรื่องพวกนี้กับน้าเต้าตันหลินเจิ้งเฉิงมากเป็ นพิเศษ
ดังนั้นจุดที่ทาให้ฟู่ หูตกตะลึงอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าคาพูดของ คนผู้นี้ตรงกับเรื่องในใจของฟู่ หูพอดี ในที่สุดก็ทาให้เขาเข้าใจแล้วว่า มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้ไม่นานมีขุนนางในที่ว่าการผู้ว่าคนหนึ่งที่ดูแลเรื่อง วัฒนธรรมและการศึกษาโดยเฉพาะ ได้เรียกรวมเจี้ยวอวี้ (ชื่อ ตาแหน่งขุนนางที่ทาหน้าที่อบรมสั่งสอน ให้คาแนะน า) ของอ าเภอ และจังหวัดทุกคนไป ความหมายคร่าวๆ ก็คือจะบอกว่าใต้เท้าผู้ว่าให้ ความสาคัญกับเรื่องนี้มาก จึงดึงเวลาตลอดทั้งช่วงบ่ายออกมาเพื่อ เชื้อเชิญให้ทุกท่านไปพูดคุยที่ว่าการโดยเฉพาะ ใต้เท้าผู้ว่าบอกแล้ว ว่าทุกคนสามารถพูดคุยได้อย่างเต็มที่ พูดถึงปัญหาให้มาก เสนอ ความคิดเห็นให้มาก พูดถึงจุดที่ไม่พอใจให้มาก…สิ่งเหล่านี้ยังไม่ นับเป็ นอะไร แต่จุดที่ทาให้ฟู่ หูที่ตอนนั้นอยู่ในเหตุการณ์รู ้สึกกระอัก กระอ่วนยังคงเป็ นประโยคหนึ่งที่ขุนนางผู้นั้นเอ่ยออกมา บอกว่า โอกาสเช่นนี้ ในอดีตและในสถานที่แห่งอื่นล้วนไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อย นัก ทุกท่านล้วนเป็ นบัณฑิตก็ควรจะทะนุถนอมเห็นค่าโอกาสนี้เอาไว้ ให้มากโชคดีได้เจอกับใต้เท้าเจ้าเมืองก็ควรจะพูดให้กระชับเข้าใจ ง่าย พยายามอย่าพูดเรื่องที่ไร ้ซึ่งความส าคัญ ใต้เท้าเจ้าเมืองมีกิจธุระ รัดตัว…
ฟู่ หูไม่ได้สงสัยในเจตนาของขุนนางขั้นห้าชั้นโทในพื้นที่ผู้นั้น เขาต้องไม่มีเจตนาร ้ายอะไรแน่ แต่ก็เพราะ “กลิ่นอายขุนนาง” บนร่าง ของอีกฝ่ าย บรรยากาศในวงการขุนนางที่รู ้สึกว่าระดับขั้นและ
ระดับชั้นวรรณะในวงการขุนนางก็คือทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีเหตุผล ถูกต้องชอบธรรมต่างหากที่ทาให้ลูกหลานตระกูลขุนนางที่เห็นผู้สูง ศักดิ์มีอานาจและเห็นบารมีของขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงมาจนชิน รู ้สึกปรับตัวไม่ได้อย่างถึงที่สุด
กว่าจะคืนสติกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟู่ หูยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “มารดาข้าหนอ พี่เฉิน คาพูดทานองนี้อย่าได้พูดออกไปส่งเดช เด็ดขาด พูดไปแล้วก็พูดไปเถอะ ที่นี่มีแค่พวกเราสองพี่น้อง ท่านพูด ข้าฟังแล้วก็จะปล่อยผ่านไป แสร ้งทาเป็ นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่า ให้ดังเข้าหูคนนอกเด็ดขาดเลย!”
เจ้าเป็ น “ชาวบ้าน” คนหนึ่ง อาจไม่เห็นเป็ นจริงเป็ นจังได้ และข้า ก็ไม่สนด้วยว่าเจ้าจะกล้าหาญหรือเป็ นเพราะอ่านตารามาไม่กี่เล่ม แล้วชอบพูดเรื่องเลื่อนลอยพวกนี้
แต่ข้าฟู่ หูจะดีจะชั่วก็เป็ นนายอาเภอที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่ง แม้ จะบอกว่าไม่ถึงขั้นได้รับโทษเพราะคาพูด แต่หากเพื่อนร่วมงานใน วงการขุนนางได้ยินเข้าก็จะไม่ถูกคนกลั่นแกล้งตลอดทั้งปี หรอก หรือ?
เห็นคนผู้นั้นหัวเราะ ในใจของฟู่ หูก็ยิ่งสั่นระรัว คงไม่ใช่คนบน ภูเขาหรอกกระมัง? เพราะถึงอย่างไรในอาณาเขตของฉู่โจว เทพ เซียนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาก็มีจานวนไม่น้อยเลยจริงๆ
ฟู่หูกล่าว “จะว่าไปแล้ว พี่เฉิน ดูจากความรู ้และความกล้าหาญนี้ ของท่าน หากว่าไปเป็ นขุนนาง เป็ นนายอาเภอก็ยังถือว่าใช ้คนที่มี ความสามารถสูงไปทางานเล็กที่ไม่สามารถแสดงความสามารถได้ แล้ว อย่างน้อยต้องได้เป็ นฝู่ จุน!” (ค าเรียกขานเจ้าเมืองอย่างให้ความ เคารพ แต่เจ้าเมืองในที่นี้จะหมายถึงเจ้าเมืองประจาเขตการปกครอง ท้องถิ่น)
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “สายตาของน้องฟู่ ดีกว่าฝี มือการตกปลา เยอะเลยนะ”
ฟู่หูหัวเราะชอบใจ ไม่รู ้สึกตึงเครียดอย่างเมื่อครู่นี้อีก
ต่อจากนั้นก็เห็นว่าคนผู้นั้นนั่งยอง เอาสองมือสอดไว้ในชายแขน เสื้อ พูดเสียงเบาว่า “น้องฟู่ ข้ารู ้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง อยู่ไกลจากคา ว่าดีมากนัก เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฟู่หูถอนหายใจ “พี่เฉิน ยังไม่หยุดอีกหรือ?! ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้อง เตือนท่านสักประโยคจริงๆ แล้ว!”
คนผู้นั้นเป็ นฝ่ ายรับคาด้วยการพูดขึ้นมาก่อนว่า “อย่ายุ่งเรื่อง ของคนอื่นให้มากเกินไป? เป็ นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งจะไปยุ่งกับ เรื่องของขุนนางในราชส านักท าไม?”
พู่หูหัวเราะดังลั่น ยื่นมือมาตบไหล่คนผู้นั้น “รู ้ก็ดีแล้ว รู ้ก็ดีแล้ว”
“น้องฟู่ เคยได้ยินชื่ออาจารย์หนันเฟิงไหม?”
ฟู่ หูส่ายหน้า นับแต่เด็กมาเขาก็ไม่ชอบอ่านต าราเบ็ดเตล็ด รับมือกับต าราส าหรับสอบเคอจวี่ก็เหนื่อยมากพอแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะแนะนาบทความสองสามบทของอาจารย์ผู้ เฒ่าคนนี้ให้เจ้า คาดว่าเจ้าน่าจะชอบ มี “บันทึกการบรรเทาภัยพิบัติ ของจ้าวกงแห่งเยว่โจว” และ “บันทึกความรู ้อ าเภออี้หวง” ข้ารู ้สึกว่านี่ ก็คือบทความคุณธรรมที่ดีที่สุดในใต้หล้า แน่นอนว่านี่เป็ นแค่ ความคิดเห็นส่วนตัวของข้าเท่านั้น”
ฟู่หูเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ก็ได้ๆ หากมีเวลาว่างจะไปหาอ่านดู”
ท าไมเจ้าถึงยังเอาจริงเอาจังกับข้าอยู่อีกเล่า
ต่อจากนั้นคนแซ่เฉินผู้นี้ก็ไม่เกรงใจกันจริงๆ ดึงข้องปลาของฟู่ หู ไปแล้วก็เริ่ม “ย้ายปลา’ ทันที
ดีนักนะ นี่คงจะเป็ นบัณฑิตยากจน ซิ่วไฉตกยากที่โชคในการ สอบเคอจวี่ไม่ค่อยดีสินะ?
เมื่อครู่ตนก็อุตส่าห์นึกว่าอีกฝ่ายเป็ นผู้ฝึกตนบนภูเขาเสียได้
ฟู่ หูอดไม่ไหวเอ่ยสัพยอก “พี่เฉิน ทุกวันนี้ใต้เท้าเว่ยเป็ นขุนนาง ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ใต้เท้าอู๋ผู้ว่าคนใหม่ก็ยิ่งร ้ายกาจยิ่งกว่า วัน หน้าหากมีโอกาสได้พบพวกเขา ท่านกล้าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้า พวกเขาหรือไม่?”
บุรุษที่สวมชุดกว้าตัวยาวสวมรองเท้าผ้าเดินกลับไปที่ตาแหน่ง ของตัวเองแล้ว มือถือคันเบ็ดตกปลา รัดข้องปลาไว้ตรงเอว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าพวกเราสองพี่น้องถูกชะตากัน นั่งยองคุยเล่นกันก็ เป็ นเรื่องที่สาราญใจ”
“หากเปลี่ยนไปเป็ นเว่ยหลี่และอู๋ยวนสองคน หลักการเหตุผล พวกนี้ ข้านั่งพูด พวกเขายังต้องยืนฟังด้วยซ้า”
ฟู่หูได้ยินแล้วก็จนคาพูดไปอีกครั้ง ยกนิ้วโป้ งให้คนผู้นั้น เจ้าตัวดี ดูมาดของเจ้าสิ เจ้าแซ่เฉิน ทาไมไม่ชื่อเฉินผิงอันไปเลย เล่า?! ในเรื่องของการพูดจานี้ ข้าฟู่หูขอยอมแพ้จริงๆ ยังคงเป็ นพี่เฉินที่ มีฝีมือมากกว่า
“ยินดีต้อนรับน้องชายไปเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว ที่บ้านของข้ามี ภูเขาหวงหูอยู่ลูกหนึ่งปลาของที่นั่นใหญ่กว่าที่นี่เยอะ”
คนผู้นั้นโบกมือลาฟู่ หู ยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าชื่อเฉินผิงอัน เฉินที่ เขียนด้วยอักษรเอ่อกับอักษรตง ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย”