กระบี่จงมา - บทที่ 982.3 คนรุ่นหลังน่าหวาดกลัว
การที่ซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนเช่นนี้ จะว่าไปแล้วก็เพราะในใจยังโมโห ท าตัวไร ้เหตุผลเพราะอยากจะปกป้ องคนของตัวเอง ก่อนหน้านี้ภูเขา จิ่วอี้ไม่ยอมให้เฉินผิงอันขึ้นมาบนภูเขา เท้าหน้าของลูกศิษย์เพิ่งจะ สะดุด เท้าหลังของอาจารย์ก็แล่นมาหาเรื่องทันที
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างประหลาดใจ “ความจริงอะไร?”
“อย่ามาแสร ้งทาเป็ นถามทั้งที่รู ้ดี”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “หากเจ้ายืนกรานจะพูดเช่นนี้ ข้า ก็ไม่ยินดีจะฟังแล้วนะขอให้ข้าได้โต้แย้งกับเจ้าดีๆ สักรอบเถอะ”
“เป็ นความต้องการของปรมาจารย์มหาปราชญ์ เจ้าอย่ามาแกล้ง โง่กับข้า”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เรียกปรมาจารย์มหาปราชญ์มาสิ ข้าจะถาม ท่านผู้อาวุโสต่อหน้ามายันกันเลยว่าจริงหรือเท็จ!”
ใบหน้าของชางอู๋เต็มไปด้วยความล าบากใจ มีใครเขาเล่นลูกไม้ หน้าด้านๆ อย่างเจ้าบ้างเล่า?
ผลคือมีคนกดมือลงมาบนบ่าของซิ่วไฉเฒ่า “จะยันกันอย่างไร ไหนลองว่ามาสิ”
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปมอง อ้อ เป็ นปรมาจารย์มหาปราชญ์เอง หรือ
ไหล่เอียงไปข้างหนึ่ง บิดปลายเท้าหนึ่งที ซิ่วไฉเฒ่าก็หมุนตัว กลับมายืนอยู่ข้างกายปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว ใต้รักแร ้ยังเหน็บ ชางผูไว้สองกระถาง พูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ชางอู๋เสิน จวินจะมอบชางผู้ให้ข้าสามกระถาง ข้าบอกว่าไม่ต้อง ชางอู๋เสินจวิน จึงไม่พอใจทันที ถึงได้ขัดขวางไม่ยอมให้ข้าจากไป…”
หนิงหย่วนประสานมือคารวะปรมาจารย์มหาปราชญ์
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม ขยับเท้าเดิน นาไปก่อน ซิ่วไฉเฒ่ารีบวิ่งตุปัดตุเป้ ตามไปทันที
หนิงหย่วนลังเลเล็กน้อย ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาส่งสายตาให้เขา อย่ามัวยืนอึ้งอยู่สิ ตามมา
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “มีแผนการอะไรหรือไม่?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “อย่าเลยดีกว่า”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์หัวเราะร่า “นับว่าเจ้ายังมีความเข้าใจ ตัวเองอยู่บ้าง”
ไม่ได้เสนอให้เฉินผิงอันเข้าร่วมการโต้วาทีของสามลัทธิ
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ถึงอย่างไรก็อายุยังน้อย ทุกวันนี้เขาเองก็ยุ่ง มากด้วย ศาลบู๋นของพวกเราอย่าเอาแต่สร ้างความวุ่นวายให้เขา เลย”
พูดไปพลางยื่นชางผูสองกระถางส่งให้ชางอู๋เสินจวิน บอกว่าให้ ช่วยถือไว้ก่อน
ซิ่วไฉเฒ่าม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น วางท่าเหมือนจะต่อยตี กับผู้อื่น “หากไม่ได้ จริงๆถ้าจะต้องเอาชนะให้ได้ก็ให้ข้าไปเองเถอะ”
ใบหน้าชางอู๋เต็มไปด้วยความคลางแคลง เรื่องของการโต้วาที สามลัทธินั้นมีกฏอยู่ ผู้ที่บรรลุมรรคาได้มรรคผลแล้ว อริยะปราชญ์ที่ มีเทวรูปบูชาของลัทธิขงจื๊อ เทียนเซียนของลัทธิเต๋า อรหันต์ผู้ ประจ าการของลัทธิพุทธ ล้วนมิอาจเข้าร่วมการโต้วาทีได้
ผลคือได้ยินซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เพิ่งถูกถอน ตาแหน่งเทพเป็ นครั้งแรกรอให้เถียงชนะได้แล้วค่อยย้ายกลับไปอีก ครั้ง”
หนิงหย่วนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
ปรมาจารย์มหาปราชญ์คร ้านจะคุยกับอีกฝ่าย
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ข้าเคยพูดคุยกับหลวงจีนน้อยที่ใต้หล้า ห้าสีอยู่สองครั้ง เขามีพระธรรมสูงส่งลึกล้าอย่างแท้จริง ข้ารู ้สึกว่า บัณฑิตรุ่นเยาว์ของใต้หล้าไพศาลพวกเราไม่มีใครที่จะเถียงชนะเขา ได้”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “หากหลี่ซีเซิ่งเข้าร่วมการโต้วาที ด้วยล่ะ”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบคลึงปลายคาง เอ่ยประโยคที่เป็ นธรรมว่า “เมื่อ เทียบกับโอกาสชนะที่แน่นอนหากข้าเข้าร่วมการโต้วาทีแล้วยังเป็ น รองอยู่เล็กน้อย”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ “เจ้าไปที่เสาโจวกับข้ารอบ หนึ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันดึงแขนของปรมาจารย์มหาปราชญ์เอาไว้ “ไม่รีบ ร ้อน ไม่รีบร ้อน ไปช ้าหน่อยก็ได้”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ตบหลังมือของซิ่วไฉเฒ่าบอกเป็ นนัยให้ ปล่อยมือออก
ไม่ได้ผล ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยกมือขึ้นเตรียมจะฟาดลงไป
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงไม่ปล่อยมือ กลับกันยังเพิ่มแรงบีบหนักกว่าเดิม ด้วย
เครื่องดนตรีโบราณมีชนิดหนึ่งชื่อว่า “เสา” ขงจื๊อกล่าวว่าคือสุด ยอดแห่งความสวยงาม คือสุดยอดแห่งความสมบูรณ์แบบ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคนแซ่สวิน อย่าบีบให้ข้าต้องด่าคนนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าปล่อยมือออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ พึมพ า ว่า “บัณฑิตในใต้หล้าบัณฑิตอย่างพวกเรา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคย ต้องการเทวรูปดินปั้นที่อยู่สูงเหนือใคร แต่ต้องการคนที่มองด้วย สายตาเย็นชาแต่จิตใจเร่าร ้อน คอยมองความผิดทุกอย่างและการ แก้ไขความผิดทุกอย่างของบัณฑิตอย่างพวกเรา!”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เด็กรุ่นหลังน่ า หวาดกลัว จะรู ้ได้อย่างไรว่าคนรุ่นหลังต้องสู้คนรุ่นก่อนไม่ได้”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบปลายคาง พยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “ชมเกินไปแล้ว ข้าล าบากใจมากนะ จะปล่อยให้ดังไปเข้าหูหลี่เซิ่งและหย่าเซิ่งไม่ได้ เด็ดขาด”
จากนั้นชางอู๋เสินจวินก็ได้ยินปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ยคัมภีร ์ สามอักษรมา…หนึ่งประโยค
……
ดูเหมือนว่านี่จะเป็ นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเหยียบเข้ามาในตัว จังหวัดของจังหวัฉู่โจวแห่งนี้
จังหวัดฉู่โจว เขตการปกครองเป่ าซีและอาเภอผิงหนัน ที่ว่าการ อาเภอและที่ว่าการจังหวัดอยู่ในเมืองเดียวกัน และที่ว่าการเขตการ ปกครองเป่ าซีซึ่งเป็ นที่ว่าการแห่งหนึ่งในนั้นกรอบป้ ายก็เขียนด้วย ตัวอักษรทองบนพื้นสีดา
แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นลายมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ย ตัวอักษรแบบบรรจง แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของป้ ายศิลาโบราณอยู่สอง สามส่วน
มองปราดๆ ตัวอักษรเป็ นระเบียบเข้มงวด เอาจริงเอาจัง แต่หาก มองอย่างละเอียด ในกฎเกณฑ์กลับมีความอิสระเสรี
เฉินผิงอันต้องการมาพบสหายคนหนึ่งที่เพิ่งรู ้จักได้ไม่นาน จิ่ง ควนเจ้าเมืองคนใหม่ของเขตการปกครองเป่าซี อดีตหลางจงกองชิงลี่ กรมขุนนางแห่งเมืองหลวง
สหายของสหายไม่แน่เสมอไปว่าจะกลายมาเป็ นสหายกันได้ แต่ ได้เป็ นเพื่อนกับบัณฑิตที่แท้จริงอย่างจิ่งควน เฉินผิงอันรู ้สึกเป็ น เกียรติอย่างมาก
วงการขุนนางของจังหวัดฉู่โจวใหม่ในทุกวันนี้ ที่ว่าการน้อย ใหญ่ไม่มีการปิดประตูส่วนการสืบทอดนี้ได้มาอย่างไรก็มีคากล่าวอยู่ สองอย่าง หนึ่งบอกว่ามาจากที่ว่าการของเจ้าเมืองเขตการปกครอง หลงเฉวียนอย่างหยวนเจิ้งติ้ง แล้วก็มีคนบอกว่าแรกเริ่มสุดมาจาก ที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาที่เฉาเกิงซินเคยรับหน้าที่ อิงตามคา กล่าวของผู้ตรวจการผีขึ้เหล้าคนนั้น ขอแค่ชาวบ้านในเมืองเล็กไม่ มาตากธัญพืชในที่ว่าการผู้ตรวจการ ตากจนพวกขุนนางไม่มีทางให้ เดินก็เชิญมาเดินเล่นได้ตามสบาย แต่หากเอาเหล้ามาด้วย นั่นก็ สามารถปรึกษากันได้เลย! เคยมีเด็กน้อยท าว่าวขาดหล่นลงมาใน ที่ว่าการ ก็ยังเป็ นผู้ตรวจการเฉาที่นาไปส่งคืนให้ถึงที่บ้านด้วยตัวเอง
แต่ก็มีคนเคยบอกว่า นั่นเป็ นเพราะเด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดก้นคน นั้นมีพี่สาวที่หน้าตางดงาม อย่างผู้ตรวจการเฉานั่นเรียกว่าเฒ่าสุรา ดื่มสุรา แต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา
คนที่เป็ นขุนนางอย่างผู้ตรวจการเฉา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทิ้ง ผลงานอันโดดเด่นที่มีค่าพอให้เขียนด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ไว้ใน อักขรานุกรมภูมิศาสตร ์สักเท่าไร แต่บางทีส าหรับชาวบ้านในเมือง เล็กแล้ว ภาพจาที่มีต่อขุนนางต้าหลีก็ได้เพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง อีกทั้ง ยังเป็ นความประทับใจที่ดีอีกด้วย สรุปก็คือหลังจากนั้นมา เบื้องบน ปฏิบัติเบื้องล่างทาตาม นับตั้งแต่ที่ว่าการอาเภอไหวหวงเป็ นต้นมา นานวันเข้าก็กลายมาเป็ นกฎในวงการขุนนางที่กลายเป็ น ขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของหลงโจวเก่า เว่ยหลี่ผู้ว่าคนก่อนก็ยังไม่ มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้
เพียงแต่ว่าสามารถเข้ามาในที่ว่าการได้ตามสบายก็ไม่ได้ หมายความว่าจะเดินเตร่ไปทั่วห้องฝ่ายงานต่างๆ ในที่ว่าการได้
พอรู ้ว่าเจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วมาเยือนก็มีคนไปแจ้งใต้ เท้าจิ่งควนทันที
หนังสือและเอกสารกองทับถมกันเป็ นพะเนินรอให้สะสาง จิงควน ที่สวมชุดข้าราชการนวดคลึงดวงตา วางเอกสารฉบับหนึ่งที่เกี่ยวข้อง กับการป้ องกันแม่น้าและคูน้าภายในอาณาเขตการปกครองลง เดิน เร็วๆ ออกมาจากห้องท างาน เห็นเฉินผิงอัน ใต้เท้าเจ้าเมืองท่านนี้ก็
แค่กุมหมัดเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้โอภาปราศรัยอะไรมาก ทว่ารอยยิ้มบน ใบหน้ากลับไม่น้อยเลย
เฉินผิงอันยกสองมือขึ้น เอ่ยหยอกล้อว่า “มาเยี่ยมเยือนด้วยสอง มือที่ว่างเปล่า วันหน้าใต้เท้าจิ่งควนไปดื่มเหล้าที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะดื่ม ลงโทษตัวเองก่อนสามจอก”
จิ่งควนรีบโบกมือเป็ นพัลวัน “ไปนั่งเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วได้ไม่มี ปัญหา แค่ดื่มชาก็ดีมากแล้ว ตอนนี้อาจารย์เฉินอย่าพูดถึงเรื่องดื่ม เหล้ากับข้าเลย คราวก่อนที่ลาคลองชางผูก็มากเกินพอแล้ว ดื่มไป เยอะจนตอนนี้แค่ข้าได้กลิ่นเหล้าก็ปวดหัวแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าแวะมาเดินเล่นที่นี่คงไม่ถ่วงรั้งการงานของพี่ จิ่งควนกระมัง?”
จิ่งควนตอบ “หากจะให้พูดตามมารยาท ในฐานะขุนนางหลัก ของเขตการปกครอง ต่อให้วันนี้เดินเล่นเป็ นเพื่อนอาจารย์เฉินทั้งวัน ก็ยังถือเป็ นงานในหน้าที่ แต่หากจะให้พูดกันตรงๆ ที่ว่าการรับรอง แขกได้ไม่ดีพอ แอบปลีกตัวจากงานที่ยุ่งวุ่นวายมาสักสองเค่อก็ไม่ได้ เป็ นปัญหาอะไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เดินเล่นในที่ว่าการเป็ นเพื่อน ข้าหน่อยดีไหม? สองเค่อก็พอแล้ว”
จิ่งควนรู ้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก นี่ไม่ถือว่า เป็ นการละเมิดกฎอะไร บอกตามตรง ไม่ว่าอาจารย์เฉินจะมีสถานะสัก กี่มากน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็ นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊ออยู่ดี
แม้ว่าทั้งสองฝ่ ายจะเคยพบหน้ากันมาแค่สองครั้ง ดื่มเหล้าไป ด้วยกันหนึ่งมื้อ แต่จิ่งควนก็มั่นใจในความรู ้สึกของตัวเองอย่างยิ่ง
จากนั้นจิ่งควนก็พาเฉินผิงอันเดินดูห้องทางานทั้งหลายในที่ว่า การ ตลอดทางเฉินผิงอันก็ได้สอบถามรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับ การตรวจตราโรงเรียน การส่งเอกสารไปตามจุดพักม้า ฯลฯ ก็โชคดี ที่จิ่งควนเป็ นขุนนางที่มานะหมั่นเพียรในเรื่องการปกครอง อีกทั้งยัง ชอบศึกษารายละเอียดปลีกย่อยทั้งหลาย หาไม่แล้วก็ไม่แน่เสมอไป ว่าจะสามารถตอบคาถามที่เรียกได้ว่าตอบยากพวกนี้ได้ทันที คน หนึ่งถามคนหนึ่งตอบ เวลาสองเค่อผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเฉินผิง อันก็เดินไปทั่วที่ว่าการแล้วหนึ่งรอบ จึงขอตัวกลับ บอกแค่ว่าหากมี เวลาว่างจะขอเชิญพี่จิ่งไปจิบเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ร่วมกันที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะเข้าครัวท าอาหารด้วยตัวเอง แล้วจะไม่ยุให้ดื่ม นอกจากนี้ก็ ถามถึงอาเภอผิงหนันซึ่งเป็ นอาเภออันดับหนึ่งของเขตเป่ าซีว่า นายอาเภอคนใหม่ชื่อว่าฟู่ หู มาจากหน่วยส่งข่าวใต้การปกครองของ กองราชรถกรมกลาโหมของเมืองหลวงใช่หรือไม่ จิ่งควนพยักหน้า บอกว่าใช่ ยังบอกอีกว่าคนผู้นี้คือน้องชายของฟู่ อวี้ขุนนางหลักของ เขตการปกครองเป่าซีคนก่อน เนื่องจากที่ว่าการอาเภอและที่ว่าการ จังหวัดอยู่ในเมืองเดียวกัน จิงควนจึงได้เจอกับลูกน้องคนนี้บ่อยๆ แต่
ว่าตอนนี้ยังมองไม่ออกถึงข้อดีข้อเสียในการท างานของขุนนางหลัก แห่งอาเภอผู้นี้
เฉินผิงอันออกมาจากที่ว่าการ ฟู่ อวี้เจ้าเมืองเขตเป่าซีคนก่อนคือ ลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวง แรกเริ่มสุดนั้นเขาติดตามอู๋ยวนมา ที่เมืองเล็กด้วยกัน ถือว่าเป็ นขุนนางต้าหลีกลุ่มแรกสุดที่เข้ามาอยู่ใน อาณาเขตของถ้าสวรรค์หลีจู เมื่อปีก่อนเข้าเมืองหลวงไปรายงาน การปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็ได้เลื่อนขั้นเป็ นซ่าวจานซื่อ (ขุนนางผู้ช่วยใน หน่วยจานซื่อ) ของหน่วยจานซื่อ (หน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับกิจธุระใน ครอบครัวของรัชทายาท) อยู่ในกองงานจั่วชุน (หนึ่งในกองงาน หน่วยจานซื่อดูแลเรื่องการจดบันทึก และแก้ไขเรียบเรียง) เป็ นขุน นางผู้สูงศักดิ์อันดับหนึ่ง
น่าเสียดายที่ฟู่ อวี้ไม่ได้เป็ นจิ้นซื่อในการสอบ อีกทั้งยังไม่ได้เป็ น ลูกหลานแม่ทัพที่เคยลงสนามรบมาก่อนเหมือนอย่างหลิวสวินเหม่ย เมื่อขาดประสบการณ์สองด้านนี้ สาหรับเส้นทางการเลื่อนขั้นใน อนาคตของฟู่ อวี้แล้วจึงกลายมาเป็ นอุปสรรคที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่าง หนึ่ง
ในอาเภอผิงหนันมีลาคลองเส้นหนึ่งไหลคดเคี้ยวผ่าน บนลา คลองมีคนพายเรือถ่อเรือจับปลา ยามที่หน่อไม้ในภูเขาเริ่มแตกหน่อ น้าในฤดูใบไม้ผลิก็สูงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่วงไม้พาย
วันนี้ฟู่ หูเพิ่งจะจัดการงานหลวงเสร็จไปหนึ่งงานจึงไม่รีบร ้อน กลับไปยังที่ว่าการในตัวอ าเภอ จึงบอกให้ขุนนางผู้ช่วยสองสามคน
กลับกันไปก่อน ตัวเองมานั่งตกปลาที่ริมลาคลองเพียงล าพัง อุปกรณ์ ตกปลาเขาเตรียมมาพร ้อมตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว
ฟู่ อวี้ผู้เป็ นพี่ชายอายุมากกว่าฟู่ หูหนึ่งรอบพอดี พี่ชายคนโตก็ เหมือนบิดา บวกกับที่เส้นทางขุนนางของฟู่ อวี้ราบรื่น ขึ้นสู่ตาแหน่ง สูงได้โดยไม่เปลืองแรง ดังนั้นฟู่ หูจึงกลัวพี่ชายที่เวลาปกติไม่ชอบยิ้ม แย้มพูดคุยผู้นี้มาก
เพราะถึงอย่างไรก็เป็ นบุคคลอันดับหนึ่งในสานักรายงานข่าว แล้วก็เป็ นขุนนางขั้นเจ็ดชั้นเอก ทั้งยังอยู่ในที่ว่าการเล็กๆ ที่ไม่มี อานาจที่แท้จริง เมื่อเทียบกับกองานหนันชวินที่ทุกหนทุกแห่งมีแต่ หลางจงแล้ว หนึ่งคือฟ้ าหนึ่งคือดินโดยแท้
ฟู่ หูมือหนึ่งถือคันเบ็ด อีกมือหนึ่งกาของถือเล่นที่เป็ นหยกมัน แพะไว้ในมือ ลูบไล้มันกับฝ่ามือเบาๆ
ครั้งนี้ออกจากเมืองหลวงมารับตาแหน่งขุนนาง ออกจากตรอก เม่าได้ที่เดิมทีคิดว่าจะต้องอยู่นานอีกหลายปี ถือเป็ นการมารับ ตาแหน่งที่เท่าเทียมกัน ทว่าเดิมที่ฉู๋โจวก็เป็ นจังหวัดระดับสูงของต้า หลี และอ าเภอผิงหนันก็ถือเป็ นอ าเภอระดับสูงของราชส านักต้าหลี การที่กลายมาเป็ นขุนนางซึ่งเหมือนบิดามารดา (ส่วนใหญ่จะ หมายถึงนายอ าเภอ) ของอ าเภอแห่งนี้ แน่นอนว่าได้รับความส าคัญ อย่างมากแล้ว ฟู่ หูและนายอาเภอของอาเภอไหวหวงที่ต่อให้ไปอยู่ใน จวนของผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อพูดคุยกับเจ้าเมืองทั้งหลาย เสียงก็ สามารถดังกว่าพวกเขาได้ ก่อนหน้านี้รอให้เอกสารราชการส่งไปถึง
ส านักรายงานข่าว ฟู่ หูที่ใช ้ชีวิตอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่นั่นยัง มึนงงไม่เข้าใจ แรกเริ่มเข้าใจผิดคิดว่าเป็ นบิดาหรือไม่ก็ฟู่ อวี้ผู้เป็ น พี่ชายช่วยออกแรงผลักดันให้อย่างลับๆ เขาถึงได้รับตาแหน่งที่ว่างอ ยู่นี้มาครอง
ผลคือกินอาหารมื้อข้ามปีจบไป ตอนที่อดทนเฝ้ าคืนกับฟู่อวี้ ฟู่หู ปลุกความกล้าเป็ นฝ่ ายถามถึงเรื่องนี้ พี่ชายกลับส่ายหน้าบอกว่า ไม่ใช่ฝีมือของเขาและทางตระกูล พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองเป็ น แค่ซ่าวจานซื่อของหน่วยจานซื่อ ยังไม่มีความสามารถพอที่จะอาศัย ค าพูดแค่ไม่กี่คาก็สามารถตัดสินตัวเลือกของขุนนางหลักในอาเภอ ระดับสูงของต้าหลีได้ สุดท้ายพู่หูก็มารับหน้าที่อยู่ในอาเภอผิงหนันฉู่ โจวนี้อย่างมึนๆ งงๆ ได้รู ้ว่าในเขตพื้นที่ที่ดูแลมีภูเขามากมายและป่ า ไผ่มากมาย
หางตาของฟู่ หูเหลือบไปเห็นบุรุษสวมชุดเขียวปักปิ่นหยกคน หนึ่งถือเบ็ดตกปลา ตรงเอวห้อยข้องจับปลาใบหนึ่ง กาลังเดินมาช ้าๆ อีกฝ่ ายเลือกจุดตกปลาใกล้ๆ กับเขา มองดูแล้วน่าสงสัยว่าจะมาขอ ยืมเหยื่อจากเขา แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นผู้เชี่ยวชาญ ฟู่ หูเองก็ไม่ถือสาเรื่อง พวกนี้ คนตกปลาในใต้หล้าล้วนถือเป็ นคนครอบครัวเดียวกัน ขอแค่ เจ้าหมอนี่ไม่อยากได้ปลาที่ตัวเองจับได้จนหันไปหยิบหินมาขว้างลง น้าก็พอแล้ว แต่พอมองอีกทีอีกฝ่ ายคงจะเข้าใจเรื่องการตกปลาแค่ ครึ่งๆ กลางๆ เพราะเหวี่ยงเบ็ดกระจายเหยื่ออยู่ตั้งนานก็ยังไม่มีปลา สักตัวมาติดเบ็ด หลักๆ แล้วเป็ นเพราะหลายครั้งใจร ้อนรีบยกคันเบ็ด
มากเกินไป ปลาไม่หนีไปสิถึงจะแปลก คนผู้นั้นจึงวางคันเบ็ดลง ขยับ เท้ามานั่งยองข้างฟู่ หู ยืดคอยาวมองมาในข้องของเขา แล้วเงยหน้า มองสบตากับฟู่ หู ทั้งสองฝ่ ายล้วนเข้าใจกันดี สื่อสารทางใจกันได้ใน ชั่วพริบตา ต่างคนต่างพยักหน้า ไม่ต้องเปลืองน้าลายสักครึ่งประโยค ก็ถือว่าเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าหลังจากนี้ฟู่ หูจะเอาปลาสองสามตัวมา มอบให้กับเพื่อนร่วมอาชีพฝีมือไม่ได้เรื่องที่พบเจอกันอย่างผิวเผินผู้ นี้
เมื่อเป็ นเช่นนี้ พออีกฝ่ายกลับบ้านก็จะได้ถูกด่าน้อยลง เพราะถึง อย่างไรขอแค่ไม่กลับไปมือเปล่า ยังพอจะโทษว่ามีปลาไม่เยอะได้ ไม่ เกี่ยวกับฝีมือการตกปลาเลยสักนิด
คนผู้นั้นเริ่มหาเรื่องมาชวนคุย “พี่น้องคนนี้ มัดเส้นเอ็นได้อย่างมี ข้อพิถีพิถันมากเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นมาก่อน ตั้งใจมาตกปลา ชิงตัวใหญ่หนักสามสิบห้าสิบจินตั้งแต่แรกเลยหรือ?”
ฟู่หูยิ้มเอ่ย “อยากเรียนไหมล่ะ?”
คนผู้นั้นพยักหน้า “ขอแค่พี่น้องเต็มใจสอน ข้าก็อยากเรียน”
ฟู่ หูจึงเก็บคันเบ็ด บอกเคล็ดลับในการผูกปมเชือกให้คนผู้นี้ฟัง อย่างละเอียด คนผู้นั้นพยักหน้ารับรัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ร้องอืมๆๆ ดูท่าทางน่าจะเรียนรู้เป็ นแล้ว