กระบี่จงมา - บทที่ 982.2 คนรุ่นหลังน่าหวาดกลัว
หวังจูพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้าก็คือแขกที่ผ่านทางมาของ ราชวงศ์สกุลอวี๋ โชคดีได้มาพบเจอกับรัชทายาทที่อารามจีชุ่ย พูดคุย กันอย่างถูกคอ ดื่มชาหนึ่งถ้วย จากนั้นเสนอความคิดเห็นส่วนตัว อวี๋ หลินโหยวไม่รับไว้ก็ได้แล้ว ข้าไม่มีทางท าอย่างไรกับราชวงศ์สกุลอวี๋ เสียหน่อย นับแต่วันนี้ไปแค่เดินกันไปคนละทางก็พอ”
หวงม่านไม่อยากจะโต้เถียงอะไรกับหวังจูในเรื่องนี้ หากว่าง่าย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ
เพียงแต่ใต้เท้าสุ่ยจวินที่กุมอานาจมากผู้นี้ มักจะทาอะไรเช่นนี้ เสมอ คิดอะไรได้ก็ท าอย่างนั้น ขุนนางผู้ประคับประคองมังกรอย่าง พวกเขา แค่ท าตัวให้ชินไปก็ดีเอง
สอนให้นาง “วางตัวเป็ นคน?
อย่าลืมล่ะว่า หวังจูคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของแท้ คนหนึ่ง และยิ่งเป็ นมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้!
พูดถึงแค่เจ้าของหลุมน้าลู่ที่มีฉายาว่า “ชิงจง” ต้นตั้นฮูหยินที่ ดูแลโชคชะตาน้าบนบก ของใต้หล้าแห่งหนึ่ง
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่อยู่ดีๆ ก็มีสถานะสูงศักดิ์ขึ้นมาผู้ นี้ หลังจากได้รับการแต่งตั้งจากทางศาลบุ๋น ฉายา “ชิงจง” ได้เลื่อน
ขั้นเป็ นฉายาเทพในทาเนียบหยกทอง ยามอยู่กับหลี่เย่โหวสุ่ยจวิน แห่งมหาสมุทรทักษิณที่ได้ครอบครองฉายาเทพอย่าง “เจี่ยวเยว่” เช่นเดียวกัน และหลิวโหรวชี สุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรประจิมที่มีฉายา ว่า ปี้สุ่ย” อันที่จริงตั้นตั้นฮูหยินค่อนข้างจะวางมาด แม้ว่าฐานะเทพใน ศาลบุ๋นของทุกคนจะเท่าเทียมกัน แต่ตั้นตั้นฮูหยินนั้นเท่ากับว่าได้ ก่อตั้งภูเขาเป็ นของตัวเองจึงคล้ายจะอยู่สูงกว่าเพื่อนร่วมงานหนึ่งชั้น มีเพียงเจอกับหวังจูเท่านั้นที่นางทาราวกับว่าเป็ นสาวใช ้คนหนึ่งซึ่งจู่ๆ ได้กลายเป็ นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แล้วดันได้มาเจอกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ตัวจริง เวลาอยู่กับหวังจู สีหน้าของนางเป็ นมิตรอ่อนโยน พูดจาเสียง แผ่วเบา ไม่ใช่ความเคารพนอบน้อมอะไร แต่เป็ นการประจบสอพลอ ด้วยซ้า
ในทางส่วนตัวองค์รักษ์จวนวารีอย่างพวกหวงม่านเคยเดากัน ว่าตั้นตั้นฮูหยินที่อายุขัยการฝึกตนยาวนานมากผู้นั้น ก่อนที่จะเกิด ศึกพิฆาตมังกรได้เคยมีจุดอ่อนถูกกุมอยู่ในมือของบรรพบุรุษหวังจู หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเมื่อสามพันปี ก่อน เจียวหลงที่พยศยาก ก าราบ ซึงเนื่องจากถือเป็ นขุนนางผู้มีคุณูปการในศึกเดินขึ้นฟ้ ายุค บรรพกาล ต่างก็ได้เป็ นผู้ดูแลการไหลรินของโชคชะตาน้าในใต้หล้า ไพศาล ผู้ฝึกลมปราณในโลกยุคหลังที่ขอแค่ฝึกวิชาน้า ไม่ว่าจะมี ชาติกาเนิดแบบใด เป็ นภูตน้าภูตภูเขา หรือเป็ นผู้ฝึกลมปราณเผ่า มนุษย์ เมื่อเจอกับเจ้าแห่งโชคชะตาน้าซึ่งเป็ นผู้เคลื่อนเมฆโปรยฝน เหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็มักจะเคารพนอบน้อมและยอมให้อยู่หลายส่วน
เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าถามหวังจู
มังกรมีเกล็ดย้อน
นี่เป็ นเรื่องจริงแท้แน่นอน
หวังจูมองคนกระเบื้องที่ไม่ต่างอะไรไปจากคนจริงๆ ผู้นั้น “หลวี่ปี้ หลงตัวจริง ทุกวันนี้ไปหลบอยู่ที่ไหน?”
“หลวี่ปี้หลง” ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรียนสุ่ยจวิน ผู้ฝึกตนทาเนียบของ สานักว่านเหยาที่มีนามจริงว่าหลงกงผู้นั้น ทุกวันนี้กาลังดื่มชาอยู่ที่ ส านักศึกษาเทียนมู่”
หวงม่านตาเป็ นประกาย ชมเรื่องครึกครื้นก็ไม่รังเกียจหากจะเป็ น เรื่องใหญ่ จึงลุกขึ้นถามอย่างใคร่รู้ว่า “คือสานักว่านเหยาที่ได้ ครอบครองพื้นที่มงคลสามภูเขาน่ะหรือ? ข้าจ าได้ว่าดูเหมือนเจ้าของ จะชื่อว่าหันเจี้ยงซู่ ว่ากันว่าเป็ นเซียนเหรินที่ต่อสู้ได้เก่งมากคนหนึ่ง เชี่ยวชาญสายยันต์มากเป็ นพิเศษ ท่าไม้ตายก็มีเยอะมาก”
หวังจูไม่สนใจผู้ฝึกตนที่เป็ นขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง ต่อให้ วิธีการจะมีมากมายแค่ไหนก็ยังเป็ นแค่เซียนเหรินเป็ นแค่งูเจ้าถิ่นตัว หนึ่งในใบถงทวีปเท่านั้น
ต่อให้จะเป็ นผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลอย่างขอบเขตบิน ทะยานแล้ว ทุกวันนี้หวังจูก็เห็นอยู่ในสายตาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ทั้งเป็ น ความหยิ่งทระนงในตัวเอง แล้วก็เป็ นทั้งความมั่นใจในตัวเอง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้เป็ นขอบเขตสิบสี่แล้วจะอย่างไร?
นางเองก็เป็ นได้เหมือนกัน อีกทั้งเวลาที่ใช ้ก็จะไม่มีทางนานมาก นัก นี่ก็คือเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ว่าทาไมหวังจูถึงยินดีมารับหน้าที่ เป็ นสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพา ในอนาคตรอให้นางปิ ดด่าน มี สถานะแล้วก็จะมั่นคงได้ยิ่งกว่านี้
ศัตรูคู่อาฆาตของนาง มีเพียงหนึ่งเดียว ผู้ฝึกกระบี่เฉินชิงหลิว
ท่ามกลางศึกพิฆาตมังกรครั้งนั้น เฉินชิงหลิวเคยไปหยุดพักอยู่ที่ หลุมน้าลู่ และยังเคยมีการหลอมกระบี่อันลี้ลับที่เป็ นดั่งปลาวาฬซึ่งสูบ กลืนเอาโชคชะตาน้าของมหาสมุทรบูรพาไป
แน่นอนว่าปี นั้นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ตั้นตั้นฮูหยินถึง จ าต้องเปิดตราผนึกของหลุมน้าสู่ออก “เป็ นฝ่ ายเชื้อเชิญ” ให้เซียน กระบี่ผู้นี้เข้าไปด้านใน
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้หวังจูได้สถานะมังกรที่แท้จริงกลับคืนมาแล้ว ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมีความลาบากใจที่จาต้องทาอะไรหรือไม่
นอกจากนี้ตั้นตั้นฮูหยินเองก็ไม่เหมือนกับพวกหลี่เย่โหว หลิว โหรวชี นางมีชาติก าเนิดมาจากเผ่าปีศาจ อีกทั้งยังฝึกวิชาน้า เป็ น เหตุให้นางเกิดมาก็ถูกมังกรที่แท้จริงสยบก าราบอยู่แล้ว
แต่ไม่เป็ นไร นอกจากหวังจูรวมไปถึงผู้บรรลุมรรคาไม่กี่คนที่เจอ ในการประชุมศาลบุ๋นครั้งก่อนและได้ “คุยเล่น” กันอย่างพวกฮว่อ หลงเจินเหริน ฝูลู่อวี๋เสวียน จ้าวเทียนไล่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ทา ให้ตั้นตั้นฮูหยินหวาดผวาแล้ว ทุกวันนี้นางอยู่ในทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลาง ทุกครั้งที่ออกจากจวนไปตรวจตราพื้นที่การปกครอง ด้านนอกก็ยังมากไปด้วยบารมีอยู่ดี
เพียงแต่ว่านอกจากนี้แล้วก็ยังมีหายนะไม่คาดฝันที่ทาให้ตั้นตั้นฮู หยินเป็ นดั่งคนใบ้กินหวงเหลียนอีกเรื่องหนึ่ง ทาให้นางยิ่งไม่กล้า พูดจาแข็งข้อใส่หวังจูแม้แต่ครึ่งคา
ในอดีตเถาน้าเต้าที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกกับมือตัวเอง ได้ออกผล เป็ น “น้าเต้าเลี้ยงกระบี่” เจ็ดลูก
นักพรตเขาฮว่อลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของตงไห่แห่ง อารามกวานเต๋า เจ้าแห่งถ้านี้เชียวได้ครอบครอง โต่วเหลียง ลูกหนึ่ง น้าเต้าใหญ่ที่เป็ นสีเหลืองทองลูกนั้นถูกนักพรตน้อยสะพายเอียงๆ ไว้ ด้านหลัง
นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นี้ ก่อนจะไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้ ทาเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาน้าอย่างลึกล้ายาวไกล และนี่ ก็เป็ นเรื่องที่ทาให้หวังจูแค้นเคืองที่สุดเพราะเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้ได้ ทิ้งโองการไว้ฉบับหนึ่ง บอกว่าให้นักพรตน้อยสะพายน้าเต้า “โต่ วเหลียง” ลูกนั้น บ้างเชิญบ้างจับ เก็บเจียวหลงทะเลตะวันออกแทบ ทั้งหมดใส่ไปไว้ในน้าเต้าลูกนั้น และนี่ก็เป็ นเหตุผลที่ว่าทาไมเมื่อ
หลายปีก่อนบนหินพักมังกรที่อยู่ในนามของหลุมน้าลู่ถึงได้ไม่มีเจียว หลงมาพักเลยสักตัวเดียว
นอกจากนี้นักพรตเฒ่าก็ยังใช ้วิธีการที่เหนือเมฆ ทาให้ผิวน้า ของมหาสมุทรใหญ่ลาดเอียง ตะวันตกและเหนือสูงตะวันออกและใต้ ต่า เพื่อกรอกเทน้าเข้าไปใน “โต๋วเหลียง
ตามการประมาณการณ์ของหวังจู นักพรตเฒ่าหน้าเหม็นผู้นี้ อย่างน้อยที่สุดก็นาโชคชะตาน้าไปจากใต้หล้าไพศาลเกือบหนึ่งส่วน
แต่ทางฝั่งศาลบุ๋นกลับไม่เคยขัดขวางเรื่องนี้
เดิมทีโชคชะตาน้าของใต้หล้ามืดสลัวก็บางเบาอยู่แล้ว อยู่ไกล เกินกว่าจะเทียบกับใต้หล้าไพศาลได้ติด หากว่านักพรตเฒ่าหน้า เหม็นผู้นั้นเทน้าทะเลจากในน้าเต้าไปไว้ที่นั่น ใต้หล้ามืดสลัวก็ สามารถอาศัยสิ่งนี้มาเพิ่มโชคชะตาน้าได้ถึงสามส่วน
ตั้นตั้นฮูหยินรู ้สึกว่านักพรตเฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าท า เช่นนี้ แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วยเล่า?
แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากซึ่งผ่านกุยซวีมุ่งหน้าไป ยังใต้หล้าเปลี่ยวร ้างหวังจูกลับถามนางว่าท าไมถึงไม่ขัดขวาง
ตั้นตั้นฮูหยินที่ถูกถามเจียนคลั่งเต็มที รู ้สึกเพียงน้าขมที่มีอยู่เต็ม ท้อง จะระบายทุกข์สักค านางก็ยังไม่กล้า กูไหน่ในของข้าหนอ เจ้าจะ ให้ข้าที่เป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานไปขัดขวางขอบเขตสิบสี่ที่กิน อิ่มว่างงานแล้วชอบงัดข้อกับมรรคาจารย์เต๋าเป็ นประจาได้อย่างไร?
หวังจูลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกห้อง เงยหน้ามองฟ้ า
อีกเดี๋ยวก็จะมีการโต้วาทีของสามลัทธิครั้งใหม่เกิดขึ้นแล้ว
ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ เสินจวินของห้ามหาบรรพต แผ่นดินกลางและสุ่ยจวินแห่งสี่มหาสมุทรต่างก็มีคุณสมบัติเข้าร่วมรับ ฟัง
การประชันกันของสามลัทธิ นั่งลงถกมรรคา
ศาลบุ๋นแห่งไพศาล ดินแดนพุทธะสุขาวดี ป๋ ายอวี๋จิงแห่งใต้หล้า มืดสลัว ล้วนจะส่งวิญญูชนและนักปราชญ์ เมล็ดพันธ ์เต๋าและพุทธ บุตรให้เข้าร่วมการโต้วาที
ทางฝั่งของลัทธิขงจื๊อมีเจ้าขุนเขาหนุ่มของส านักศึกษาเหิงฉวี ลูกศิษย์ปิดส านักของหย่าเซิง และหากไม่ผิดไปจากที่คาด หยวนพาง ก็ต้องเข้าร่วมด้วยแน่นอน
ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัว ลูกศิษย์ปิดสานักของมรรคาจารย์เต๋า นักพรตหนุ่มที่มีฉายาว่าซานชิง เกินครึ่งก็น่าจะเข้าร่วมด้วย
จ านวนคนของสามลัทธิที่สามารถเข้าร่วมการถกมรรคา โดยทั่วไปแล้วจานวนสามถึงเก้าคนไม่เท่ากัน ไม่มีจานวนที่แน่นอน
การ “ทะเลาะโต้เถียง” ครั้งนี้ ไม่ใช่การตะลุมบอน จานวนคน มากหรือน้อยไม่ส าคัญถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร ์อันยาวนานของ
การโต้วาทีสามลัทธิ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจ านวนคนมากก็ไม่ได้มี ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
แต่ส่งมาแค่คนเดียวก็มีน้อยครั้งที่จะเกิดขึ้น เกือบหมื่นปีที่ผ่าน มา เคยเกิดขึ้นแค่สามครั้งเท่านั้น
สองครั้งล่าสุด
ครั้งหนึ่งคือลู่เฉินที่ออกจากบ้านเกิดซึ่งใต้หล้ามืดสลัวส่งตัวมา หรือก็คือเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงในภายหลัง
การโต้วาทีครั้งนั้น ลู่เฉินเป็ นคนเปิดปากพูดก่อน หลังจากนั้นก็ ไม่มีใครเปิดปากพูดอีก “บัณฑิต” ของอีกสองลัทธิที่เหลือและเหล่า ภิกษุต่างก็ยอมรับความพ่ายแพ้กันโดยตรง
อีกครั้งหนึ่งก็คือศาลบุ๋นที่ส่งบัณฑิตคนหนึ่งซึ่งมีตาแหน่งเป็ นแค่ “ซิ่วไฉ” ไม่ได้มีชื่อเสียงใดๆ ให้เข้าร่วมการโต้วาที สุดท้ายคนผู้นี้ก็ ได้กลายมาเป็ นเหวินเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อ
การโต้วาทีครั้งนี้ ความคิดเห็นสุดท้ายที่บัณฑิตแช่สวินผู้นั้น แถลงออกมา ถึงกับท าให้เมล็ดพันธ ์เต๋าและพุทธบุตรมากมายย้ายฝั่ง หันมาอยู่กับลัทธิขงจื๊อโดยตรง
นี่จึงเป็ นเหตุให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าและสานักชั้นสูงใน ทุกวันนี้ที่ได้รับรายงานจากทางศาลบุ๋น มีการคาดเดาร่วมกันอย่าง หนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นจะให้ลูกศิษย์ปิดส านักของ ซิ่วไฉเฒ่าเข้าร่วมการโต้วาทีครั้งนี้หรือไม่?
……
ซานจวินท่านหนึ่งที่เรือนกายสูงเพรียวทว่าตาแหน่งฐานะกลับสูง ยิ่งกว่า กาลังจ้องตาอยู่กับซิ่วไฉเฒ่าที่ร่างผอมแห้ง
ทั้งสองฝ่ ายส่วนสูงต่างกันมาก ห่างกันถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ดังนั้น ซิ่วไฉเฒ่าถึงต้องเขย่งปลายเท้า ใต้รักแร ้ยังเหน็บชางผูสองกระถางที่ เป็ นสีเขียวขจีราวกับจะคั้นน้าได้เอาไว้ด้วย
เพ้ย นี่เรียกว่าขโมยหรือ? นี่เรียกว่าแย่งชิงต่างหาก
เสินจวินแห่งภูเขาจิ๋วอี๋มีชื่อจริงว่าหนิงหย่วน ฉายาด้านการฝึก ตนคืออวี้ก่วน ฉายาเทพชางอู่
หนิงหย่วนขัดขวางทางไปของเหวินเซิ่ง ตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “เจ้า คิดว่าเหมาะสมแล้วหรือ?”
“ข้าคิดว่าเหมาะสม”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าเอ่ย “หากว่าเจ้ามอบให้ข้าเพิ่มอีกกระถาง ไม่มีมือให้ถือแล้ว นี่ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ พี่ใหญ่ชางอู๋ อย่าพิถีพิถัน อะไรส่งเดชเลย พวกเราสองคนคือใครกับใครกันด้วยความสัมพันธ์ ของพวกเราสองคนแล้ว ก็อย่ามัวมาพูดเรื่องไร ้สาระอยู่เลย จะต้อง
เกรงใจข้าไปไย ไม่มีความจาเป็ นสักนิด ชางผูสองกระถางนี้ก็พอแล้ว ล่ะ”
หนิงหย่วนหน้าด าทะมึน “เจ้าคนแช่สวิน เจ้าหยุดแค่พอสมควรก็ พอแล้วนะ นิสัยข้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าโจวโหยวแห่งสุ้ยซานสักเท่าไร หรอกนะ”
เมื่อครู่ดื่มเหล้าด้วยกัน คุยกันดีๆ อยู่ ซิ่วไฉเฒ่าก็ขอตัวลา ผล คือขุนนางหลักกองงานโชคชะตาบุ๋นรีบวิ่งมาหาเขาอย่างว่องไว บอก ว่านายท่านเหวินเซิ่งเอาชางผู้โชคชะตาบุ้นไปสองกระถาง เดินอาดๆ ออกจากสวนไป ตลอดทางเจอใครก็บอกว่าซานจวินท่านเป็ นคน มอบให้
ซิ่วไฉเฒ่าคิดดูแล้วก็เริ่มใช ้เหตุผลทาให้คนเข้าใจ ใช ้ความรู ้สึก ท าให้คนคล้อยตาม “ชางอู๋อ่า เป็ นคนจะเอาแต่ตัวสูงอย่างเดียว แต่ไม่ มีน้าจิตน้าใจไม่ได้หรอกนะ เจ้าลองว่ามาสิว่า ตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ เอาออกหน้าออกตาได้มากที่สุดของภูเขาจิ่วอี๋แห่งนี้ ได้มาได้ อย่างไร? หา?”
ป้ ายศิลาที่ตั้งอยู่ในภูเขาจิ่วอี๋มีมากมาย โบราณวัตถุมีมากถึงขั้น ที่ว่าท่ามกลางภูเขามีชื่อเสียงที่มากมายนับไม่ถ้วนของไพศาลก็เป็ น รองแค่ภูเขาสุ้ยซานมหาบรรพตกลางเท่านั้น
อีกทั้งป๋ ายเหย่เองก็ยังไม่เคยทิ้งบทกวีแกะสลักหน้าผาไว้ที่ภูเขา สุ้ยซาน แต่กลับทิ้งบทกวีหลายบทไว้ที่ภูเขาจิ่วอี๋ เพียงแค่เพราะป๋ าย
เหย่เคยขึ้นเขามาพร ้อมกับหลิวสือลิ่ว ว่ากันว่าภายใต้ค าแนะน าของ หลิวสือลิ่ว ป๋ ายเหย่ถึงได้ไม่ขี้เหนียวน้าหมึกและพรสวรรค์เช่นนี้ และ การที่หลิวสือลิ่วทาเช่นนี้ก็เพียงแค่เพราะว่าชางอู๋เสินจวินแห่งภูเขา จิ่วอี๋ไม่เพียงแต่เลื่อมใสศรัทธาในวิชาความรู ้ขงอาจารย์อย่างถึงที่สุด ประเด็นสาคัญก็คืออาจารย์ยังเคยเปิดเผย เรื่องหนึ่งกับปากตัวเอง บอกว่าหนิงหย่วนผู้นี้มีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก ชมว่าตัวเอง อดทนกับความยากลาบากได้ดี จึงเป็ นเหตุให้บทความที่เขียนมี ท่วงท านองโบราณเรียบง่ายทั้งยังสง่างาม นี่ก็ไม่ถือว่าเป็ นอะไร เพราะ ทุกวันนี้อาจารย์พอจะมีชื่อเสียงแล้ว คาพูดดีๆทานองนี้ เก็บเอาจาก บนถนนก็ได้ แต่ความคิดเห็นบางอย่างของหนิงหย่วนกลับมีนัยให้ขบ คิดมากแล้ว เขาบอกว่าบทความของข้าซิ่วไฉเฒ่าประหนึ่งตะวัน จันทราดาราที่หมุนรอบฟ้ าดิน สิ่งมีชีวิตล้วนรู ้จักเลื่อมใสผู้ที่สูงส่ง เฉลียวฉลาด ลูกศิษย์คนแรกคนนั้นของเจ้าอย่างซิ่วหูชุยฉานกลับไม่ เป็ นเช่นนั้น มรรคาของเขาเหมือนพลังต้นกาเนิดที่อยู่ท่ามกลาง หุนตุ้น(ภาวะที่โลกยังไม่ถือกาเนิด เชื่อกันว่าจักรวาลอยู่ในสภาพขุ่น มัวยุ่งเหยิง) หมื่นสรรพสิ่งพากันเดินตามโดยที่ไม่รู ้ตัว
อาจารย์มักจะเป็ นเช่นนี้เสมอ ไม่เคยถือสาหากคนอื่นชมเชยลูก ศิษย์ของตัวเอง ต่อให้ประเมินสูงกว่าตัวเขาเองก็ตาม
เจ้าชมตัวข้าซิ่วไฉเฒ่า แค่หัวเราะอย่างชอบใจก็พอแล้ว ใครคิด เป็ นเรื่องจริงคนนั้นก็คือคนโง่ แต่หากว่าใครชมลูกศิษย์ของข้า อีกทั้ง ยังเชื่ออย่างจริงใจ ถ้าอย่างนั้นข้าซิ่วไฉเฒ่าก็คิดเป็ นจริงแล้ว!
หนิงหย่วนเอ่ยอย่างอ่อนใจ “อย่างน้อยก็ทิ้งไว้สักกระถางหนึ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าเรอกลิ่นสุรา
หนิงหย่วนพูดเสียงอัดอั้น “ให้ข้าเปลี่ยนกระถางใหม่ให้เจ้าก็ได้ ไม่ถึงสามพันปีก็มีอายุถึงสองพันปีแน่”
อันที่จริงเสินจวินแห่งภูเขาจิ่วอี๋ผู้นี้ คราวก่อนที่เหวินเซิ่งได้ฟื้น คืนสู่ต าแหน่งเทพในศาลบุ๋น เขาไปแสดงความยินดีที่สวนกงเต๋อ ก็ ได้มอบชางผูชะตาบุ๋นอายุพันปีไปให้หนึ่งกระถาง ไม่ใช่ว่าหนิงหย่วน ไม่ยินดีจะมอบของขวัญแสดงความยินดีที่ดีกว่านั้นไปให้ แต่ตัวอยู่ใน วงการขุนนางภูเขาสายน้า จึงมีเรื่องให้ต้องเป็ นกังวล หาไม่แล้วด้วย มิตรภาพส่วนตัวระหว่างหนิงหย่วนกับซิ่วไฉเฒ่า ตอนนั้นจะมอบชาง ผู้อายุสามพันปีไปให้กระถางหนึ่งก็ไม่ถือว่าเป็ นเรื่องใหญ่อะไรด้วยซ้า นี่ก็เป็ นหลักการเดียวกับเงินใส่ซองของชาวบ้านในร ้านตลาดล่าง ภูเขา แขกที่มาร่วมแสดงความยินดีซึ่งฐานะครอบครัวพอๆ กัน หาก ต่างก็ใส่ซองแดงให้กันซองละหนึ่งตาลึง แล้วจู่ๆ มีคนที่ยืนกรานจะใส่ สิบตาลึงเงิน แบบนั้นก็เป็ นการตบหน้าคนอื่นแล้ว
กลับเป็ นเทพหญิงภูเขาแยนจือผู้นั้นที่ไม่ถือข้อห้ามเหล่านี้ ของขวัญที่มอบไปให้ในเวลานั้นล้าค่าที่สุด ซึ่งนางก็มีเหตุผลเป็ น ของตัวเอง ซิ่วไฉเฒ่าบ่น “บนโต๊ะสุรากลัวคนจะยุให้ดื่ม เป็ นคนกลัวจะขี้ เหนียว พี่ขางอู่ในความทรงจาของข้าเป็ นคนใจกว้างถึงปานใด วันนี้ กลับท าอิดๆ ออดๆ ข้าคงจะต้องดูแคลนเจ้าแล้วนะ!”
เสินจวินชางอู๋พูดอย่างขาๆ ปนฉุน “ก่อนหน้าไม่ให้ลูกศิษย์ที่รัก ของเจ้าขึ้นภูเขามาคนนอกไม่รู ้ความจริงก็ช่างเถอะ รู ้สึกว่าข้า วางมาดก็ช่าง แต่เจ้าซิ่วไฉเฒ่ายังจะแกล้งโง่กับข้าอีกหรือ?”