กระบี่จงมา - บทที่ 981.1 ใจยังคิดถึงบ้านเกิด
นครเซิ่นจิ่งเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเฉวียน ยามเช ้าตรู่หมอ กลอยอวลหลังฝนตก ต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่ ทิวทัศน์งดงามในช่วง ต้นฤดูใบไม้ผลิ สีเขียวและสีเหลืองแบ่งกันคนละครึ่ง นักกวีสามารถ บรรยายทัศนียภาพนี้ได้ แต่ชาวบ้านธรรมดากลับไม่รู ้ว่าจะพรรณนา ด้วยค าพูดอย่างไร กระนั้นก็ยังเห็นทุกอย่างกระจ่างชัดอยู่ในสายตา รถม้าสามคันชะลอจอดช ้าๆบนถนนเส้นหนึ่งทางทิศตะวันตกของ เมือง ชายหญิงกลุ่มหนึ่งทยอยกันลงมาจากรถม้า ด้านข้างคือสระ ดอกบัวที่น้านิ่งสงบ สตรีสวมชุดผ้าฝ้ ายเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่ง ไม่ได้รีบร ้อนไปยังจุดหมายปลายทาง แต่เดินไปทางริมน้า นางยื่นฝ่ า มือที่ขาวนวลราวกับหยกออกมาจับประคองราวรั้วหินเขียวที่เย็น เฉียบ เมื่อฝนชะผ่านท้องฟ้ าก็เป็ นสีมรกตดุจหยก ใบบัวกลมมนลอย กระเพื่อมบนผิวน้า
ทว่าสตรีผู้นี้ชวนให้คนหวั่นไหวได้ยิ่งกว่าทัศนียภาพอันงดงาม เสียอีก
นางใช ้นิ้วปาดเช็ดฝ่ ามือ ดึงมือกลับมา หันหน้าไปมอง พวกเขา ไม่ได้รบกวนการชมทัศนียภาพของตน เพียงแต่ยืนรออยู่ที่หน้าตรอก อย่างใจเย็น คนหนึ่งในนั้นคือบุรุษที่ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งว่างเปล่า ข้างกายมีสตรีพกดาบที่มองดูคล้ายนิสัยอ่อนโยนยืนอยู่ด้วย นางยิ้ม
อย่างชอบใจ ลาบากตนแล้วที่ต้องเป็ นผู้เฒ่าจันทราผูกด้ายแดงให้กับ พวกเขา ชายหญิงรุ่นอักษรจือของตระกูลเหยา ทุกวันนี้ต่างก็อายุไม่ น้อยแล้ว คนผู้เดียวที่ยังไม่ได้สร ้างครอบครัวก็คือใต้เท้าเจ้าเมืองแห่ง เมืองหลวงท่านนี้ เพียงแค่เพราะเก็บชีวิตกลับมาจากสนามรบได้ มี จุดจบเป็ นคนขาเป๋ แขนขาดไปข้างหนึ่ง หลายปีมานี้จึงตกเป็ นที่ต้อง สงสัยว่าเมื่อพลาดแล้วก็ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แน่นอนว่า สายตาของน้องชายตนก็สูงมากด้วย สตรีสูงศักดิ์บางคนที่มุ่งหวัง แอบอิงต าแหน่งสถานะของเขา เขาย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา
คนกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มของฮ่องเต้หญิงเหยาจิ้นจือ เหยาเซียนจือเจ้า เมืองเมืองหลวง ผู้ฝึกตนหญิงที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือหลิวอี้ ชื่อเล่น ยวนยาง ฉายาว่า “อี๋ฝู” ทุกวันนี้หลิวอี้คือผู้ถวายงานอันดับสามของ ราชวงศ์ต้าเฉวียน ก่อนหน้านี้ไม่นานทางราชสานักได้ออกคาสั่ง โยกย้ายด้วยกระดาษแผ่นเดียว โยกนางให้มารับหน้าที่อยู่ในที่ว่าการ จวนเจ้าเมืองนครเซิ่นจิ่ง รับหน้าที่เป็ นองค์รักษ์ประจาตัวของเหยา เซียนจือ แน่นอนว่านี่เป็ นการใช ้ผลประโยชน์ส่วนตัวเบียดบัง ผลประโยชน์ส่วนรวมของฮ่องเต้ เพียงแต่หลิวอี้เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
หันกวงหู่ราชครูคนใหม่เป็ นคนของเกราะทองทวีป หลิวจงผู้ ถวายงานเชื้อพระวงศ์อันดับหนึ่ง มาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เด็กหนุ่ม เงี่ยนหมิง ฉายาว่าเยว่เหรินเกอ มาจากแจกันสมบัติทวีป ใต้รักแร ้ เหน็บดาบอาคม ‘หมิงเฉวียน” และยังมีสตรีคนหนึ่งที่ตรงหางตามิอาจ ปิ ดริ้วรอยตีนกาไว้ได้แล้ว เหยาหลิ่งจือ น้องสาวของฮ่องเต้หญิง
แห่งต้าเฉวียน พี่สาวของเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวง นับตั้งแต่ที่ทา ‘หมิง เฉวียน หายไป นางก็ถอดใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่คิดจะคบค้าสมาคม กับคนในยุทธภพและเหล่าผู้กล้าทั้งหลายอีกแล้ว
เหยาจิ้นจือต้องการไปเยือนอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งเพื่อพบ กับหลิวเม่า องค์ชายของราชวงศ์ก่อนที่เดิมที่ควรเรียกนางว่าพี่สะใภ้ ทุกวันนี้คือนักพรตหลงโจวในทาเนียบหยกทองของกรมพิธีการ
อารามเล็กมีชื่อว่าอารามหวงฮวา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของ นครเซิ่นจิ่ง
เหยาจิ้นจือเดินไปทางหน้าตรอก ยกสองมือขึ้นเป่ าไอร ้อน ออกมาจากมือ เหยาหลิ่งจือหันไปส่งสายตาให้น้องชาย บอกเป็ นนัย แก่เขาว่าอย่ามัวอึ้งอยู่ รีบเดินนาหน้าไปนาทางให้ฝ่าบาทเร็วเข้า
แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์ต้าเฉวียนก็นับถือลัทธิเต๋าอยู่แล้ว อาราม เต๋าในเมืองหลวงมีจ านวนมาก อารามหวงฮวาคืออารามเต๋าแห่งหนึ่ง ที่ประวัติศาสตร ์ยาวนานยิ่ง
หลังจากต้าเฉวียนก่อตั้งแคว้นได้ไม่นาน ฮ่องเต้ไท่จงก็เคยมาขอ พรที่อารามเต๋าแห่งนี้ด้านในจึงตั้งบูชาซานกวนต้าตี้ (ซ ากัวไต่เต่เป็ น เทวดาตามความเชื่อของจีนและศาสนาเต๋าโดยเป็ นตรีเทพบุรุษสาม องค์ซึ่งเป็ นผู้บริหารจัดการในสถานพิภพจักรวาลอันกว้างใหญ่)
รถม้าที่คันค่อนข้างใหญ่ยากจะผ่านตรอกแคบที่คดเคี้ยวเส้นนี้ ไปได้
เหยาหลิ่งจือเดินอยู่ในตรอกที่มืดสลัวเป็ นเพื่อนฮ่องเต้ เอ่ยเสียง เบาว่า “ฝ่ าบาท ทางฝั่งของซือหลี่เจียนและที่ว่าการกรมพิธีการต่างก็ มีคนแจ้งให้หลิวเม่าแห่งอารามหวงฮวาเตรียมตัวรับเสด็จฝ่ าบาทไว้ ก่อนแล้ว แต่เดิมทีให้เขารออยู่ในยามเฉิน พวกเรามาถึงก่อนหนึ่งชั่ว ยามเช่นนี้ ไม่รู ้ว่าทางฝั่งของหลิวเม่าจะ…”
เหยาจิ้นจือยิ้มกล่าว “ในอารามหวงฮวา เจ้าอารามกับนักพรตที่ ประจ าอยู่ในอารามมีรวมกันแล้วก็แค่สามคน จะให้เขาหลิวเม่ามารอ รับเสด็จอย่างไรได้อีก? ปล่อยตามสบายเถอะ”
อันที่จริงหลิวเม่าเจ้าอารามที่มีฉายาว่า “หลงโจว” ได้มารออยู่ที่ หน้าประตูตั้งแต่เช ้าตรู่แล้ว เปลี่ยนมาสวมชุดเต๋าที่สะอาดสะอ้าน ถือ แส้ปัดฝุ่น สองมือวางทับซ ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง หลับตาท าสมาธิรอ
และยังมีเด็กอีกสองคนที่ติดตามอาจารย์ผู้เป็ นเจ้าอารามมาด้วย ความไม่ยินยอมพร ้อมใจ ต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ขยี้ตาอ้าปากหาว งัวเงีย ไม่หาย อาจารย์ก็ไม่ได้บอกด้วยว่าจะต้องมารอรับใคร นี่รอมาเกือบ ครึ่งชั่วยามแล้ว เหนื่อยจริงๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานหลิวเม่าบอกว่าตัวเองเตรียมจะสร ้างโอสถแล้ว หวังว่าทางราชส านักจะจัดหาพื้นที่ประกอบพิธีกรรมสักแห่งหนึ่ง ให้กับเขา
บนประตูบานใหญ่ของอารามเต๋าแปะภาพเหมือนของหลิงกวน ลงสีที่น่าเกรงขาม สูงเท่าตัวคนเอาไว้สองภาพ
ภายใต้การ “แนะนา” ของอาจารย์เจิงคนเชื่อดาบผู้นั้น หันกวงหู่ จึงมารับหน้าที่เป็ นราชครูต้าเฉวียนตอนต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เวลา นี้ยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่ าบาท คุณสมบัติในการฝึกตนของหลิวเม่าผู้นี้ไม่เลว เลยนะ อายุสี่สิบกว่าก็มีโอกาสสร ้างโอสถแล้ว”
ขอแค่ไม่เปรียบเทียบกับผู้ฝึ กตนอายุน้อยที่ไร ้เหตุผลบางส่วน องค์ชายสามของราชวงศ์ก่อนท่านนี้ หากสามารถสร ้างโอสถทองใน วัยไม่สับสนได้จริงก็คู่ควรกับค าเรียกขานว่า “ผู้มีพรสวรรค์” แล้ว
ตอนนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความคิดของฝ่ าบาทแล้วว่าจะให้นักพรต หลงโจวเป็ นปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกรไปนับแต่นี้ หรือจะให้ชีวิตนี้ องค์ชายสามหลิวเม่าหยุดอยู่แค่ที่ตบะขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น
บางทีค าตอบนี้อาจต้องรอให้ฝ่ าบาทได้พบหน้า “น้องสามี” ใน อดีตผู้นั้นเสียก่อน หรือบางทีที่ฝ่ าบาทอาจมีคาตอบอยู่ในใจมานาน แล้ว วันนี้เสด็จ “ประพาส” อารามหวงฮวาก็แค่มาแสดงตัวให้พอเป็ น พิธีเท่านั้น
ว่ากันว่าทางฝั่งของอารามหวงฮวานี้ ทุกปีหลิวเม่าจะต้องเขียน ค าเขียว เขียนจดหมายถึงซานกวนและเขียนยันต์ในงานเทศกาล ด้วยมือตัวเอง แล้วขอให้คนส่งเข้าไปในวัง ฮ่องเต้เองก็จะส่งต่อไป ให้กับขุนนางบุ๋นบู๊เก่าที่ยังคงทางานอยู่ในราชสานัก อันที่จริง ความหมายก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือหลิวเม่าอาศัยโอกาสนี้ช่วยพิสูจน์ เรื่องหนึ่งกับฮ่องเต้ว่าหลิวเม่าบุตรชายของอดีตฮ่องเต้สกุลหลิวต้า เฉวียนยังมีชีวิตอยู่ดี พระคุณของฮ่องเต้ หลิวเม่าซาบซึ้งยิ่งนัก เป็ น
เหตุให้นอกจากจะตั้งใจฝึกตนแล้วก็ยังยินดีจะช่วยเหลือราชวงศ์ใหม่ ของสกุลเหยาอย่างสุดกาลังความสามารถอันน้อยนิดที่มี
โดยไม่ทันรู ้ตัว เดินไปเดินมาเหยาหลิ่งจือก็เปลี่ยนตาแหน่งกับ ราชครูหันแล้ว นางกับหลิวจงผู้เป็ นอาจารย์ และยังมีเด็กหนุ่มเจี่ยนห มิงต่างก็เดินอยู่รั้งท้ายสุดในตรอกเล็ก
เหยาเซียนจือที่เดินขากะเผลกอยู่ข้างหน้าชะลอฝีเท้าลง หันหน้า มายิ้มเอ่ยว่า “ราชครูหลิวเม่าผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ามัน นับแต่ เล็กมาก็มีกลอุบายลึกล้า เชี่ยวชาญการวางแผนและดึงใจคนมาเป็ น พวก หากไม่เป็ นเพราะเขาหันมาเป็ นนักพรตแล้ว ข้าก็คงไม่ได้มา เป็ นเจ้าเมืองประจาเมืองหลวงนี่หรอก เรื่องราวในยุทธภพของพี่สาว ข้าก็น่าจะเป็ นฝีมือของหลิวเม่าผู้นี้ ความสามารถของเจ้าหมอนี่ยอด เยี่ยมจริงๆ พูดถึงแค่ผลงานชิ้นใหญ่ “จารึกภูมิศาสตร ์แห่งหยวนเจิน สิบสองปี” สี่ร ้อยกว่าฉบับที่ราชวงศ์ก่อนเป็ นผู้เรียบเรียง อันที่จริงคน ที่รับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้ตรวจสอบบทสรุปรวบยอดสาระสาคัญที่ แท้จริงก็คือหลิวเม่า”
“เมื่อหลายปีก่อนข้าจับตามองเขามาโดยตลอด ถือว่าเขายังทา ตัวว่าง่ายอยู่บ้าง อีกทั้งหลิวเม่าก็เป็ นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญในศาสตร ์ การคานวณ บนชั้นวางหนังสือก็มีผลงานด้านการค านวณอยู่หลาย เล่ม ข้าอ่านแล้วรู้สึกเหมือนอ่านต าราสวรรค์ แต่ข้ารู้สึกว่าหลายปี มา นี้หลิวเม่าผ่านการขัดเกลานิสัยใจคอ บางทีแรกเริ่มอาจจะยังมีความ คิดเห็นอยู่บ้าง แต่ทุกวันนี้กลับไม่ได้แค่ทาท่าทางให้ดูเท่านั้น แต่
อยากตั้งใจฝึกตนจริงๆ แล้ว คราวก่อนที่ข้ามาที่นี่เขายังบอกความใน ใจบางอย่างกับข้า แน่นอนว่าค าพูดไม่ค่อยน่าฟัง เอาเป็ นว่านับแต่ เด็กมาหลิวเม่าก็ชอบจงใจพูดจาเหน็บแนมเสียดสีคนที่เขาดูแคลน จากส่วนลึกของใจจริงอยู่แล้ว”
เหยาหลิ่งจือเหลือบมองสีหน้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง มอง อะไรไม่ออกจึงเร่งฝีเท้าเดินมาหยิกเข้าที่ชายโครงของน้องชาย เตือน เขาว่าอย่าได้พูดถึงหลิวเม่าซี้ซั้ว
เหยาเซียนจือลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดความในใจที่ แท้จริงออกมา อาจารย์เฉินเคยบอกว่าเจ้าหลิวเม่าผู้นี้หมดอาลัยตาย อยากอย่างแท้จริงแล้ว แต่ขอแค่จัดการอย่างเหมาะสม ไม่แน่ว่าใน อนาคตอีกร ้อยปีข้างหน้าของราชวงศ์ต้าเฉวียนอาจจะมีผู้ถวายงาน ก่อก าเนิดที่ช่วยสืบทอดชะตาแคว้นคนหนึ่งโผล่มาเพิ่มก็เป็ นได้ แล้ว ก็เพราะคาวิเคราะห์นี้ของอาจารย์เฉิน วันนี้เหยาเซียนจือถึงได้กล้า เอ่ยเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเป็ นใต้เท้าเจ้าเมืองมาตั้งนานขนาดนี้ คิดว่าเขา เป็ นแค่พวกขี้เมาหยาเปคนหนึ่งจริงๆ หรือไร?
เหยาจิ้นจือหัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เหยาเซียนจือเอ่ยเสียงเบา “ถึงแล้ว”
เดินเลี้ยวโค้งไปก็เจออารามหวงฮวาแล้ว หลิวเม่าเก็บความคิด กลับคืน ในมือถือแส้ปัดฝุ่ น เดินขยับมาอยู่ตรงกลางของตรอกเล็ก รอกระทั่งกลุ่มของพวกฮ่องเต้ขยับเข้ามาใกล้หลิวเม่าก็ก้มหัวคารวะ
ตามขนบลัทธิเต๋า “หลิวเม่านักพรตผู้ดูแลอารามหวงฮวาคารวะฝ่ า บาท”
หลิวเม่ายึดตัวขึ้นแล้วก็ก้มหัวคารวะอีกครั้ง “หลิวเม่าคารวะ ราชครู ใต้เท้าเจ้าเมือง”
เหยาจิ้นจือยิ้มกล่าว “ไม่ต้องมากพิธี หลิวเม่า ดูเหมือนว่าพวก เราจะไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้วนะ?”
เมื่อเทียบกับองค์ชายใหญ่ที่จิตใจทะเยอทะยาน กาเริบเสิบสาน ไร ้มารยาทผู้นั้นแล้วอันที่จริงกับหลิวเม่าคนนี้ เหยาจิ้นจือไม่ได้มี ความแค้นส่วนตัวกับเขามากนัก
นักพรตน้อยสองคนในอารามอึ้งค้างกันไปทันที ในสมองเหมือน มีแต่แป้ งเปี ยกมารยาทพิธีการอะไรก็ล้วนลืมไปหมดแล้ว แล้ว นับประสาอะไรกับที่พวกเขาก็ไม่รู ้หลักมารยาทอะไรสักอย่าง เวลา ปกติอาจารย์ก็ไม่เคยสอนพวกเขาเสียด้วย
โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่โกรธ กลับกันเหยาจิ้นจือยังยื่นมือมากดศีรษะ ของนักพรตน้อย เอ่ยสัพยอกว่า “ท าไมไม่ซุกซนแล้วเล่า? ความ คึกคักในเวลาปกติหายไปไหนหมดแล้ว?”
สีหน้าของหลิวเม่ายิ่งเคารพนอบน้อม ไม่ก้มหัวคารวะตามขนบ ลัทธิเต๋าอีก แต่ค้อมกายคารวะด้วยหลักของขุนนางที่มีต่อเจ้าเหนือ หัว เอ่ยเสียงเบาว่า “กราบทูลฝ่ าบาท จากครั้งก่อนที่จากลากันก็สิบ กว่าปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วราวดีดนิ้วมือ”
หันกวงหู่มองประเมินเจ้าอารามผู้นี้ ในฐานะกากเดนของราชวงศ์ ก่อน หลิวเม่าสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ภายใต้เปลือก ตาของฮ่องเต้ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลจริงๆ
เข้ามาในอาราม เหยาหลิ่งจือเสนอว่าจะไปกราบไหว้ในห้องโถง หลัก สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ในสายตาคือมีโถงรับแขกและเรือนนอนอย่าง ละแห่งเท่านั้น เนื่องจากถูกสร ้างขึ้นตามพระราชโองการ แม้ว่าอาราม เต๋าจะเล็ก แต่มาตรฐานกลับไม่ต่า โถงใหญ่สาหรับรับรองแขกกว้าง ลึกเคร่งขรึม ค่อนข้างจะมีดอยู่บ้าง ห้องอุ่นมีขนาดแค่สามฉื่อ ระหว่าง ห้องทั้งสองมีม่านมังกรสีเหลืองบังตา ปูพรมหรูหรางดงาม วางเก้าอี้ สองตัวที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่ ฟูกปูท าจากผ้าแพรเหลืองลายมังกร ขด ใช ้ขนนกยูงถักด้านหน้าของมังกร เพียงแต่ว่าของเช่นไหว้ที่วาง ไว้บนโต๊ะบูชาค่อนข้างจะเรียบง่าย ในกุ่ย (ภาชนะที่ใส่อาหารสมัย โบราณ ปากกลมมีสองหู) มีเนื้อแค่สามชิ้น มีข้าวโพดไม่กี่เมล็ด ภาชนะที่ใช ้ในการทาพิธีก็เรียบง่าย ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นภาชนะไม้ที่ทา ชาดสีแดง
หลิวเม่ารีบหยิบกระบอกธูปมา รอกระทั่งฮ่องเต้คีบธูปออกมาสาม ก้าน ทุกคนก็พากันขยับถอยออกจากต าหนักใหญ่ด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ฮ่องเต้จุดธูปคารวะแล้วก็ไม่ได้เดินออกมาจากต าหนักใหญ่ทันที แต่ผลักม่านสีเหลืองออก เดินไปดูในห้องอุ่นครู่หนึ่ง
อันที่จริงสายของหลิวเม่านี้ ในทาเนียบวงศ์ตระกูลเชื้อพระวงศ์ ของสกุลหลิวต้าเฉวียนไม่ถือว่าเป็ นลูกหลานของฮ่องเต้เกาจู่ แต่ถือ ว่าเป็ นทายาทของฮ่องเต้ไท่จง
ดังนั้นเหยาจิ้นจือจึงตั้งใจจัดให้หลิวเม่ามาอยู่ในอารามเต๋าที่ถูก สร ้างขึ้นด้วยพระราชโองการของฮ่องเต้ไท่จง ก็ไม่อาจพูดได้ว่านาง ไร ้เจตนาอย่างสิ้นเชิง