กระบี่จงมา - บทที่ 980.4 สอนหมัดและเติมสุรา
เฉินผิงอันอธิบายว่า “เฉายาง ปณิธานหมัดไม่เพียงแต่ได้มาจาก กระบวนท่าที่ฝึกฝนวันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่าเท่านั้น หมัดที่ดีที่แท้จริง ในใต้หล้านี้ ต้องมาจากนอกตาราหมัดอย่างแรกสอนให้พวกเราปู พื้นฐานของวรยุทธอย่างแน่นหนา อย่างหลังกลับสอนให้หมัดของ พวกเราสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวบนเส้นทางการเรียนวรยุทธ ก็เหมือน อย่างอักษรภาพนี้ มีครบทั้งรูปลักษณ์และจิตวิญญาณ บางทีใน สายตาของปัญญาชนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนพู่กันจีน หากดู จากเจตนารมณ์ของปลายพู่กันแล้ว อย่างมากก็เป็ นได้แค่ส าเนาของ เทียบอักษรเท่านั้น แต่หากเปลี่ยนมาเป็ นผู้ฝึ กยุทธอย่างพวกเราที่ มอง กลับสามารถมองเห็นความหมายได้มากกว่าเดิม ถึงขั้นสามารถ สร ้างกระบวนท่าหมัดของตัวเองออกมาได้ ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ข้าจะ สอนหมัดนี้ให้พวกเจ้าเอง แล้วพวกเจ้าก็จะรู ้ว่าที่ข้าพูดนั้นไม่ใช่คา ลวง”
จูเหลี่ยนช่วยเก็บม้วนภาพ เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นอกจากหลักการเหตุผลแล้วก็ได้โอ้อวดของสะสมที่ข้ามีอยู่ให้พวก เจ้าได้ดูด้วย”
เด็กหนุ่มเด็กสาวหันมามองหน้ากัน
จูเหลี่ยนพันเชือกไว้บนม้วนภาพเรียบร ้อยแล้วก็ยื่นส่งให้เฉินผิง อันเบาๆ พลางเอ่ยว่า“ของสะสมมีมากมายไม่นับเป็ นอะไรได้ ขอแค่ ในกระเป๋ ามีเงินอยู่บ้างก็พอแล้ว แต่หากจะพูดถึงความยอดเยี่ยม ความงดงามของของที่สะสม อยากจะเอาชนะคนร่วมอาชีพ ทิ้งไปไม่ ไกลไม่เห็นฝุ่ น ท าให้คนได้แต่มองแผ่นหลัง ก็ต้องทดสอบสายตาใน การแยกแยะสิ่งของของคนที่เป็ นนักสะสมอย่างมากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มพลางเก็บม้วนภาพกลับไปไว้ในวัตถุฟางขุ่นอีกครั้ง คาพูดดีๆ ประเภทนี้ของพ่อครัวเฒ่า เป็ นความจริงอย่างมาก
ต้องรู ้ว่าตอนที่เผยเฉียนยังเด็กก็เคยไปร ้องทุกข์กับเหล่าเว่ยเป็ น การส่วนตัว ใบหน้าของแม่นางน้อยเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ทอด ถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่าการท าตัวเป็ นลูกสมุนของพ่อครัว เฒ่า เรียนรู้อย่างไรก็เรียนได้ไม่เหมือน
เหล่าเว่ยพยักหน้า บอกว่าความสามารถประจ าตัวของคนบาง คนก็มีติดตัวมาแต่ก าเนิด ไม่ได้เกิดจากความพยายาม
สุดท้ายเว่ยเซี่ยนยังไม่ลืมเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า ยกตัวอย่าง เช่นการสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นของเจ้า กับความสามารถใน การดื่มเหล้าของข้า
แต่ละคนต่างก็นั่งกลับลงไปอีกครั้ง เฉินผิงอันคิดว่าดื่มชาหมด ถ้วยนี้ก็จะจากไปแล้วจึงถามว่า “เฉาอิน ฝึ กตนเจอปัญหายาก อะไรบ้างหรือไม่?”
“ตอนนี้ยังไม่เจอ” เฉาอินส่ายหน้า มีตาราลับสามเล่มของชุย เซียนซือช่วยเปิดเส้นทางให้ ต่อให้เป็ นผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ฉลาดมาก แค่ไหนก็ยังสามารถฝึกไปตามลาดับขั้นตอนได้
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “หากว่าวันหน้ามีปัญหาอะไร เป็ นปัญหาที่ไม่ ว่าคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ ก็ไปขอความรู ้จากชุยตงซาน แม้ว่าข้าจะ เป็ นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน แต่ในด้านการถ่ายทอดความรู ้ไขข้อข้องใจ กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบชุยตงซานได้ติด ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไปที่ ห้องกระบี่ของยอดเขาจี้เซ่อ ส่งกระบี่บินไปยังภูเขาเซียนตูใบถงทวีป โดยตรง ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็ นการรบกวนชุยตงซาน ข้าจะบอกกับ เขาไว้ก่อน ดังนั้นหากเจ้าไม่ถามก็เท่ากับว่า ปล่อยโอกาสให้เสีย เปล่า”
เฉาอินลุกขึ้นประสานมือคารวะขอบคุณ เฉายางก็ลุกขึ้นกุมหมัด ตามไปด้วย
เฉินผิงอันยิ้มพลางผงกศีรษะรับ แล้วก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป เฉาอินกลับเป็ นฝ่ายเปิดปากถามก่อนว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าสามารถ พูดคุยถึงความรู ้ความเข้าใจจากการฝึกตนของตัวเอง แล้วจะขอฟัง ความเห็นจากเจ้าขุนเขาเฉินได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว”
จูเหลี่ยนช่วยเติมชาให้ทุกคนอีกครั้ง
เฉาอินกล่าวว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้ารู ้สึกว่าการฝึกตนของผู้ฝึก ลมปราณ หรือแม้กระทั่งการฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธล้วนเป็ นศาสตร ์ ของการแก้ปัญหาที่ร ้อยเรียงติดกัน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “หมายความว่าอย่างไร เหตุผลเหมือนเรือนที่ ว่างเปล่า หลักการเหมือนเสาคาน ไม่สู้เจ้ายกตัวอย่างให้ฟังหน่อย”
เฉาอินจึงยกตัวอย่างอย่างเป็ นรูปธรรมโดยการน าการหลอม เรือนกายของผู้ฝึกยุทธมาแยกออกเป็ นการหลอมหนัง เนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก นี่แสดงให้เห็นว่าเฉาอินที่มีฐานะเป็ นตัวอ่อนเซียนกระบี่ ไม่ได้กังวลเรื่องการฝึกตนของตัวเอง แต่เด็กหนุ่มกลับใส่ใจเส้นทาง การเรียนวรยุทธของเฉายางอย่างมาก
จูเหลี่ยนยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เด็กสองคนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก อันที่จริงกลับง่ายมากที่ ในอนาคตความสัมพันธ ์จะห่างเหินกันไป
เพียงแค่เพราะเด็กหนุ่มพลิกเปิดหนังสือเร็วเกินไป
ส่วนเด็กสาวที่อ่านหนังสือก็ชอบพับมุมกระดาษ
เฉินผิงอันตั้งใจฟัง พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ตัวอย่างนี้ยกมาได้ดี มาก”
เฉาอินกล่าวอย่างเขินอาย “บางทีคงมีแค่คนที่คุณสมบัติไม่ดี เท่านั้นที่ถึงจะอธิบายเช่นนี้”
เฉินผิงอันกาลังจะชมเด็กหนุ่มอีกประโยคว่า ความคิดนี้ของเจ้า สอดคล้องตรงกับข้าโดยไม่ได้นัดหมาย
ผลคือพอได้ยินเฉาอินพูดเช่นนี้ เจ้าขุนเขาเฉินก็รีบกลืนคาพูด ที่มารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไปทันที
อันที่จริงความเห็นนี้ของเฉาอินไม่ได้มีปัญหาใดๆ ถึงขั้นพูดได้ ด้วยว่าคือความเข้าใจจากการฝึกตนที่มีดุลพินิจอย่างมาก
ในความเป็ นจริงแล้วเฉาอินย่อมต้องเป็ นคนมีพรสวรรค์ อายุน้อย แค่นี้ก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณคอขวดขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว อีกทั้งยัง เป็ นผู้ฝึกกระบี่อีกด้วย
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า บนโลกใบนี้มีผู้มีพรสวรรค์ในกลุ่มของผู้มี พรสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งอยู่จริงๆ ก็เหมือนอย่างหนิงเหยา เฉาสือ เผย เฉียน ไฉอู๋ ที่ต่างก็ถือว่าเป็ นคนประเภทนี้
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เข้าใจตาราของลัทธิพุทธไหม?”
เฉาอินตอบ “เคยอ่านมาบ้าง แต่ไม่มาก”
เฉินผิงอันถามคาถามข้อหนึ่ง “มองความต่างระหว่างการตรัสรู ้ อย่างฉับพลันและค่อยๆ ตรัสรู้ของนิกายฉานเหนือกับนิกายฉานใต้ ของลัทธิพุทธอย่างไร?”
เฉาอินรู ้สึกกระวนกระวายไม่เป็ นสุข ปัญหาใหญ่ที่สาคัญซึ่ง เกี่ยวพันไปถึงการแบ่งแยกสายครั้งใหญ่ของลัทธิพุทธเช่นนี้ เขาหรือ
จะกล้าวิจารณ์ส่งเดช แล้วนับประสาอะไรกับที่เด็กหนุ่มเองก็ไม่เคย คิดอย่างลึกซึ้งมาก่อน
เฉินผิงอันถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า สามารถตั้งตัวเป็ น พระพุทธเจ้าได้จริงๆหรือ? หลังจากการรู ้แจ้งอย่างฉับพลันจะหยัดยืน อยู่ในภาวะของการตรัสรู ้อย่างฉับพลันนั้นอย่างไร?”
เฉาอินคล้ายจะเข้าใจ เพียงแต่ว่าดูเหมือนตัวอักษรในใจกลับ กลายมาเป็ นศัตรูตัวฉกาจของการบอกกล่าวความคิดดั้งเดิมของ ตัวเองออกมา
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ค่อยๆ คิดไป” เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอีก “เมื่อครู่นี้เจ้าอยากถามคาถามอะไร หรือ?”
เฉาอินพลันคืนสติ จึงปลุกความกล้าเอ่ยว่า “แต่ละวันเจ้าขุนเขา เฉินจัดการกับเวลาอย่างไร ช่วยบอกอย่างละเอียดได้หรือไม่ ข้า อยากจะท าตามท่าน เรียนรู้ได้กี่ส่วนก็เรียนรู ้ไปเท่านั้น”
มองชีวิตของคนอื่นก็เหมือนมองแผนที่แผ่นหนึ่ง เทือกเขา สายน้าที่ระบุพิกัดเอาไว้มีชื่อเสียงมาก แต่ดูเหมือนว่ามักจะไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกับตนเสมอ
แต่หากว่ามีโอกาสได้เข้าใกล้ ‘ภูเขามีชื่อเสียงสายน้าใหญ่ พวก นั้นแล้ว ก็จะเป็ นทัศนียภาพที่แตกต่างกันออกไป เหมือนยามที่ฟ้ า โปร่งสดใส ยืนอยู่ในจุดที่ห่างไปไกลมองภูเขาลั่วพั่วก็ไม่รู้สึกว่ามันสูง
แต่ยิ่งขยับเข้าใกล้ภูเขาลูกนี้ เดินมาถึงตีนเขา แหงนหน้ามองจึง จะสังเกตเห็นว่ามันสูงทะลุชั้นเมฆมากแค่ไหน
เพียงแต่พอเข้าไปในภูเขา อยู่ในภูเขาลั่วพั่วลูกนี้แล้ว กลับดู เหมือนว่าจะเป็ นทัศนียภาพอีกรูปแบบหนึ่ง
จูเหลี่ยนตกใจสะดุ้งโหยง รีบกระแอมเตือนเด็กหนุ่มว่าคาถามข้อ นี้ไม่เหมาะสม
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “ย่อมพูดได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าน่าจะ เรียนรู ้ไม่ได้หรอกเรื่องของการฝึกตนมีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากเกินไป แตกต่างกันไปตามบุคคล แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา แตกต่างกัน ไปตามสถานที่ พรรคและการสืบทอดที่ไม่เหมือนกันก็จะมีวิธีการ ถ่ายทอดวิชาที่ไม่เหมือนกัน ศาสตร ์การหายใจก็มีความต่างนับพัน นับหมื่น วัตถุแห่งชะตาชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป กลางวัน กลางคืนหยินหยางการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ผู้ฝึกลมปราณที่ ฝึกวิชาไฟและวิชาน้าก็จะมีการพักผ่อนและการเลือกพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง”
เป็ นเหตุให้อยู่บนภูเขา ยามที่คิดอยากจะผ่านด่านหรือปมของ โรค ก็ต้องมีคนที่เป็ นอาจารย์คอยช่วยชี้ทางสว่าง นี่ยากถึงเพียงใด ก็ ยากจนถึงขั้นที่มีคากล่าวว่ากราบไหว้อาจารย์เหมือนไปเกิดใหม่ อย่างไรล่ะ
สามารถเดินบนทางที่วกวนอ้อมค้อมได้น้อยลง เผชิญกับความ ยากลาบากที่ไม่จาเป็ นได้น้อยลง ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็ นที่ยอมรับว่ามี จิตใจแข็งแกร่ง เจ้าคิดว่าพวกเขายินดีจริงๆหรือ?
แม้ว่าจะบอกกับเด็กหนุ่มอย่างตรงไปตรงมาว่าเรียนรู ้ไม่ได้ ไม่ ต้องเรียนรู ้ แต่เฉินผิงอันก็ยังครุ่นคิดอย่างตั้งใจ แค่ประโยคขึ้นต้นก็ ทาให้จูเหลี่ยนรู ้สึกแล้วว่าไม่เสียแรงที่เดินทางมาในวันนี้
“ปีนั้นตอนที่ข้าออกจากบ้านเกิดตอนเป็ นเด็กหนุ่ม ค่อนข้างเร่ง รีบกับการเดินทางอยู่บ้าง ในเวลานั้นฝึ กเดินนิ่งฝึ กหมัดไม่หยุดก็ เพียงเพื่อต่อชีวิต เดินไปออกหมัดไป พยายามที่จะปรับลมหายใจให้ ได้ในทุกก้าวที่เดิน ทุกครั้งที่หยุดพักก็จะฝึ กท่าเจี้ยนหลูของหมัด เขย่าขุนเขา ก่อนจะเอนกายลงนอนก็จะฝึ กท่านอนเชียนชิว พยายามจะให้ปณิธานหมัดขึ้นมาอยู่บนร่าง ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี หนึ่ง หมื่นหมัดหลายหมื่นหมัด หนึ่งแสนหมัด หนึ่งล้านหมัด รู ้เพียงว่าเมื่อ ปณิธานหมัดอยู่บนร่างแล้วก็จะมีเทพมาสิงร่าง ตอนนั้นไม่เชื่อก็ต้อง เชื่อ ก็เหมือนการเขียนพู่กันจีนที่ข้อมือมีเทพและผีให้การช่วยเหลือ ความคิดก็จะบรรเจิดเลิศล้าพอมีเวลาว่าง ข้าก็จะอ่านหนังสือ คัดลอก ตารา เพราะเชื่อมั่นว่าความจาดีไม่สู้คัดบ่อยๆครั้งที่สองที่ไปถึง กาแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อนแห่งนั้น อันที่จริง โอกาสที่จะตั้งใจฝึกตนก็มีไม่มากแล้ว ช่วงเวลาหยุดพักที่สอดคล้อง กับความหมายทั่วไปของผู้ฝึ กตนอย่างแท้จริง บางทีอาจมีแค่ช่วง ก่อนหน้านี้ไม่นานที่ข้าได้ไปอยู่ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งที่
ภูเขาเซียนตูใบถงทวีปเท่านั้น ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าเจ้าไม่อาจเรียนรู ้ การฝึกตนและการหยุดพักของข้าได้ แต่จะว่าไปแล้ว หากพยายาม แกะการฝึกตนออกมาให้ได้ถึงส่วนที่เล็กที่สุด การหายใจ การเดิน การนอน ข้ารู ้สึกว่าไม่มีปัญหาใดๆ ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันแล้ว วิธีการมากมายก็ยังไม่มีวิธีใดที่แน่นอน ทว่าในวิธีการมากมายจะต้อง มีวิธีการหนึ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ”
เฉาอินยิ้มกว้างสดใส “เข้าใจแล้ว!”
การฝึกตน เมื่อไปถึงขั้นตอนบางอย่าง ผู้ฝึกลมปราณก็จะไม่มี เรื่องอะไรให้ทาอีก
ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับรู ้สึกว่าตัวเองมีเรื่องมากมายที่ทาได้แล้ว
เฉายางถึงอย่างไรก็เป็ นสตรี จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผม นางจึง รู ้สึกสงสัยอยู่บ้างเจ้าขุนเขาเฉินไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่ที่พิสูจน์มรรคา ได้แล้วหรอกหรือ ท าไมถึงเหมือนจะเห็นผมหงอกของเขาล่ะ
จูเหลี่ยนนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง มองเจ้าขุนเขาหนุ่มที่พูดคุยกับ เด็กหนุ่มไม่หยุดคุณชายที่เป็ นเช่นนี้ มีสตรีคนไหนบ้างที่เห็นแล้วจะ ไม่หวั่นไหว?
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้าหากมีคาถามทานองนี้อีกก็ ถามบ่อยๆ ได้เลย ต่อให้ข้าไม่ได้มาที่นี่ เจ้าก็เป็ นฝ่ายไปหาข้าได้”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจเอ่ยเสียงเบา “ที่แท้หลักพระธรรมก็คือคาพูด ทั่วไปนี่เอง”
เฉินผิงอันแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน ลุกขึ้นยืน สุดท้ายเอ่ยกับเด็ก หนุ่มสามประโยค”
“ขงจื๊อกล่าว เมื่ออายุสิบห้าก็มุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียน”
“มีความสุขได้โดยไม่เสียการเสียงาน แม้แต่ปราชญ์ก็ยังชอบใจ”
“เด็กหนุ่มจะไม่ดื่มเหล้าได้อย่างไร”
ประโยคแรก เฉาอินฟังออกถึงความคาดหวังที่เจ้าขุนเขาเฉินมี ต่อตน ประโยคที่สองก็โน้มน้าวตนว่าอย่าได้ยึดติดกับการฝ่ าทะลุ ขอบเขตเกินไป ซึ่งก็ถือเป็ นถ้อยคาล้าค่าที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าประโยคที่สามนี้ เด็กหนุ่มฟังแล้วกลับงงเล็กน้อย ไม่รู ้ ว่าควรจะตอบไปอย่างไรดี
เดินออกมาจากเรือนด้วยกัน ใบหน้าของเฉาอินเต็มไปด้วย ความคาดหวังและรอคอยปลุกความกล้าถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ท่านเคยเจอปรมาจารย์มหาปราชญ์หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เคยเจอ”
เฉาอินอึ้งงันไร ้คาพูดไปทันที มองแผ่นหลังของเซียนกระบี่ชุด เขียว เนิ่นนานอารมณ์ของเด็กหนุ่มก็ยังมิอาจสงบลงได้
จูเหลี่ยนขยับเท้าตามไปช ้ากว่าเล็กน้อย เขาตบไหล่เด็กหนุ่ม หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หากวันหน้าวันหลังมีคนถามว่า เซียนกระบี่เฉา เคย เจออาจารย์เฉินหรือไม่?”
เฉาอินพลันคลี่ยิ้มกว้าง เด็กสาวที่อยู่ข้างกายก็ยิ้มเหมือนบุปผา ผลิบาน
“คราวหน้าที่มา พวกเราต้องดื่มเหล้ากันแล้วนะ”
จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลัง หลังโก่งงองุ ้ม ก้าวเดินเร็วๆ ไล่ตาม คุณชายบ้านตนไป
เฉายางเอ่ยเสียงเบา “ก่อนที่จะขึ้นเขามา อาจารย์จูก็ต้องมี เรื่องราวในยุทธภพมากเหมือนกันกระมัง?”
เฉาอินพยักหน้ารับแรงๆ แน่อยู่แล้ว
เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า รอให้จูเหลี่ยนตามมาทัน
“คุณชาย มีประโยคหนึ่งที่ไม่รู ้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่”
“ก็อย่าพูด”
“ก่อนหน้านี้ชมการสอนหมัดของคุณชาย ดุจเมฆคล้อยน้าไหล ข้าก็มีความคิดบางอย่าง”
“คันมือหรือ? มา ประลองกัน”
เจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วกับพ่อครัวเฒ่าแห่งภูเขาลั่วพั่ว
บนเส้นทางเล็กระหว่างภูเขา ความเร็วในการออกหมัดของทั้ง สองฝ่ ายเรียกได้ว่า “ชวนตะลึงพรึงเพริด” สรุปก็คือเจ้ากระโดดปล่อย หมัด ข้าเบี่ยงหน้าหลบเลี่ยง เจ้าใช ้ท่าพยัคฆ์ร ้ายควักใจ ข้าโต้
กลับคืนด้วยท่าลิงเด็ดลูกท้อ พลิกหมุนตีหลังกา เชื่องช ้าประหนึ่งเต่า คลาน เผยมาดยอดฝีมือออกมาอย่างเต็มที่…
โชคดีที่เด็กหนุ่มเด็กสาวไม่ได้เห็นการถามหมัดนี้กับตาตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้พูดถึงเซียนกระบี่เฉินที่มีมาดของปรมาจารย์หรือ อาจารย์จูผู้มีใบหน้าเมตตาปราณีอะไรอีกเลย
คุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามโชกโชนในยุทธภพ จากเด็กหนุ่ม กระทั่งถึงวัยชรา อันที่จริงจอกเหล้าไม่เคยว่างเปล่า เพราะดื่มเหล้าใน จอกหมดก็สามารถใช ้เรื่องราวเติมสุราต่อได้