กระบี่จงมา - บทที่ 980.3 สอนหมัดและเติมสุรา
แล้วก็ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันลงมืออย่างไร ทวนไม้ยาวก็แทงเข้าที่ หน้าผากของเฉายางแล้ว ศีรษะของเด็กสาวเหวี่ยงสะบัดอย่างแรง ร่าง ทั้งร่างปลิวกระเด็นไปด้านหลัง หน้าผากบวมแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เฉายางใช ้ฝ่ ามือตบพื้น หมุนร่างพลิก กลับ จากนั้นจึงใช ้ปลายดาบทิ่มพื้นหลายครั้ง บนพื้นของลานฝึ ก ยุทธเกิดเป็ นสะเก็ดเปลวเพลิงกระจายไปทั่วทิศทันใด เด็กสาวฝื น พลิกร่างกลับมา เดินวนรอบตัวคนชุดเขียวเดินเป็ นวงโค้งไปได้เกิน ครึ่งรอบ จากนั้นค่อยส่งดาบแทงสวนขึ้นด้านบน ปลายดาบยังไม่ทัน ขยับเข้าใกล้คนชุดเขียว ก็ถูกหอกไม้เล่มนั้นสวนผ่านมาด้วย ความเร็วที่มากยิ่งกว่า เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ปลายหอกกระแทกเข้าที่ ไหล่ของเฉายางโดยตรงจนไหล่ของเด็กสาวเอียงกะเท่เร่ไปข้างหนึ่ง ร่างหมุนคว้างอยู่ที่เดิม รอกระทั่งเฉายางคืนสติกลับมา ปลายหอกไม้ ที่หยุดนิ่งไม่ขยับก็ทิ่มมาที่ลาคอของนางแล้ว
“คุมเชิงกับผู้แข็งแกร่ง จิตใจไม่มั่นคง มีแต่จะถูกบีบให้เลือดลม แล่นพล่าน หรือว่าก่อนจะลงมือก็คิดไว้แล้วว่าตัวเองต้องแพ้อย่างไม่ ต้องสงสัย ใจเลยหวังแค่ว่าจะตายให้เร็วหน่อยเท่านั้น?”
เฉินผิงอันถอนหอกกลับมา “เอาใหม่”
จากนั้นไม่ว่าเฉายางจะโจมตีอย่างไร ก็มิอาจขยับเข้าใกล้ร่าง ของคนชุดเขียวได้เลยไม่มากไม่น้อย เรือนกายของคนทั้งสองมี ระยะห่างหนึ่งหอกกั้นขวางอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ระหว่างนั้นเฉินผิงอันกวาดหอกออกมาในแนวขวาง กระแทกเข้า ที่ช่วงเอวของเด็กสาวอย่างอ ามหิต เฉายางถูกแรงฟาดดีดร่างจนตัว ลอย ร่างทั้งรางเหมือนธนูที่โค้งโก่งลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะถูก ด้ามไม้ช่วงหนึ่งของหอกกระแทกเข้าที่หัวใจ กระเด็นไปชนกับก าแพง เรือนกายของเด็กสาวพลิกหมุนอยู่กลางอากาศอย่างปราดเปรียว งอ เข่าสองข้างลงเล็กน้อย นั่งยองลงบนหัวกาแพง อาศัยแรงดีดนี้จู่โจม กลับไปที่คนชุดเขียวที่ก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย ฝ่ ายหลังคล้ายขี้ เกียจจะใช ้หอกยาวรับมือกับศัตรูแล้ว จึงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นประกบ สองนิ้วเขาด้วยกันก็ผลักปลายดาบออกไป ‘เบาๆ” จากนั้นตีศอกถอง ใส่จนเฉายางเลือดอาบเต็มหน้า ล้มไปกองอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้นอีก หอกทิ่มลงพื้นแล้วตวัดยกขึ้น คราวนี้ร่างของเด็กสาวมิอาจรวบรวม ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ได้อีก พลิกตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบ ก่อนจะไปร่วงกระแทกเข้ากับชั้นวางอาวุธอย่างจัง เสียงโครมเครั้งๆๆ ดังระนาว เฉายางกระอักเลือดออกจากปาก ใช ้ฝ่ ามือข้างเดียวยันพื้น โซเซลุกขึ้นยืน สายตาฉายแววเด็ดเดี๋ยว เพียงแต่แขนข้างที่กุมดาบ กลับสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่ ขณะเดียวกันเฉายางก็เริ่มขยับเท้า เผชิญหน้าเข้ากับบุรุษที่เดินมาหาตนช ้าๆ อยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันพยักหน้าเบาๆ อย่างไม่ให้เป็ นที่จับสังเกต พ่อครัวเฒ่า ว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ เด็กสาวสามารถทนรับความยากล าบากได้ดีมาก อีกทั้งเรียนรู ้อะไรก็รวดเร็ว เหมือนอย่างในเวลานี้ เกรงว่าตัวเฉายาง เองก็คงไม่รู ้ด้วยซ้าว่านางได้ใช ้เส้นทางการโคจรลมปราณแท้จริงที่ เฉินผิงอันถ่ายทอดให้ก่อนหน้านี้แล้ว
นี่ก็คือพรสวรรค์ อาจารย์พาเข้าสานักฝึกตนอยู่ที่ตัวเอง ยืนหยัด ต่อไปด้วยจิตใจแน่วแน่ นานวันเข้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าศิษย์จะต้องสู้ อาจารย์ไม่ได้
ฝี เท้าของเฉินผิงอันก้าวไม่เร็ว เอ่ยว่า “คนเราสามารถดึง ลมปราณขึ้นยากที่สุด แต่ระบายออกกลับง่ายมาก เรียนวรยุทธ ฝึกวรยุทธ สิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนก็คือการเป็ นคน”
“เป็ นคนแบบใดก็จะสามารถคิดค้นกระบวนท่าหมัดแบบนั้น บรรลุวิชาหมัดจากการหลอมรวมสัจธรรมแห่งหมัดแบบนั้นออกมาได้ เฉายาง นอกจากฝึกวรยุทธแล้ว เคยคิดหรือไม่ว่าท าไมตัวเองถึงต้อง ฝึกหมัด ต้องเรียนรู ้หมัดอะไร แล้วตัวเจ้าเองล่ะเป็ นคนแบบไหน?”
เฉายางอึ้งตะลึง
ผลคือได้ยินเฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะว่า “ศัตรูตัวฉกาจอยู่เบื้อง หน้า ยังจะกล้าเสียสมาธิอีกรี?”
เสียงโครมดังลั่น เด็กสาวกระแทกเข้ากับกาแพงทางฝั่งนั้น ก่อน ร่างจะร่วงผล็อยลงมานั่งกองอยู่กับพื้น ใช ้ดาบยันพื้น พยายามจะลุก
ขึ้นยืนหลายครั้งแต่ก็ไร ้ผล ปลายเท้าจิกพื้นอย่างแรง หลังพิงก าแพง ค่อยๆ ลุกขึ้นช ้าๆ
ดวงตาของเฉายางพร่าลาย หันหน้าไปมองตามจิตใต้ส านึก หูได้ ยินเสียงก าแพงแตกลั่นดังมา หากนางไม่หลบ คาดว่าคงถูกหอกไม้ แทงทะลุศีรษะคาที่ไปแล้ว
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยปลอบใจเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกาย “ไม่ต้องกังวล ทุก ครั้งที่เจ้าขุนเขาลงมือล้วนมีการกะน้าหนักได้อย่างดีเยี่ยม ล้วน พิจารณาถึงเฉายางเป็ นหลัก หากสอนหมัดอยู่แค่เรื่องของกระบวน ท่าและสัจธรรมแห่งหมัด นั่นต่างหากถึงจะเป็ นการสิ้นเปลืองเวลาของ เจ้าขุนเขา เนื่องจากเจ้าเป็ นคนนอกสถานการณ์จึงไม่รู ้ว่า เวลานี้จุด ที่เฉายางทรมานอย่างแท้จริงอยู่ที่ว่าลางสังหรณ์ของนางได้ถูกเจ้า ขุนเขาชักนาไปแล้ว มั่นใจแล้วว่าหากไม่ระวังให้ดีก็จะถูกท าร ้ายไป ถึงรากฐาน จะถูกสะบั้นเส้นทางการเรียนวรยุทธได้ตลอดเวลา เมื่อ เป็ นเช่นนี้จึงจะถือว่าเป็ นการประลองฝีมือ หาไม่แล้วหากเป็ นแค่การ ป้ อนหมัดเบาๆ สอนหมัดแบบนี้ก็เหมือนอย่างที่เจ้าขุนเขาบอก ความหมายน้อยนิด เพียงแค่เพราะสืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ในส่วนลึก ของจิตใจเฉายางมีความคิดว่าตัวเองยืนอยู่ในสถานะที่มิพ่าย แต่ใน ความเป็ นจริงแล้วคนนอกกลับรู ้สึกว่าเป็ นการแบ่งแยกแพ้ชนะอย่างที่ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น แต่สาหรับตัวเฉายางที่อยู่ในสถานการณ์กลับคิด ว่าเป็ นการตัดสินเป็ นตาย”
“วิถีแห่งหมัดของผู้ฝึกยุทธก็คือเส้นทางในชีวิตของพวกเรา ทุก ก้าวที่เดินต้องย่าพื้นให้เต็มฝ่ าเท้า ไม่เหยียบลงบนความว่างเปล่า หากต้องการให้ความขมขื่นผ่านพ้นความหวานชื่นมาเยือน ก็ได้แต่ ทนรับกับความยากลาบากเท่านั้น ข้อปลีกย่อยที่ไม่สาคัญอย่าง เส้นทางการไหลรินของลมปราณที่แท้จริงนี้ สามารถสอนสามารถ เรียนรู ้กันได้ แต่ความคิดของคนกับปณิธานหมัดบนร่างล้วนต้อง แสวงหาความบริสุทธิ์ทั้งสองอย่าง ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ทนทรมานกับ ความยากลาบากที่ทับซ ้อนความยากลาบากแล้ว ทุกๆ ชั่วเวลา ปัจจุบัน แม้แต่ความคิดว่าความขมขื่นผ่านพ้นแล้วจะได้เจอกับความ หอมหวานก็ไม่อาจมีได้”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่วน “คาดว่าคุณชายน่าจะยังเพิ่มฟืนอีกท่อนลง ไปด้วย”
แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันไม่ได้ดึงหอกไม้ที่ปักตรึงอยู่ใน ก าแพงออกมา เขาเอ่ยว่า “เฉายาง พักสักครู่ คาดว่าในใจเจ้าคงไม่ ยอมแพ้ รู ้สึกว่าข้าเรียนหมัดเร็วกว่า ขอบเขตสูงกว่า ถึงได้เอาแต่พูด หลักการเหตุผลที่เลื่อนลอยกับเจ้า อยู่สูงกว่าแล้วมองเหยียดคนอื่น เป็ นเรื่องน่ารังเกียจ ถือว่าใช ้วิธีของการกดข่มบนมรรคา ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกดขอบเขตลงอีกขั้นใช ้ขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธมาประลอง ฝีมือกับเจ้า อาศัยแค่กระบวนท่าพื้นฐานของวิช หมัดเขย่าขุนเขา เท่านั้น ดูสิว่าเจ้าจะทนรับได้กี่กระบวนท่า”
ขอแค่ไม่ใช่การสอนหมัดให้กับเผยเฉียน ต่อให้อยู่บนยอดเขา เจ๋อเซียน ช่วยป้ อนหมัดให้เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่หยุด สุดท้ายภายใต้โอกาส อ านวย ช่วยให้นางเลื่อนเป็ นชั้นปราณโชติช่วงของขอบเขต ปลายทางได้ เฉินผิงอันก็ยังรู ้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยาก
เขานี่ช่าง….รับลูกศิษย์ที่ดีมาจริงๆ เป็ นเหตุให้เขาที่เป็ นอาจารย์ สอนหมัดยังยากกว่าตัวเองฝึกหมัดเสียอีก
ภายหลังเฉินผิงอันก็ใช ้ขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธออกกระบวน ท่าจนเฉายางไร ้เรี่ยวแรงจะต้านรับ
สุดท้ายเด็กสาวคุกเข่าข้างเดียว ใช ้ดาบยันพื้น สะบัดหัว แต่ก็ยัง รู ้สึกเวียนหัวตาลายการมองเห็นพร่าเลือน ใบหน้าของเด็กสาวโชก ไปด้วยเลือดสดๆ เลือดแต่ละหยดหล่นร่วงลงบนพื้น
เฉาอินใช ้เสียงในใจพูดคุย “อาจารย์จู เฉายางคงไม่เป็ นไร กระมัง?”
อันที่จริงถามแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เท่ากับสงสัยในฝีมือการ สอนหมัดของเจ้าขุนเขาเฉิน หากพูดให้ร ้ายแรงอีกหน่อยก็คือสงสัย ในเจตนาของเจ้าขุนเขาเฉินแล้ว
แต่เด็กหนุ่มกลับอดไม่ไหว
จูเหลี่ยนถูมือ ยิ้มเอ่ย “เจ้าขุนเขาลงมือไม่เบาก็จริง แต่ก็ไม่หนัก เหมือนกัน เอาเป็ นว่าล้วนอยู่ในขอบเขตที่เฉายางสามารถทนรับได้ก็ แล้วกัน”
ในฐานะเจ้าประมุขคนปัจจุบันของสกุลเฉาเสาค้ายันแคว้น เฉา ผิงจึงพอจะมีความสามารถในการมองคนอยู่หลายส่วน รู ้ว่าควรส่งตัว เฉาอินและเฉายางมาที่ภูเขาลั่วพั่ว
นับแต่วันนี้เป็ นต้นไป เด็กหนุ่มเด็กสาวที่ยังไม่เคยถูกเรื่องทาง โลกแปดเปื้อนจิตใจดั้งเดิมคู่นี้ ก็ได้ถือว่าเข้าตาคุณชายบ้านตนอย่าง แท้จริงแล้ว หึหึ วันหน้าคุณชายต้องมาที่นี่บ่อยๆ เป็ นแน่
บอกตามตรง หากว่าคุณชายกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วช ้ากว่านี้ จูเห ลี่ยนคงจะไปแย่งตัวคนมาจากภูเขาเซียนตูแล้ว กลัวก็แต่ว่าห่าน ขาวใหญ่จะท าอะไรไร ้คุณธรรม จงใจใช ้ใจคนพันธนาการคุณชาย เอาไว้
หากว่าปล่อยให้ชุยตงซานที่ดีดลูกคิดเก่งทาสาเร็จสมใจหมาย จริงๆ นั่นจะยิ่งไม่แล้วใหญ่หรอกหรือ สรุปแล้วคุณชายจะเป็ นเจ้า ขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว หรือจะเป็ นเจ้าขุนเขาของ ภูเขาเซียนตูกัน แน่?
รอกระทั่งเฉายางโงนเงนลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ต่อจากนี้ ดูให้ดี ข้าจะแสดงแค่รอบเดียว เจ้าเรียนรู ้ได้แค่ไหนก็แค่นั้น วิชาหมัด ชุดนี้มาจากสกุลเย่เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานแห่งใบถงทวีป ต้นก าเนิดมา จากภาพเซียนเหรินหกภาพที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แบ่งออก เป็ นชื่อว่าพิศน้าตก ตั้งแท่นบูชา สาวไหม (มาจากคาว่าเต่าเลี่ยน ซึ่ง เต่าเลี่ยนจะหมายถึงกรรมวิธีในการต้มไหม สาวไหมเพื่อใช ้ทอผ้า) จั๋วฉิน (ชื่อพิณชนิดหนึ่งในยุคโบราณ) ยอดฝีมือขับกวี และตะกร ้า
ไม้ไผ่งมจันทร ์ วรยุทธของเรือนอวิ๋นฉ่าวล้วนมาจากภาพพวกนี้สืบ ทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจนมาถึงมือของเจ้าขุนเขาเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ได้ วิวัฒนาการออกมาเป็ นท่าเดินและท่าหมัดหกสิบกว่าท่า นับแต่ โบราณมาก็มีคากล่าวที่ว่า “ท่ามาจากภาพ หมัดพุ่งเข้าไปในภาพ” ในบรรดานี้มีสี่สิบกว่าภาพที่สามารถแสดงให้คนนอกเห็นได้ คนนอก สามารถเรียนได้อย่างไร ้ข้อห้ามใดๆ”
เฉายางพยักหน้า ยกมือเช็ดใบหน้า เบิกตากว้างกลัวว่าจะพลาด หมัดใดไป
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็จงใจขยับร่างให้ช ้า แสดงท่าเดินท่าหมัด สี่สิบกว่าท่าให้เฉายางได้ดู ขณะเดียวกันก็คอยชี้แนะถึงเส้นทางของ ปราณที่แท้จริงซึ่งใช ้ควบคู่กับท่าต่างๆ ให้เด็กสาวฟังอย่างละเอียดไป ด้วย
ธรณีประตูของการเรียนวรยุทธไม่ได้สูงเท่าการกลายเป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณเดินขึ้นเขาฝึกตน แต่ก็ไม่ใช่ว่าโยนตาราหมัดไปให้ไม่กี่เล่ม แล้วจะเรียนรู ้ได้จริงๆ กุญแจสาคัญนั้นอยู่ที่หากอยากจะกลายเป็ นผู้ ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างสมชื่อคนหนึ่ง ก็ต้องไม่ใช่แค่นักต่อสู้ในยุทธภพ ที่มีมาดว่างเปล่า จะสามารถรวบรวมลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือก หนึ่งขึ้นมาได้หรือไม่คือความต่างราวฟ้ ากับดิน จะสามารถผสานรวม ลมปราณขุมนี้เข้ากับกระบวนท่าหมัดอย่างแท้จริง ให้ประคับประคอง ช่วยเหลือกันได้หรือไม่ ก็เป็ นความต่างราวก้อนเมฆกับก้อนดินอีก เหมือนกัน
เฉินผิงอันหยุดท่าหมัดท่าสุดท้ายลง ยิ้มถามว่า “จาได้หมด หรือไม่?”
เฉายางสูดลมหายใจเข้าลึก “จ าได้หมดแล้ว!”
จูเหลี่ยนเพิ่งจะลุกขึ้นก็พลันกลับไปนั่งยองอีกครั้ง
เพราะเห็นว่าคุณชายไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ กลับกัน ยังม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จะสอนวิชา หมัดให้เจ้าอีกชุด ทั้งท่าเดินและกระบวนท่าหมัดล้วนไร ้ชื่อ ได้มาจาก กาแพงเมืองปราณกระบี่ นางคือปรมาจารย์ใหญ่หญิงคนหนึ่งและยิ่ง เป็ นผู้อาวุโสของข้า”
ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ถูกคุณชายเรียกว่าผู้อาวุโสได้นั้น บางทีอาจ มีอยู่ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรก็เป็ นมารยาทที่พึงมียามออกจากบ้าน ไปอยู่ข้างนอก
แต่คนที่ถูกคุณชายมองเป็ นผู้อาวุโสจากใจจริง กลับมีไม่มาก แล้ว
เฉินผิงอันต่อยวิชาหมัดชุดหนึ่งเสร็จก็คล้ายจะกลัวว่าเฉายางจะ จ าไม่ได้ เขาจึงสาธิตอีกครั้ง อีกทั้งยังชะลอความเร็วให้เนิบช ้าลงไป อีก
ทั้งท่าทาง ทั้งการขยับเท้าล้วนเก็บซ่อนไว้ภายใน แต่ออกหมัด กลับว่องไวมาก อีกทั้งไม่มีกลิ่นอายของสตรีแม้แต่น้อย เฉายางมอง ออกว่าวิชาหมัดชุดนี้เหมาะให้ผู้ฝึกยุทธที่เป็ นสตรีฝึกที่สุด
เฉินผิงอันเก็บหมัดแล้วยิ้มเอ่ย “การประลองสองครั้งก่อนหน้านี้ เจ้าต้องมีความคิดสองอย่าง วันนี้แพ้หมัดเป็ นเรื่องที่แน่นอน ไม่ต้อง คิดมาก วันหน้าชนะหมัดก็อาจเป็ นไปได้ต้องใคร่ครวญให้มาก”
“เฉายาง ผู้ฝึกยุทธคนอื่นข้าไม่สนใจ แต่ละคนล้วนมีชะตาชีวิต เป็ นของตัวเอง แต่ละคนมีโชควาสนาต่างกัน แต่ในเมื่อเจ้ามาฝึกวร ยุทธอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็ต้องเตือนเจ้าสักประโยค เรียนหมัดควรมี ความคิดที่จะช่วยชีวิตตัวเองก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติในการเอาชนะ หมัด สังหารคนอื่น”
เฉายางยกสองมือกุมเป็ นหมัด เอ่ยด้วยน้าเสียงแหบพร่า “ผู้เยาว์ น้อมรับคาสั่งสอน!”
การป้ อนหมัดสองครั้งของเจ้าขุนเขาเฉินในวันนี้ หากว่ากัน โดยทั่วไปแล้วก็มีเพียงลูกศิษย์ผู้สืบทอดเท่านั้นถึงจะได้รับการปฏิบัติ เช่นนี้
สอนวิธีการแก้ไขสถานการณ์ต่อหน้า มอบตราประทับคาถาทาง ใจให้อย่างลับๆ ล้วนมอบให้กันแต่ผู้สืบทอดเท่านั้น!
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รีบเช็ดเลือดออกเถอะ กลางวันแสกๆ แบบนี้ก็น่าตกใจเหมือนกันนะ”
เฉายางรีบเอ่ยขอตัวแล้วเดินเข้าไปในที่พักที่อยู่ด้านหลังทันที
เฉาอินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง เจ้าขุนเขาเฉินที่ไม่ได้สอน หมัดให้คนอื่นจึงจะเป็ นเจ้าขุนเขาเฉินที่คุ้นเคยจริงๆ
จูเหลี่ยนวิ่งมาเก็บหอกไม้วางพาดไว้บนชั้นวางอาวุธอีกครั้ง
เฉายางกลับมาที่นี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ดื่มชาคุย เล่นกันอยู่ในห้องด้านข้างของห้องหลัก ไม่ต้องให้สาวใช ้อย่างเฉา ยางลงมือ จูเหลี่ยนก็เหมาหน้าที่นี้มาทาเอง นับประสาอะไรกับที่ใบชา ก็เป็ นเขาที่ผัดเองกับมือด้วย
เฉินผิงอันคล้ายจะติดใจกับการสอนหมัด เหมือนจะหาความ มั่นใจในการเป็ นอาจารย์ของผู้อื่นมาจากเฉายางได้ ดื่มชาไปได้ ครึ่งหนึ่งจึงหยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางไว้บน โต๊ะ เรียกให้เด็กหนุ่มเด็กสาวมาดูผลงานที่แท้จริงซึ่งมาจากเจ้า ประมูลสกุลจ้าวเทียนสุ่ยนี้ด้วยกัน เป็ นม้วนภาพยาวของแท้แน่นอน ความยาวเกินโต๊ะหนังสือไปอีกยาวถึงสามจั้ง เป็ นเหตุให้ต้องให้เฉิน ผิงอันกับจูเหลี่ยนยืนจับแกนหยกกันคนละด้าน ต่อให้เป็ นเช่นนี้ เฉา อินและเฉายางก็ยังมิอาจมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของอักษรภาพนี้ได้
ตัวอักษรหนึ่งตัวต่อหนึ่งบรรทัด มีขนาดใหญ่มาก บทเริ่มต้นคือ “หยวนเจียปีที่หกสถานที่ที่หนาวเหน็บยากแค้น อุทกภัยสิ้นสุด เห็น คนชุดเขียว ดึงหญ้าถ่อเรือ ล่องลาน้าอย่างเดียวดาย
ลงท้ายด้วยแปดคาว่า “หนึ่งยิ้มข้ามนที ถือเทียนเดินทางกลับ ยามค่าคืน
ตัวอักษรเหมือนหอกยาวเหมือนง้าวใหญ่ พลังอ านาจน่าเกรง ขาม ดุจจะกระโจนออกมาบีบคั้นผู้คน