กระบี่จงมา - บทที่ 972.4 ไม่แปลกหน้า
ถือว่าต่างคนต่างถนัดกันคนละอย่างกระมัง ยกตัวอย่างเช่นหวัง โหยวอู้ที่มีฉายาว่า “ซานจวิน” เวทคาถามีความซับซ ้อนหลากหลาย มากที่สุด ด้านการหนีเอาชีวิตรอด ลอบโจมตี ล้วนเป็ นมือดี การที่ สะพายกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้เพราะหวังโหยวอู้ยังเป็ นผู้ฝึกกระบี่ครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่งด้วย แม้จะบอกว่าไม่ได้บริสุทธิ์เต็มที่ กระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตสองเล่มที่ถูกหลอมใหญ่ล้วนแย่งชิงมาครึ่งทาง แต่เวทกระบี่ กลับยังพอถือว่าเป็ นเวทกระบี่ได้
นอกจากนี้ฉายาของหวังโหยวอู้ก็ไม่ได้ถูกตั้งมาอย่างเสียเปล่า ค าว่า “ซานจวิน” ไม่ได้พูดถึงว่าตาเฒ่านั่นอยู่ในภูเขาแล้วสามารถ เอาอย่างอริยะของสามลัทธิหนึ่งสานักที่เฝ้ าพิทักษ์ฟ้ าดิน แต่มีความ เกี่ยวข้องกับ “คนสามัคคี” ของล่างภูเขา หากพูดให้ง่ายกว่านี้สัก หน่อย ก็คือว่าขอแค่วิถีทางโลกไม่ดี คนล่างภูเขาที่มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ ไหวมีมากยิ่งขึ้น ตบะของหวังโหยวอู้ก็จะยิ่งสูงมากขึ้น ตาราในทุก วันนี้ก็บอกไว้แล้วว่าเสือที่ว่าร ้ายก็ยังมิเท่าการปกครองที่เหี้ยมโหดนี่ นะ ดังนั้นเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่เหลือที่ตื่นขึ้นมาแล้ว หวังโหยวอู้จึง เสียความได้เปรียบก่อนกาเนิดไปจริงๆ ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่ไปพบป๋ า ยเจ๋อ ตาเฒ่าจงใจตีหน้าเคร่ง ทว่ากลับแอบหัวเราะในใจไปตลอดทาง
หากหวังโหยวอู้ตื่นขึ้นมาเร็วกว่านี้อีกสักนิด อีกทั้งยังมาช่อนตัว อยู่ในใต้หล้าไพศาลแต่เนิ่นๆ เฟ้ นหาพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่อา พรางตัวได้ดีสักแห่ง ยกตัวอย่างเช่นฝูเหยาทวีปที่เคยมีสงคราม เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ไม่แน่ว่าก็มีหวังจะได้เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ จริงๆ เพราะโอกาสในการผสานมรรคาของเจ้านี่อยู่ในความหมาย ของฉายาเขาแล้ว
แต่เซี่ยโก่วรู ้สึกมาโดยตลอดว่าตาเฒ่าที่ไม่ว่าอะไรก็อยากเรียนรู ้ แต่กลับเรียนไม่เป็ นสักอย่างผู้นี้ไม่คู่ควรกับฉายาที่ดีมากอย่าง “ซานจวิน” เลยแม้แต่น้อย
กวานอี่ก็ไม่ต่างกัน หากติดตามกระโจมเจี่ยจื่อของเปลี่ยวร ้าง ยกทัพไปเยือนสนามรบของใต้หล้าไพศาลได้เร็วกว่านี้ สนามรบที่ ดุเดือดทุกแห่งมีนางเป็ นผู้เก็บกวาดซากเละเทะจากนั้นค่อยกินไป ตลอดทาง บางทีอาจจะมีประโยชน์มากกว่า “ป๋ ายอิ๋ง” ผู้นั้นก็เป็ นได้
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วล้วนต้องโทษนายท่านป๋ ายเจ๋อที่พอเป็ น เรื่องใหญ่กลับชอบเลอะเลือน กลับมายังเปลี่ยวร ้างช ้าเกินไป ปลุก พวกเขาให้ตื่นสายเกินไป
เจ้าคนที่ทุกวันนี้ใช ้นามแฝงว่าหูถู คาดว่าคงจะจงใจทาให้ป๋ า ยเจ๋อโมโหกระมัง ก็ไม่แปลกที่ตอนนั้นป๋ ายเจ๋อเห็นพวกเขาแล้วดู เหมือนว่าสายตาจะหยุดอยู่บนร่างของหูถนานที่สุด
ท าเป็ นอวดฉลาดต่อหน้านายท่านป๋ ายเจ๋ออย่างโง่งมเช่นนั้น รนหาที่ตายหรือไร โชคดีที่ทุกวันนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างขาดพลังการสู้ รบชั้นสูง ไม่อย่างนั้นก็คงตายไปแล้ว
ปีนั้นจอมปราชญ์น้อยขึ้นชื่อว่ามีเหตุผลและใจเย็น ป๋ ายเจ๋อเองก็ ไม่ต่างกัน พูดคุยด้วยง่าย แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าตอนที่สองคนนี้ไม่ใช ้ เหตุผลและพูดยากนั้นน่ากลัวถึงเพียงใด ป๋ ายจิ่งล้วนเคยเห็นเองกับ ตามาก่อน
เซี่ยโก่วหัวเราะฮ่าๆ “สานึกผิดแล้วรู ้จักแก้ไขย่อมดียิ่งกว่าสิ่งใด หลักการเหตุผลตื้นเขินเช่นนี้ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร”
เซียนเว่ยหัวเราะตาม ในใจอดนินทาไปหนึ่งประโยคไม่ได้ ท าไม มองดูแล้วแม่นางน้อยคนนี้ไม่เหมือนคนซื่อเลยล่ะ เจ้าเข้าใจกะผีน่ะสิ
เซียนเว่ยหิ้วเก้าอี้เดินเข้าไปในห้อง คิดว่าจะนา ‘เชิงอรรถที่เขียน ตรงพื้นที่ว่างเปล่ามารวมเป็ นเล่มเดี่ยว วันหน้าเมื่อตาแหน่งของตน เลื่อนสูงขึ้นแล้ว ไม่ต้องมาเป็ นคนเฝ้ าประตูที่ต้องตากแดดตากลมมี แต่คุณความเหนื่อยยากแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรต้องทิ้งสมบัติเอาไว้บ้าง นับตั้งแต่เจิ้งต้าเฟิงจนมาถึงตน หลังจากนั้นต่อไปอีก สืบทอดต่อกัน ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าคนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้คนรุ่นหลังได้พึ่งร่มเงา ก็เป็ น เรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่งเหมือนกัน
เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ สายฝนโปรยปรายผ่านกลุ่มเทือกเขา ขุนเขาเขียวปลั่งดุจจะคั้นน้าออกมาได้
ช่วงเช ้าตรู่ เซียนเว่ยห่อตัวนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ขณะ ก าลังสะลึมสะลือก็คล้ายได้ยินเสียงว่ามีคนตะโกนเรียกว่านักพรต เซียนเว่ย กว่าจะฝืนเบิกเปลือกตาขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เซียนเว่ยม องเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ที่แท้อาจารย์ เสี่ยวโม่ก็กลับมาแล้ว เซียนเว่ยรีบขยับตัวนั่งตรง ยื่นมือมาตบแก้ม เบาๆ เอ่ยอย่างกระดากว่า “อดนอนอ่านหนังสือก็เลยง่วงง่าย”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “อากาศช่วงนี้เป็ นช่วงผลิร่วงง่วงเพลีย (อาการ ง่วงเพลียมาก นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ อากาศเปลี่ยนแปลง) พอดี ลาบากนักพรตเซียนเว่ยแล้ว นับตั้งแต่ พรุ่งนี้ไปข้าจะเป็ นคนมาเฝ้ าประตูแทนสักสองสามวัน นักพรตเซียน เว่ยแค่พักผ่อนให้ดีก็พอ…”
เซียนเว่ยโบกมือติดๆ กัน “ไม่ได้ๆ จะกล้าให้อาจารย์เสี่ยวโม่มา เฝ้ าประตูแทนได้อย่างไร สมควรเสียที่ไหน ความหวังดีของอาจารย์ เสี่ยวโม่ข้ารับไว้แล้ว รับรองว่าทั้งเฝ้ าประตูทั้งอ่านตาราจะไม่ให้ ผิดพลาดทั้งสองทาง”
เสี่ยวโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านข้าง พรูลมหายใจออกมายาว เหยียด
เซียนเว่ยถาม “อาจารย์เสี่ยวโม่ เจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้กลับมา ด้วยกันหรือ?”
เสี่ยวโม่คลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “คุณชายยังมีธุระอยู่ที่ใบถงทวีปอีก เล็กน้อย จะกลับมาช ้ากว่า หน่อย”
เซียนเว่ยรู ้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จึงถามหยั่งเชิงว่า “มีเรื่องในใจ หรือ?”
เสี่ยวโม่คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ต้องไปเจอคนคนหนึ่ง ไม่ค่อยอยากเจอ เท่าไร แต่ก็หลบไปไหนไม่ได้ เลยรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง”
ป๋ ายจิ่งที่ตามพัวพันเขาไม่ยอมเลิกราผู้นี้น่าจะถือว่าเป็ นคู่ปรับ เพียงหนึ่งเดียวของเสี่ยวโม่ได้เลย
เซียนเว่ยพยักหน้า ทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจ นี่ ปกติอย่างมาก เซียนเว่ยเองก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะช่วยคลายปมอะไรได้ สองมือวางทาบไว้บนหัวเข่าแล้วตบเบาๆเงียบไปนาน ก่อนจะคลอ เพลงพื้นบ้านบทหนึ่งของบ้านเกิดขึ้นมา
ภูเขาหนึ่งระยะทาง น้าหนึ่งระยะทาง ลมแปรเปลี่ยน หิมะ แปรเปลี่ยน ทางใกล้กลุ้ม ทางไกลกลุ้มใต้หนึ่งเสียง เหนือหนึ่งเสียง
ความคิดยาวไกล ความเกลียดแค้นยาวไกล แม่น้าไหล ลาคลอง ไหล ฝันยากจะเป็ นจริง ปณิธานยากสงบ ภูเขาตะวันออกเขียว ภูเขา ตะวันตกเขียว
ร้านยาสุ้ยมีลูกจ้างร ้านเพิ่มมาคนหนึ่ง สือโหรวเถ้าแก่คนปัจจุบัน ย่อมไม่มีความเห็นต่างอะไรอยู่แล้ว ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่ต้องเพิ่มชาม และตะเกียบอีกชุดหนึ่งเท่านั้น
เจ้าใบ้น้อยกลับไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไร ไม่ต้องคิดมากเลย ต้อง เป็ นพวกอันธพาลอีกคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ผลคือเพิ่งจะอยู่ร่วมกันได้แค่วันเดียว เด็กสาวที่ชื่อประหลาดก็ ทาให้โจวจวิ้นเฉินต้องมองนางเสียใหม่ กลายมาเป็ นว่ามีแต่ ความรู ้สึกดีๆ ให้
ไม่นึกว่าเซี่ยโก่วจะใส่ใจเรื่องของการหาเงินยิ่งกว่าโจวจวิ้นเฉิน เสียอีก เซี่ยโก่วขอยืมอ่านสมุดบัญชีเงินเก็บที่สะสมตลอดระยะเวลา หลายปีที่ผ่านมาจากสือโหรว คิดคานวณจานวนเงินหน่วยตาลึงที่ เป็ นรายรับเข้าร ้านทุกวัน จากนั้นนางก็พูดอย่างตรงไปตรงมา บอก ว่าวันหน้าทางร ้านจะต้องคิดบัญชีกับนางอย่างชัดเจน รายได้ห้าส่วน ที่เกินจากเงินก้อนนี้มาต้องเป็ นของนาง สือโหรวไม่คิดมาก โจวจวิ้น เฉินรู ้สึกว่าการค้านี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ มติการประชุมนี้จึง ถือว่าผ่านไปได้ จากนั้นเซี่ยโก่วก็ไปดักรออยู่ตรงหน้าประตู ขอแค่ เป็ นลูกค้าที่จะแวะไปเยือนร ้านฉ่าวโถวซึ่งอยู่ติดกัน ก็ล้วนต้องถูกนาง ตามตอแยลากให้แวะมาดูในร ้านยาสุ้ยให้จงได้ อีกทั้งดูจากท่าทาง ของนางแล้ว โจวจวิ้นเฉินคิดว่านางคงนึกอยากจะไปแปะประกาศ บอกให้ทั่วกาแพงข้างถนนใหญ่ในอาเภอไหวหวงเลยด้วยซ้า เซี่ยโก่ว ยังวางแผนกับพวกเขาสองคน พูดคุยถึงความคิดของตัวเอง บอกว่า สามารถเอาป้ ายร ้านไปตั้งไว้ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวได้ ถือเสียว่าเป็ นการ ช่วยเรียกลูกค้าให้มาซื้อขนมที่ร ้านยาสู้ย ถึงอย่างไรท่าเรือหนิวเจี่ยว ก็เป็ นของภูเขาลั่วพั่วบ้านตัวเอง ด้านบนป้ ายไม้ นอกจากจะเขียนที่
อยู่ของร ้านยาสุ้ยในเมืองเล็กอย่างชัดเจนแล้ว มีขนมอะไรบ้าง เซียน กระบี่ท่านใด เจ้าสานักคนใด ฮ่องเต้พระองค์ใดเคยลิ้มชิมรสมาก่อน แล้วเอ่ยชมไม่ขาดปาก…ยกตัวอย่างเช่นหร่วนฉงแห่งสานักกระบี่หลง เฉวียน หลิวเสี้ยนหยางเจ้าสานักคนปัจจุบัน ฉีเจินแห่งส านักโองการ เทพ ซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี หยางฮวาเทพวารีคนก่อนของแม่น้า เถี่ยฝู รวบรวมพวกคนที่มีชื่อเสียงมาให้ครบสักสิบคน สรุปก็คือใน แจกันสมบัติทวีปใครโด่งดังคนนั้นก็จะได้รับเกียรติมีชื่ออยู่บน กระดาน….ไม่ต้องสนหรอกว่าพวกเขาเคยกินมาก่อนหรือไม่ อย่าง มากถูกใครมาด่าถึงที่ก็ค่อยขอโทษพวกเขา แล้วพวกเราก็เปลี่ยน ป้ ายไม้อันใหม่ก็ได้แล้ว อันที่จริงไม่ต้องเปลี่ยนด้วยซ้า แค่ลบชื่อ ออกไปก็พอ…
คัมภีร ์การค้าเช่นนี้ ทาเอาสือโหรวฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง โจวจวิ้นเฉินกลับดวงตาเป็ นประกายวาบ หากไม่เป็ นเพราะสือโห รวห้ามเอาไว้ เจ้าใบน้อยก็คงไปเตรียมแผ่นไม้และพู่กันกับหมึกที่ เรือนด้านหลังแล้ว
เจ้าใบ้น้อยเคยเห็นคนที่หาเงินอย่างดุดันมาก่อน แต่ไม่เคยเจอ ใครที่เพื่อเงินแล้วหน้าไม่อายขนาดนี้ ใช ้คาพูดเซี่ยโก่วพูดก็คือ คนเราจะเอาแต่รักศักดิ์ศรีหน้าตาจนแม้แต่เงินก็ไม่ยอมหาไม่ได้
เจ้าใบ้น้อยรู ้สึกวางใจได้ทันที เด็กน้อยมีรอยยิ้มให้กับคนนอก อย่างที่หาได้ยาก
พอสนิทกันแล้ว วันนี้เซี่ยโก่วก็อ่านตาราเป็ นเพื่อนเด็กชาย โจวจวิ้นเฉินชอบอ่านนิยายเรื่องเล่าประหลาด เซี่ยโก่วกลับไม่ เหมือนกัน นางชอบเรื่องบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่ คลอเคลียแนบชิดกันเป็ นที่สุด เซี่ยโก่วเปิ ดต าราพลางถามเจ้าใบ้ น้อยไปด้วยว่า“โจวจวิ้นเฉิน ในเมื่อเจ้าเป็ นคนรุ่นศิษย์หลานเพียงคน เดียวของเจ้าขุนเขาเฉินในทุกวันนี้ ทว่าตลอดทั้งปีกลับเอาแต่เก็บ สะสมเศษเงินอย่างยากลาบากอยู่ที่นี่ ชีวิตออกจะอนาถไปสักหน่อย เจ้าไม่รู ้สึกน้อยเนื้อต่าใจบ้างเลยหรือ?”
ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ศิษย์หลานสายตรงที่ได้รับการสืบทอดมา จากสายของบรรพบุรุษเปิดขุนเขา อยู่ที่บ้านตัวเองหรืออยู่ข้างนอก หากไม่โอ้อวดตัวเองสักหน่อยก็ไม่มีหน้าอยู่บนภูเขาแล้ว
เด็กชายแสยะปาก “ข้าไม่สนิทกับเฉินผิงอันสักหน่อย หลายปีมา นี้ได้เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง รวมแล้วก็ได้คุยกันแค่ไม่กี่ประโยค เป็ น อาจารย์ปู่กับศิษย์หลานอะไรกัน เอาเป็ นว่าข้ากับเขา ไม่ว่าใครก็ไม่ คิดเป็ นจริงเป็ นจัง”
เซี่ยโก่วพยักหน้า “มีความเด็ดเดี่ยวดีมาก”
เด็กสาวสวมหมวกขนเดียวพลันปิ ดหน้าหนังสือลง ลูบปาก หัวเราะหึหึ
โจวจวิ้นเฉินรู ้สึกขนลุกขนพอง ทาไมถึงได้ทาเหมือนอันธพาลที่ เห็นสาวงามเดินอยู่บนถนนเลยล่ะ
เซี่ยโก่วเดินออกไปจากโต๊ะคิดเงิน จับประคองหมวกขนเตียว ยื่น หน้าออกไปนอกประตู มองไปยังเจ้าคนที่เดินออกมาจากตรอกฉีหลง สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวถือไม้เท้าไผ่เขียว หึ หล่อเหลานัก!
เสี่ยวโม่ไม่ได้หยุดเดิน หรี่ตาใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ป๋ ายจิ่ง เจ้ามา ทาอะไรที่ใต้หล้าไพศาล”
เซี่ยโก่วยู่หน้า อนาถนัก เวรกรรมโดยแท้ คาพูดประโยคนี้ของ เสี่ยวโม่ไม่ต่างอะไรจากชายทรยศที่ละทิ้งคาสาบานว่าจะรักกันตราบ ชั่วฟ้ าดินมลายเลยสักนิด
เสี่ยวโม่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช ้า “เลิกเสแสร ้งได้แล้ว สนุกนักหรือ?”
เซี่ยโก่วร ้องอ้อหนึ่งที ยึดแขนบิดขี้เกียจ กระโดดออกมาจาก ธรณีประตู ยืนอยู่ตรงกลางถนนของตรอกฉี หลง พูดอย่าง ตรงไปตรงมาว่า “เป็ นนักรบพลีชีพให้กับเฉินผิงอัน คือความต้องการ ของบุคคลผู้นั้นหรือ?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า
เซี่ยโก่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู ้หรือไม่ว่า หากเฉิน ผิงอันแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวก าแพง หากไม่ใช่อักษร ‘ผิง’ (萍) แต่เปลี่ยนเป็ นอักษร ‘ผิง’ (7) หรืออักษร “ขิง” แทน จุดจบของเจ้าจะ เป็ นอย่างไร?”
เดี๋ยวโม่ยังคงพยักหน้า
ตอนที่ผู้ถือกระบี่ท่านนั้นมาหาตนก็เคยพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน แล้ว
ถามกระบี่กับอีกฝ่ าย? เสี่ยวโม่ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีจะทา เพราะ ถึงอย่างไรเวทกระบี่ที่อยู่บนร่างส่วนใหญ่ก็ล้วนสืบทอดมาจากหนึ่งใน ห้าเทพชั้นสูงยุคบรรพกาลท่านนี้
หนี?
หนีไม่รอด เซี่ยโก่วส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าที่ข้ารู ้จักเลยนะ”
เสี่ยวโม่หัวเราะหยัน “ป๋ ายจิ่ง เดิมทีพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันอยู่ แล้ว”
ป๋ ายจิ่งในอดีต นางตัวจริงไม่ได้มีรูปโฉมเป็ นเด็กสาวอย่างในทุก วันนี้
งามเลิศล้า มีแต่ความเอาแต่ใจ
เซี่ยโก่วหัวเราะร่วนถามว่า “หาสถานที่สักแห่งมาจิบเหล้ากัน หน่อยดีไหม?”
หลับสนิทมานานหมื่นปี จากนั้นก็ตื่นขึ้นมา นางค้นพบว่าพลัง การสู้รบที่เป็ นผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดของใต้หล้าในทุกวันนี้เหมือนว่าจะไม่ มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก มีเพียงฝีมือการหมักเหล้าที่สูงขึ้นไม่น้อย
ที่สานักจิ่วเฉวียนแห่งนั้น นอกจากสุราที่เป็ นที่ยอดนิยมสองสาม ชนิดแล้ว ยังได้ดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเปลี่ยว ร ้างอีกสามสิบกว่าชนิด ดื่มได้อย่างเต็มอิ่ม ดื่มได้อย่างหนาใจ
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ดื่มเหล้าถ่วงธุระสาคัญ เดินไปบนขั้นบันได ของตรอกฉีหลงเส้นนี้เดินไปถึงยอดบนสุด หากคุยกันรู ้เรื่องย่อมดี ที่สุด หากเจรจาไม่สาเร็จ เจ้ากับข้าก็ไปนอกมหาสมุทร”
ผู้ฝึ กลมปราณดื่มเหล้า สามารถทาได้ไม่ต่างจากคนธรรมดา อยากจะดื่มให้สาแก่ใจแต่ละคนย่อมมีวิธีการเป็ นของตัวเอง ส่วน หลังจากเมามายไปแล้วอยากจะนอนหลับนานแค่ไหน ไม่มีอะไรที่แน่ ชัด ต้องดูที่ความชื่นชอบของผู้ฝึ กลมปราณแต่ละคนเองแล้ว ถึง อย่างไรก็สามารถกาหนดช่วงเวลาที่จะตื่นขึ้นได้แต่เนิ่นๆ ผู้ฝึ กตน ใหญ่ยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ เมาไปหลายปี หลายสิบปี ไม่ถือว่าเป็ นเรื่องหายากอะไร
เซี่ยโก่วเบ้ปาก เอ่ยว่า “เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย จะถ่วง ธุระส าคัญอะไรได้
เสี่ยวโม่สีหน้าไร ้อารมณ์
เซี่ยโก่วกระทืบเท้าหนึ่งที สะบัดแขนสองข้างเหมือนแง่งอน “ก็แค่ ไม่ได้เรียกว่าคุณชายเฉินไม่ใช่หรือ เจ้าถึงกับเกิดจิตสังหารต่อข้า เพื่อคนนอกคนหนึ่งเลยหรือไร?”
เรียกคุณชาย เรียกคุณชายกะท่านปู่เจ้าน่ะสิ
เซี่ยโก่วมาอยู่ภูเขาลั่วพั่วนานขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นหน้าอีก ฝ่ายสักครั้ง วางมาดใหญ่โตขนาดนี้ คิดว่าตัวเองคือป๋ ายเจ๋อหรือจอม ปราชญ์น้อยล่ะ?
เซี่ยโก่วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เฉินผิงอันจงใจทิ้งให้เจ้ามา พบข้าคนเดียว คนแบบนี้ นิสัยแบบนี้ ข้าไม่ชอบ เจ้าอยู่กับเขา ข้าไม่ วางใจ”
“ตามคากล่าวในตาราของที่นี่ นี่เรียกว่าผู้สูงศักดิ์ไม่อยู่ใน สถานที่อันตราย ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คนจริงเสียด้วย ตอนอยู่กาแพงเมืองปราณกระบี่ยังกล้าเผยหน้าเผยตา สะสมคุณ ความชอบด้านการต่อสู้มาเล็กน้อย สร ้างชื่อเสียงมาได้นิดหน่อย จะ ว่าไปแล้วก็ยังเป็ นเพราะวางใจว่าบนหัวก าแพงเมืองด้านหลังมีเฉินชิง ตูนั่งบัญชาการณ์อยู่น่ะสิ เลยมั่นใจว่าจะคุ้มครองเขาได้สินะ? เจ้าดูสิ พอมาถึงที่นี่ก็เผยพิรุธทันที ยังไม่ใช่ว่ากลัวข้าจะฆ่าเขา กังวลว่าเจ้า จะปกป้ องเขาไม่ได้หรอกหรือ?”
เสี่ยวโม่เอ่ย “คุณชายต้องไปพบคนผู้หนึ่งกะทันหัน เป็ นคนที่ ส าคัญมาก ป๋ ายจิ่งคนเดียว เดิมทีก็ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้”
เซี่ยโก่วเอ่ยอย่างกังขา “ใคร? ใบถงทวีปมีบุคคลเช่นนั้นอยู่ด้วย หรือ?”
หากจาไม่ผิดล่ะก็ พลังการสู้รบชั้นสูงสุดของใบถงทวีปอยู่ไกล เกินกว่าจะเทียบเคียงกับอุตรกุรุทวีปหรือทักษินาตยทวีปได้
คนทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน เสี่ยวโม่เอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับ เจ้า”
เซี่ยโก่วกล่าว “ไม่ดื่มเหล้าจริงๆ หรือ?”
เสี้ยวโม่ลังเลอยู่เล็กน้อย “เอาเป็ นที่ตรอกฉีหลงนี่แล้วกัน ดื่ม เหล้าในร้านข่าวโถวบ้านตัวเอง เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยมีเหล้าอยู่ วัน หน้าข้าค่อยบอกกับเขาอีกที ยืมเหล้าสองสามกามาดื่ม เทพเซียนผู้ เฒ่าเจี่ยไม่มีทางถือสาเป็ นแน่ ไม่ต้องให้ข้าชดเชยในภายหลังด้วย ซ้า”
เซี่ยโก่วกลอกตามองบน
ทาเหล่าเหนียงโมโหจะแย่อยู่แล้ว ดื่มเหล้ายังจะต้องมีเหตุผล มากมายขนาดนี้ ดูเจ้าทาท่าภาคภูมิใจเข้าสิ นี่ก็ถือว่าได้ดิบได้ดีด้วย หรือ?
เสี่ยวโม่ที่ปีนั้นพกกระบี่เดินกร่างไปทั่วใต้หล้าเพียงลาพังคนนั้น ล่ะ เสี่ยวโม่ที่หมักเหล้าร่วมกับเจ้าแห่งถ้าขี้เชียวชายหาดลั่วเป่าเพียง ลาพังคนนั้นล่ะ ผู้ฝึกกระบี่ที่เคยเกือบจะสังหารหย่างจื่อได้คนนั้นล่ะ!
เซี่ยโก่วย่นจมูก คล้ายกับกาลังพูดว่า เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ เจ้ากลาย มาเป็ นแบบนี้ ข้าเสียใจมากนัก
เสี่ยวโม่แสร ้งทาเป็ นมองไม่เห็น หมุนตัวเดินไปที่ร ้านฉ่าวโถว โดยตรง
อยู่ดีๆ เซี่ยโก่วก็กระโจนเข้ามาเหมือนเสือหิวกระโจนหาลูกแกะ ผลคือถูกเสี่ยวโม่ดันหัวของนางเอาไว้ “ป๋ ายจิ่ง!”
พริบตานั้นจิตแห่งมรรคาของทั้งเสี่ยวโม่และป๋ ายจิ่งต่างก็ สั่นสะเทือน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสองคนหันไปมองตรงจุดที่ สูงที่สุดของตรอกฉีหลงแทบจะเวลาเดียวกัน
มีคนนั่งอยู่ตรงนั้น ข้างกายมีสตรีชุดขาวที่เรือนกายสูงใหญ่ยืน อยู่ สองมือค้ายันกระบี่หลุบตาลงต่ามองป๋ ายจิ่งและเสี่ยวโม่กึ่งยิ้มกิ่ง บึ้ง
ส่วนบุรุษคนนั้นมีสีหน้าแววตาอ่อนโยน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวก เจ้าท าธุระกันไปก่อนถือเสียว่าพวกเราไม่อยู่ด้วยก็แล้วกัน”