กระบี่จงมา - บทที่ 972.2 ไม่แปลกหน้า
พูดมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็พลันสะบัดเสื้อ ชายแขนเสื้อพอง ขยาย บรรจุลมฟ้ าไว้จนเต็มด้านใน ยื่นมือชี้ไปยังทิศไกล พูดด้วยสี หน้าเบิกบานว่า “หมื่อวี้ พวกเรามาร่วมกันท าให้ใบถึงทวีปแห่งนี้ มี คนที่เป็ นแบบนี้เพิ่มมากขึ้นกันเถอะ
หมี่อวี้เองก็ถูกคาพูดจริงใจประโยคนี้ของชุยตงซานที่มีสีหน้า เคร่งขรึมอย่างหาได้ยากชักน าจิตแห่งมรรคา จิตวิญญาณสะท้าน ไหว เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ตั้งตารอดู!”
เพียงแต่ว่าไม่นานชุยตงซานก็กลับคืนมามีสีหน้าเป็ นปกติ หยิบ กระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “หมี่อันดับหนึ่งช่างพูด ง่ายเสียจริง อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวสิ ต้องท าอะไรให้เป็ นจริงเป็ นจัง สักหน่อย เอ้า ที่ข้ามีรายชื่ออยู่ฉบับหนึ่ง ลองเอาไปดูสิ ล้วนเป็ นสตรี ที่เคยไปพบเจอหมี่อันดับหนึ่งที่กาแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ก็ เพราะว่าข้ากังวลว่าพอมีแขกมา เดี๋ยวถึงเวลานั้นแม้แต่ชื่อ พรรค หรือฉายาของอีกฝ่ าย หมี่อันดับหนึ่งก็ล้วนจาไม่ได้ไม่ใช่หรือ ทบทวนความรู ้เก่าก็จะได้ความรู ้ใหม่ ทบทวนความรู ้เก่าก็จะได้ ความรู ้ใหม่
หมื่อวี้ผลักมือของชุยตงซานออกเบาๆ
ชุยตงซานยื่นมือกลับมาอีกครั้ง
หมื่อวี้ผลักออกอีก
ชุยตงซานหงุดหงิดแล้ว
หมื่อวี้จึงได้แต่เอาความจริงใจเข้าสู้ “ข้าจ าพวกนางได้ทุกคน จะ ลืมได้อย่างไร จะกล้าไม่คิดถึงคะนึงหาได้อย่างไร
ชุยตงซานเก็บรายชื่อฉบับนั้นมา ร ้องเพ้ยหนึ่งที “มิน่าเล่า อาจารย์ถึงได้ให้เจ้ากับพ่อครัวเฒ่า แล้วก็โจวอันดับหนึ่งช่วยกันดูใน อนาคต หลีกเลี่ยงไม่ให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ถูกคนเสเพลที่มีตบะลึกล้า อย่างพวกเจ้าหลอกเอา
หมี่อวี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแค่เป็ นพวกเดียวกันมองพวกเดียวกัน ข้าแค่กวาดตามองไม่กี่ที ฟังแค่ไม่กี่ประโยค ก็รู ้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็ นคน อย่างไร รู ้เส้นทางคร่าวๆ ในการเดินผ่านพุ่มบุปผาและตบะตื้นลึกได้ แล้ว
ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ย “ดูเจ้าท าเป็ นอวดเก่งเข้าสิ
หมื่อวี้ยื่นสองนิ้วออกมาคีบเส้นผมกลุ่มหนึ่งตรงจอนหูขึ้นมา หรี่ ตายิ้มเอ่ย “ในชีวิตมีเพียงสามเรื่องที่พอจะถือว่ามีค่าพอให้กล่าวถึง ขอบเขตเซียนดินสังหารปีศาจ เฝ้ าประตูอยู่ที่เรือนขุนฟาน เมาสุรา ชื่นชมสาวงาม
ชุยตงซานพยักหน้าเอ่ย “กลับไปแล้วจัดการตัวเองให้ดี เปลี่ยน มาสวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะ พกกระบี่ยาว บนผมปักปิ่นหยก ห้อย น้าเต้าเลี้ยงกระบี่ ในมือถือพัดพับ…
หมื่อวี้เอ่ยอย่างอ่อนใจ “แต่งองค์ทรงเครื่องขนาดนั้นกลับจะ กลายมาเป็ นภาระ หลอกแม่นางน้อยที่ยังไม่เคยสัมผัสโลกกว้างพอ ได้ แต่ไม่อาจหลอกสาวงามที่มีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริงได้หรอก
ชุยตงซานเอ่ยเยาะเย้ย ‘หลอก?”
“หลอกนางให้เดินมาบนหัวใจของข้า ใครหลอกใครก็ยังไม่แน่ เลยนะ
ชุยตงซานได้ยินประโยคนี้ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ กระโดดเตะต่อย แสกหน้าหมื่อวี้ หมื่อวี้ยกมือบังหน้า ขยับหนีเล็กน้อย
ชุยตงซานหยุดมือ มารดามันเถอะ กวนโอ๊ยจริงๆ ยังคงเป็ นเสี่ยว โม่ที่ดีกว่า เสี่ยวโม่ดีกว่ามากเลย
หมื่อวี่สะบัดชายแขนเสื้อ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าสานักชุย ช่วงเวลายามเยาว์วัยเพียงพริบตาก็ผ่านพ้นไป บนเส้นทางชีวิตของ แต่ละคนจึงควรขยันหมั่นเพียรกันไป
ชุยตงซานเอ่ยอย่างประหลาดใจ “หมี่อันดับหนึ่ง พอจะใช ้ได้อยู่ บ้างนะ เป็ นผู้มีพรสวรรค์เลยทีเดียว
หมี่อวี้หัวเราะฮ่าๆ “เรื่องของการศึกษาหาวิชาความรู ้ แค่เรียนรู ้ มาจากใต้เท้าอิ่นกวานอย่างผิวเผิน ช่วงที่ผ่านมานี้ก็เพิ่งจะเรียบเรียง ตารารวบรวมบทกลอนมาได้เล่มหนึ่งไม่ใช่หรือ เรียนรู ้แล้วก็เอามาใช ้ ทันทีเลยไง
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยกมือบังตรงหน้าผาก ยิ้มอ่อน เชิญท่านทอดสายตามอง สร ้างอาคารใหญ่บนพื้นราบ ไม่ เคยส าเร็จได้ภายในวันเดียว
ท่าเรือชิงซานในทุกวันนี้มีแค่เค้าโครงร่างของท่าเรือตระกูลเซียน เท่านั้น นอกจากจุดจอดเรือเทียบท่าแล้วก็สร ้างแค่ห้องแห่งหนึ่งที่มีไว้ ส าหรับลงทะเบียนเอกสารผ่านด่านของผู้โดยสารและออกป้ ายหยก สาหรับขึ้นเรือ คนที่มารับหน้าที่อยู่ที่นี่ชั่วคราวคือหญิงชราฉิวตู๋และ เด็กสาวหูฉู่หลิง แม่นางน้อยที่มีชื่อเล่นว่าชู่ชู่ผู้นี้ ทุกวันนี้ได้เป็ นลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของชุยตงซานผู้เป็ นเจ้าส านักแล้ว อยู่บนภูเขาก็ สามารถถือว่าเป็ นโชควาสนาที่เดินขึ้นฟ้ าในก้าวเดียวได้แล้ว
ตามกฎเดิม การสืบทอดเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาจากภูเขาลั่ว พั่ว จะต้องวางโต๊ะตัวหนึ่งไว้หน้าประตูภูเขา อันที่จริงเป็ นชุยตงซานที่ เตรียมไว้ให้โจวหมี่สี่โดยเฉพาะ เอาไว้เป็ นที่พักผ่อนสาหรับการ ลาดตระเวนภูเขาหนึ่งรอบในทุกวัน จริงๆ แล้วตอนนี้สานักกระบี่ชิง ผิงยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แล้วก็ไม่มีการลงนามทาสัญญากับเรือ ข้ามฟากและภูเขาใหญ่ลูกต่างๆ ของใบถงทวีปด้วย ในเมื่อไม่มีเรือ ข้ามฟาก แน่นอนว่าไม่มีผู้ฝึกตนมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่โต๊ะตัวนี้จึงเป็ น แค่เครื่องประดับอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกวันโจวหมี่ลี่จะต้องมานั่งที่นี่ หนึ่งชั่วยาม คุยเล่นกับหมัวมัวฉิวตู๋และพี่หญิงชู่ชู่ เพราะรากฐานมหา มรรคาของฉิวตู๋ทาให้หญิงชรา รู ้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับภูตน้าน้อย ขอบเขตถ้าสถิตแห่งทะเลสาบคนใบ้ผู้นี้ได้อย่างเป็ นธรรมชาติ
แต่วันนี้หลังจากโจวหมี่ลี่ออกมาจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแล้ว ก็ลาดตระเวนภูเขามาตลอดทางจนมาถึงด้านนอกห้องแห่งนี้ นางวาง คานหาบสีทองและไม้เท้าไผ่เขียวไว้บนโต๊ะไม่รบกวนฉิวหมัวมัว ต้ม น้าให้ตัวเองหนึ่งกา ต้มชาสามถ้วย ยกไปให้หมัวมัวเฒ่ากับพี่หญิงขู่ ชู่ก่อนคนละถ้วย แล้วหมี่ลี่น้อยค่อยหยิบส่วนของตนยกออกไปจาก ห้อง ไปนั่งอยู่บนม้านั่งยาวข้างโต๊ะเพียงลาพัง แกว่งสองเท้าที่ลอยอยู่ กลางอากาศเบาๆ ชาดี ชาดี ใบชาที่พ่อครัวเฒ่าผัดเองกับมือดีจริงๆ ฝีมือการต้มชาก็ยิ่งเลิศล้าชานาญ ช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น!
โจวหมี่ลี่เคี้ยวใบชาใบหนึ่ง ขยี้ตา มีแขกมาเยี่ยมเยือนจริงๆ หรือ? เห็นเพียงว่าห่างไปไกลมีคนอยู่สองคน คนหนึ่งสะพายหีบไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งร่างอ้วนท้วนลักษณะคล้ายผู้ติดตาม สะพายห่อสัมภาระ เอียงๆ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง คล้ายกับพ่อค้าเดินเท้าที่ นอนกลางดินกินกลางทราย
ปีนั้นตอนที่อยู่ทะเลสาบคนใบ้ที่เป็ นบ้านเกิด โจวหมี่ลี่เคยเห็นคน จาพวกนี้มามากมายนางจึงเกิดใจใกล้ชิดสนิทสนมในทันที คิ้วสี เหลืองอ่อนจางสองข้างบนดวงหน้าเล็กๆ คล้ายแขวนความปิติยินดี อย่างไม่คาดฝันไว้จนเต็ม
นางรีบวางถ้วยชาลง จากนั้นหยิบคานหาบสีทองและไม้เท้าไผ่ เขียวลงมาจากบนโต๊ะพิงไว้บนม้านั่งยาว โจวหมี่ลี่ก้าวเร็วๆ เดินไป ข้างหน้า เพียงแต่ว่าไม่ได้วิ่งออกจากห้องไปไกลเกินไปนัก หลังจาก หยุดยืนนิ่งแล้ว มือหนึ่งก็จับเชือกที่ร ้อยกระเป๋ าสะพายไว้แน่น พูด
ด้วยเสียงอ่อนเยาว์น่าเอ็นดู “แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านมาจากไหน กันหรือ แล้วจะไปที่ไหนกันสถานที่แห่งนี้ของพวกเราเรียกว่าท่าเรือ ชิงซาน อยู่ในอาณาเขตของสานักกระบี่ชิงผิง ต้องขอโทษท่านทั้ง สองด้วย ท่าเรือเพิ่งถูกสร ้างขึ้นได้ไม่นาน จึงยังไม่มีเรือข้ามทวีป ส าหรับให้คนเดินทางไกล”
บุรุษที่สะพายหีบไม้ไผ่มองภูตน้าน้อยที่สะพายกระเป๋ าผ้าฝ้ าย ด้วยสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าชื่อจางจื๋อ คือร ้านผ้าห่อบุญ ที่ขึ้นเหนือลงใต้ มาเดินเที่ยวเล่นที่นี่ ไม่ได้จะมานั่งเรือข้ามฟากเดิน ทางไกล สานักของพวกเจ้ามีข้อห้ามอะไรที่ต้องให้คนนอกคอย ระมัดระวังหรือไม่?”
โจวหมี่ลี่ส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “ผู้ที่มาล้วนเป็ นแขก ไม่มีข้อห้ามอะไร”
อันที่จริงพอคาพูดนี้หลุดจากปากไป หมี่ลี่น้อยก็เสียใจภายหลัง ทันที ต้องโทษที่ตนไม่เชี่ยวชาญการจัดการธุระ เพียงแค่มา ลาดตระเวนภูเขาที่นี่เท่านั้น ข้อห้ามกฎเกณฑ์อะไรของท่าเรือควร ต้องถามฉิวหมัวมัวและพี่หญิงชู่ชู่ถึงจะถูก จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว ควร จะแก้ไขอย่างไรดีนะ ควรจะทาอย่างไรดี….แม่นางน้อยชุดดาขมวดคิ้ว เล็กๆ สีอ่อน กลุ้มใจนัก อีกเดี๋ยวหลังจากโอภาปราศรัยกับคนนอก สองคนนี้แล้วก็ต้องรีบไปขอความช่วยเหลือจากฉิวหมัวมัวเสียแล้ว
จางจื๋อยิ้มเอ่ย “เซียนซือน้อยท่านนี้จะให้พวกเราหยุดพักอยู่ที่นี่ สักครู่ได้หรือไม่?”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง ยอบกายคารวะพวกเขาเอาอย่าง พี่หญิงหน่วนซู่ “เชิญ”
เดินไปที่โต๊ะตัวนั้นด้วยกัน ผู้ติดตามร่างอ้วนที่อยู่ข้างกายจางจื๋ อยิ้มแนะนาตัวเอง“เซียนซือน้อย ข้าชื่ออู่โซ่ว โซ่วที่แปลว่าผอม ฉายาคือหลิงเจี่ยว หลิงจากคงหลิงที่แปลว่ามีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วย ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่หลิงเจี่ยวที่แปลว่ากระจับ”
โจวหมี่ลี่รีบตอบรับ “เซียนซือใหญ่ ข้าชื่อโจวหมี่ลี่ หมี่ลี่ที่แปลว่า ข้าวในถ้วยข้าว หมี่สี่ที่กินได้น่ะ”
อู๋โซ่วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ใช ้หางตาเหลือบมองยอดเขามี่ เซวี่ยแล้วใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “นายท่าน ผังเชาที่อยู่บนภูเขากาลัง มองมาที่นี่ แต่ดูจากท่าทางแล้วผังเขาคงไม่มีทางลงจากภูเขามาพบ นายท่านแล้ว”
จางจื๋อใช ้เสียงในใจเอ่ยตอบ “เจอกันก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุย ไม่ เจอกันก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องกระอักกระอ่วนกัน อู๋โซ่ว หากได้เจออิ่นก วานหนุ่มท่านนั้น เจ้าห้ามยกเรื่องเก่ามาพูดเด็ดขาด จะไม่เป็ นที่ชื่น ชอบของผู้อื่น อย่าทาให้ดูเหมือนว่าพวกเราบุกมาทวงหนี้ถึงบ้านล่ะ”
อู๋โซ่วที่อยู่ข้างกายผู้นี้คือคนที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องร ้านผ้า ห่อบุญในแจกันสมบัติทวีปเมื่อครั้งอดีต อันที่จริงยังพอจะมีความ เกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วอยู่บ้าง เพราะร ้านผ้าห่อบุญร ้านแรกสุดที่อยู่ บนท่าเรือหนิวเจี่ยวก็เป็ นอู๋โซ่วเองที่เป็ นคนปูรากฐานไว้กับสกุลซ่งต้า
หลีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าอู๋โซ่วขี้ขลาดเกินไป ความกล้าหาญไม่มาก พอ หรือควรจะพูดว่าเอาแต่จับจ้องเส้นทางการท าเงิน ผลคือท า การค้าไปได้แค่ไม่กี่ปี ก็ถอนคนออก ปิ ดประตูเพื่อ ความเป็ นมหา มงคล ทิ้งไว้เพียงเปลือกที่ว่างเปล่า ถือว่าได้ดีภูเขาลั่วพั่วที่ภายหลัง มารับช่วงต่อดูแลภูเขาหนิวเจี่ยวพร ้อมกับเว่ยป้ อแห่งขุนเขาเหนือไป ภูเขาเป็ นของคนอื่นเขาไปแล้วแน่นอนว่าย่อมต้องเหมารวมสิ่งปลูก สร ้างตระกูลเซียนเหล่านั้นเข้าไปด้วย แต่หลายปีมานี้ภูเขาลั่วพั่วไม่ เคยทาการค้าที่ท่าเรือแห่งนั้นอย่างจริงจังมาก่อน แรกเริ่มยังเป็ น เพราะรากฐานของสานักตื้นเขิน ในมือไม่มีข้าวของ ภายหลังบุกเบิก เส้นทางการเดินเรือตะวันออกเฉียงใต้ไปเยือนอุตรกุรุทวีป การค้าเพิ่ง จะเริ่มมีเค้าลางดีขึ้นกลับเกิดสงคราม ท่าเรือหนิวเจี่ยวทั้งแห่งถูก กองทัพต้าหลีเกณฑ์ไปใช ้งาน เรื่องของการทาการค้าก็ถูกปล่อยทิ้ง ไปอย่างสิ้นเชิงหลายปีมานี้สถานการณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังขาด ผู้ดูแลหลักที่ดีดลูกคิดเป็ น ผู้ฝึกตนที่ปลีกตัวอยู่อย่างสันโดษ กับการ ทาการค้ากับผู้อื่น คนที่อยู่คนละอาชีพก็เหมือนถูกกั้นขวางไว้ด้วย ภูเขา
เพราะปี นั้นอู๋โซ่วถอนร ้านผ้าห่อบุญส่วนใหญ่ออกจากแจกัน สมบัติทวีปโดยพลการเรื่องนี้ทาให้เกิดความขัดเคืองใจกับสกุลซ่งต้า หลีไปไม่น้อย หลังจากนั้นมาร ้านผ้าห่อบุญก็เท่ากับว่าสูญเสียเขต อิทธิพลอย่างแจกันสมบัติทวีปไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ขอแค่วันหนึ่งที่ สกุลซ่งต้าหลีไม่เปิดปาก ร ้านผ้าห่อบุญก็ไม่กล้าไปทาการค้าที่แจกัน
สมบัติทวีป ต่อให้ทางทิศใต้ของลาน้าฉีตู้จะมีหลายแคว้นที่เริ่มทยอย กันกอบกู้แคว้นแล้ว แต่ร ้านผ้าห่อบุญก็ยังไม่กล้าไปเสี่ยงหาเรื่องชวย ใส่ตัว
ซิ๋วหู่จากไป อิ่นกวานก็มา แล้วนับประสาอะไรกับที่สองคนนี้ยัง เป็ นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมส านักกันด้วย
โจวหมี่ลี่รอให้พ่อค้าทั้งสองนั่งลงแล้วก็ถามว่า “อาจารย์จาง อู๋ เซียนชซือ จะดื่มชาหรือไม่?”
อู๋โซ่วเหลือบมองถ้วยน้าชาที่วางอยู่บนโต๊ะ รวมไปถึงใบชาและ น้าที่ใช ้ต้มชา ล้วนไม่พิถีพิถัน เป็ นชาที่ค่อนข้างจะหยาบ จึงส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “ไม่ล่ะ”
จางจื๋อกลับเอ่ยว่า “รบกวนโจวเซียนซือน าชาร ้อนมาให้ข้าสัก ถ้วย”
โจวหมี่ลี่รีบลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ได้เลย อาจารย์จางรอสักครู่”
อู๋โซ่วถามอย่างสงสัย “ภูตน้าน้อยตนนี้ มองดูแล้วไม่ค่อยฉลาด เท่าไรเลยนะ แล้วก็ไม่เหมือนว่าจะเสแสร ้ง เป็ นแค่ขอบเขตถ้าสถิต เท่านั้น นางเป็ นผู้พิทักษ์ฝ่ ายขวาของภูเขาลั่วพัวจริงๆ หรือ จะเป็ นผู้ ถวายงานพิทักษ์ภูเขาได้จริงๆ หรือไร? ไม่กลัวว่าคนนอกจะหัวเราะ เยาะเอารึ?”
จางจื๋อขมวดคิ้วน้อยๆ
รุ ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งจากพื้นดินมาถึงที่แห่งนี้ พลิ้วกายลงนั่ง บนม้านั่งยาวตัวหนึ่งแล้วก็กวักมือตะโกนเสียงดัง “ผู้พิทักษ์ขวา อย่า ลืมนับของอาจารย์และของข้าอีกสองถ้วยด้วย”
นอกจากนี้ยังมีคนชุดเขียวผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังอู๋โซ่ว มือหนึ่ง วางทาบบนไหล่ของเจ้าอ้วน “โจวหมี่ลี่บ้านข้าทาหน้าที่เป็ นผู้พิทักษ์ ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าที่เป็ นคนนอกมีความคิดเห็นอะไรรึ?”
ก็คือเฉินผิงอันกับชุยตงซานที่เดินเอื่อยเฉื่อยกลับมายังภูเขา เซียนตู
อู๋โซ่วอึ้งค้าง ตนใช ้เสียงในใจพูดไม่ใช่หรือ?
ท าไมถึงดังเข้าหูอีกฝ่ายได้?
อู๋โซ่วกาลังจะขยับตัวก็พบว่ามือข้างที่วางไว้บนไหล่กดลงมา การโคจรปราณวิญญาณของฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ก็หยุดชะงัก ค้างเหมือนน้าในลาคลองที่เกาะตัวเป็ น น้าแข็ง
คนผู้นั้นยิ้มพูดต่ออีกว่า “ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
จางจื๋อกุมหมัด “เจ้าขุนเขาเฉิน อู๋โซ่วปากไร ้หูรูด ล่วงเกินท่าน แล้ว ข้าขอโทษท่านแทนเขาด้วย…”
เฉินผิงอันเหล่ตามองบรรพจารย์ร ้านผ้าห่อบุญผู้นั้น ตัดบท คาพูดอีกฝ่ ายโดยตรง “ที่นี่คือสานักกระบี่ชิงผิง เจ้าช่วยเขาไม่ได้ หรอก”
ชุยตงซานตีหน้าเคร่งกลั้นขา ดีๆๆ จางจื่อผู้นี้สมกับเป็ นพี่น้อง คนดีบ้านตนจริงๆ อู๋โซ่วก็ยิ่งเป็ นชายชาตรีแข็งแกร่งที่หยิ่งทระนงใน ศักดิ์ศรี กล้าพูดถึงหมี่ลี่น้อยที่ท่าเรือชิงซานเช่นนี้ กบาลเจ้าถูกทุบ เละแน่
ดูสิ เวลาปกติอาจารย์ของตนเป็ นคนอารมณ์ดีจะตายไป ยิ่งเป็ น คนที่ให้ความเคารพผู้อาวุโสมาโดยตลอด แต่พวกเจ้ากลับท าให้เขา โมโห สมน้าหน้า สมน้าหน้า พันไม่ควรหมื่นไม่ควรพูดจาไม่ดีถึงหมี่ ลี่น้อยของพวกเราเลยจริงๆ
เฉินผิงอันไพล่หลังด้วยมือข้างเดียว มือหนึ่งวางลงบนบ่าของอู๋ โซ่ว โน้มตัวไปด้านหน้าก้มหัวค้อมเอว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากยังแกล้ง ทาเป็ นหูหนวกเป็ นใบ้อีก ข้าจะออกคาสั่งไล่แขกแล้วนะ”
อู๋โซ่วเอ่ยเสียงสั่น “โปรดอภัย อิ่นกวานโปรดอภัยให้ด้วย ถ้อยค า ที่ไร ้เจตนา ล่วงเกินแล้ว ข้าถูกผีบดบังจิตใจ สมองเลอะเลือนไปเอง”
หมี่ลี่น้อยกับหูฉู่หลิงช่วยกันยกถ้วยน้าชามาสามถ้วย
ชู่ชู่วางถ้วยชาสองใบลงเบาๆ หมี่ลี่น้อยรับผิดชอบยกถ้วยชาไป มอบให้จางจื่อ นางคลี่ยิ้มกว้างให้กับเจ้าขุนเขาคนดี อาจารย์จางคือ คนนอกนะ มารยาทต้องครบถ้วน ต้องใช ้สองมือถือประคองมาให้
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี พยักหน้ารับเบาๆ เข้าใจได้
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ผู้พิทักษ์ขวา เจ้ากับชู่ชู่กลับเข้าไปในห้อง ก่อน ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บ ไม่อบอุ่นเหมือนในห้อง”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้ว ข้าคือภูตน้าใหญ่เชียวนะ จะกลัวหนาวหรือ? นี่เป็ นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้ าแล้ว เพียงแต่พลันฉุกคิดขึ้นได้ รู ้แล้ว เจ้าขุนเขาคนดีจะคุยธุระกับคนอื่นเป็ นการค้า ครั้งใหญ่!
เฉินผิงอันตบไหล่ของอู๋โซ่วแล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวอีกตัวที่ เหลืออยู่
เมื่อครู่นี้ห่านขาวใหญ่เห็นอาจารย์ขยับตัวก็ใช ้ชายแขนเสื้อเช็ด ม้านั่งยาวที่อยู่ข้างกายแล้ว เสียแรงเปล่าซะจริง
เฉินผิงอันเอ่ยสองประโยคเข้าประเด็นโดยตรง
“อาจารย์จางดื่มชาหมดก็สามารถไปได้แล้ว เรื่องที่ร ้านผ้าห่อ บุญจะไปเปิดใหม่ที่แจกันสมบัติทวีป ไม่ต้องคุยกัน”
“ต่อให้ราชสานักต้าหลีพยักหน้า ต่อให้เป็ นฮ่องเต้ซ่งเหอที่ตอบ ตกลง ก็ไม่ได้รับอนุญาตอยู่ดี ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
จางจื๋อยังคงคลี่ยิ้มเป็ นปกติ ดื่มน้าชาไปหนึ่งอึก
อู๋โซ่วยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน หรือว่าเป็ นเพราะประโยค ล่วงเกินของข้า ถึงได้ท าให้ท่านโกรธเคืองร ้านผ้าห่อบุญทุกร ้าน?”
จางจื๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บุญคุณความแค้นส่วนบุคคลเช่นนี้ อย่า ลากร ้านผ้าห่อบุญข้ามาเกี่ยวด้วย”
หัวใจของอู๋โซ่วบีบรัดตัว พยักหน้ารับอย่างแรง “ข้าพูดผิดอีก แล้ว””
นิสัยร ้ายกาจของผู้ฝึ กกระบี่ คราวนี้ถือว่าได้รับรู ้อย่างแท้จริง แล้ว!
ชุยตงซานถอนหายใจ “จางจื๋อเอ๋ยจางจื๋อ เจ้าพกบรรพบุรุษที่มี ชีวิตมาไว้ข้างกายจริงๆเดิมทีก็ดีๆ อยู่ ใบหลิ่วร่วงโรยได้พบเจอ ดอกไม้บาน โอกาสดีๆ เช่นนี้กลับทาให้กลายเป็ นอย่างนี้ไปได้ นี่ ไม่ใช่เป็ นการเพิ่มน้าค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะหรอกหรือ กิจการของ สองทวีปหายวับไปในชั่วพริบตา หากข้าเป็ นเจ้า เวลานี้คงตบปาก ตัวเองสองทีแรงๆ ไปก่อนแล้ว จากนั้นค่อยหันไปตบหน้าบรรพบุรุษอู๋ ซ้าอีกสองสามที