กระบี่จงมา - บทที่ 971.2 กลิ้งลูกหิมะ
อาจารย์เจิงต้องการเดินทางขึ้นเหนือไปเพียงลาพัง ดุจนก กระเรียนป่ าที่โบยบินอย่างเดียวดาย เขาเคยชินกับการที่มีสี่สมุทร เป็ นบ้านเสียแล้ว
ส่วนเจี่ยนหมิงก็จะต้องให้หันกวงหุ่น าดาบอาคม ‘หมิงเฉวียน” ที่ เขาขโมยมาจากมือของเหยาหลิ่งจือไปมอบให้กับฮ่องเต้สกุลเหยาต้า เฉวียน ส่วนจะจัดการกับอาวุธเทพที่ราชวงศ์ก่อนน ามาใช ้สยบ การาบโชคชะตาแคว้นเล่มนี้อย่างไร ก็เป็ นเรื่องของฮ่องเต้หญิงเหยา จิ้นจือแล้ว
ส่วนหันกวงหู่นั้นจะต้องพาเจี่ยนหมิงกลับไปที่นครเซิ่นจิ่งด้วยกัน เมื่อครู่ตอนที่อยู่บนโต๊ะเหล้าผู้เฒ่าก็ตัดสินใจแล้ว อาศัยการพูดคุย อย่างลับๆ ตอบตกลงกับอาจารย์เจิง รับปากว่าตนจะไปรับต าแหน่ง หนึ่งอยู่ในราชสานักต้าเฉวียน ทุ่มเทกาลังอย่างเต็มที่เพื่อให้การ ช่วยเหลือเหยาจิ้นจือ อย่างน้อยที่สุดก็จะอยู่นานสามสิบปี เมื่อเป็ น เช่นนี้ ราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ตลอดหลายปีมานี้ขาดแคลนคนที่มีพลัง การสู้รบบนยอดเขาคนหนึ่งมานั่งพิทักษ์ขุนเขาสายน้าก็เท่ากับว่ามีผู้ ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งเพิ่มมาเปล่าๆ แล้วนับประสาอะไร กับที่แม้ว่าทุกวันนี้หันกวงหู่จะไม่ได้อยู่ในสภาวะที่พรั่งพร ้อมสูงสุด แต่ ชื่อเสียงของคนเงาของต้นไม้ ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่หมัดเคยสยบเกราะ
ทองทวีปมานานถึงร ้อยปี ส าหรับใบถงทวีปในทุกวันนี้แล้วก็คือการ ข่มขวัญที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง และสาหรับสกุลเหยาต้าเฉวียนเองแล้วก็ ยิ่งสมกับคากล่าวที่ว่า “ปีใหม่มหามงคล
ฉินปู้ อี๋กับผังเชาไม่จ าเป็ นต้องให้ชุยตงซานช่วยน าทางก็ทะยาน ลมไปที่ยอดเขามีเซวี่ยด้วยตัวเอง จากนั้นก็ไปอยู่ในสานักกระบี่ชิงผิง ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยติดตามชุยตงซานเดินทางไปเยือนล า คลองหลินเหอที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีปรอบหนึ่ง
ซ่งอวี่เซาติดตามหันกวงหู่ที่แค่เจอหน้าก็ถูกชะตากันทันที เดินทางลงใต้ไปด้วยกัน คิดว่าจะไปดูนครเซิ่นจิ่งที่ได้ยินชื่อเสียงมา เนิ่นนานแห่งนั้นสักหน่อย ต่อจากนั้นจะรอเรือเฟิงยวนอยู่ที่ท่าเรือใบ ท้อ แล้วก็จะติดตามเรือข้ามฝากมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือชวีซานทางทิศใต้ ของใบถงทวีปก่อนแล้วค่อยเดินทางข้ามมหาสมุทรขึ้นเหนือไปยัง แจกันสมบัติทวีป ผู้เฒ่าจะลงเรือที่นครมังกรเฒ่า เดินทางผ่านอาณา เขตของครึ่งทวีป ค่อยๆ กลับไปยังแคว้นซูสุ่ยอย่างเรื่องช ้า
เฉินผิงอันอยากจะไปส่งซ่งอวี่เซาถึงที่หน้าประตูเมือง ผู้เฒ่ากลับ โบกมือบอกเป็ นนัยว่าไม่ต้อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแค่มาส่งที่ถนนหน้า ประตูเรือนเท่านั้น
หันกวงหู่หยุดเดิน เอ่ยว่า “ครั้งหน้าที่ปรมาจารย์เฉินไปเยือนนคร เซิ่นจิ่ง ค่อยชดเชยการประลองในวันนี้ที่ติดค้างไว้ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กดขอบเขตถามหมัด ผู้เยาว์ถนัดมาก”
หันกวงหู่สะอึกอึ้ง คนหนุ่มพูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย
เจี่ยนหมิงที่ยังคงเหน็บดาบแคบไว้ใต้รักแร ้ ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย สัพยอกว่า “เฉินผิงอันครั้งนี้ข้ากับตาเฒ่าหันไปที่ต้าเฉวียนด้วยกัน จะต้องได้เจอใครบางคนแน่ เจ้ามีคาพูดอะไรที่อยากฝากข้าไปบอก หรือไม่?”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งวางมาดของผู้อาวุโส “ไอ้หนู พฤติกรรม ยามดื่มเหล้าของเจ้าแย่ไปสักหน่อย วันหน้าจ าไว้ว่าอยู่บนโต๊ะสุราหัด ดื่มเหล้าให้มาก พูดให้น้อย”
เจี่ยนหมิงอึ้งค้างพูดไม่ออก อาจารย์เจิงยิ้มเอ่ยเตือนลูกศิษย์ “ผู้สูงศักดิ์ไม่เอ่ยวาจาง่ายๆ จา ไว้ให้ดี”
กลุ่มของซ่งอวี่เซาสามคนเดินย่าไปบนถนนที่มีหิมะกองทับหนา หนักจากไปไกลอย่างเชื่องช ้า
เจี่ยนหมิงพลันหมุนตัวกลับ เดินถอยหลัง มองไปยังอาจารย์เจิงที่ สวมชุดผ้าฝ้ ายสีเขียว ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์ถนอมตัวด้วย!”
อาจารย์เจิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ต่างก็ถนอมตัวกันให้ดี”
ชุยตงซานนั่งยองอยู่บนขั้นบันไดปั้นลูกหิมะ อาจารย์เจิงยืนเคียง บ่ากับเฉินผิงอัน เอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ในอดีตตอนที่พบเจอกันครั้ง แรก ล่วงเกินแล้ว หวังว่าผู้ใหญ่จะไม่ถือสาผู้น้อย”
ก่อนหน้านี้ที่สตรีชุดขาวปรากฏตัวบนหัวก าแพงเมือง ได้เรียก เฉินผิงอันว่านายท่านต่อให้นางจะพลิกกลับแม่น้าแห่งกาลเวลา ตามใจชอบแค่ไหน หลังจบเรื่องแม้แต่ผีเซียนสองตนอย่างฉินปู้ อี๋และ ผังเชาก็ยังมิอาจสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ แต่อาจารย์เจิงออกเดินทางท่อง ไปทั่วใต้หล้ามานานหลายพันปี และยังเคยเจอคลื่นมรสุมใหญ่ยักษ์ มาไม่น้อย เพียงแต่ว่าฝีมือเช่นนี้ อาจารย์เจิงเพิ่งเคยเห็นเป็ นครั้งแรก จริงๆ ถือว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว ส่วนการพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ต้องก้มหัวพูดจาอ่อนน้อม เขากลับไม่รู ้สึกอัดอั้นใดๆ
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “อาจารย์เจิงกล่าวหนักเกินไปแล้ว พบ เจอกันอย่างผิวเผินไม่เคยผูกปมแค้นกัน กลับมาพบเจอกันในยุทธ ภพอีกครั้งยังได้มานั่งดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกัน พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ก็คือการสร ้างบุญสัมพันธ ์อย่างหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่นิสัยใจ คอของเจี่ยนหมิงก็ไม่เลว ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์เจิงพูดเอง ใบไม้ ร่วงหนึ่งใบก็รู ้ว่าฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว”
อาจารย์เจิงยิ้มชอบใจ กุมหมัดคารวะกลับคืน
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์เจิง โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งไกลๆ ใน อนาคตหากมีโอกาสก็ไปเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าข้าจะอยู่ที่ บ้านเกิดมากหน่อย ทางฝั่งของสานักกระบี่ชิงผิงแห่งนี้มีชุยตงซาน เป็ นผู้จัดการดูแล ข้าเองก็วางใจแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขา ต่างหากถึงจะเป็ นเจ้าสานัก ข้าก็ไม่ถือว่าเป็ นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้ง ร ้าน”
อาจารย์เจิงยิ้มกล่าว “ไม่จาเป็ นต้องไปส่ง เดินทางท่ามกลางลม หิมะเพียงล าพังก็มีท่วงทานองที่เป็ นเอกลักษณ์ดี”
ชุยตงซานใช ้สองมือถือประคองลูกหิมะลูกนั้น พูดด้วยสายตา ฉายแววไม่พอใจว่า “ไยอาจารย์ต้องสาดหิมะใหญ่ลงบนหัวใจของ ศิษย์ด้วย ช่างท าให้ใจคนเหน็บหนาวเหลือเกิน”
อาจารย์เจิงยิ้ม “ระหว่างเส้นทางได้ยินบทประพันธ ์ดังเข้าเต็มหู แน่นอนว่าเป็ นเรื่องที่ถือว่าไม่ง่ายเลย แต่คนคนหนึ่งขอแค่ชื่อเสียง โด่งดังไปทั่วใต้หล้า ส่วนใหญ่ก็มักจะมาพร ้อมกับการถูกคนว่าร ้าย น้อยนักที่จะมีข้อยกเว้น”
เฉินผิงอันกล่าว “สร ้างกุศลท าความดีให้ถึงพร ้อม ไม่หวังให้ใคร มารับรู ้ไม่ทาบาปทั้งปวง ไม่กลัวคนจะล่วงรู ้”
อาจารย์เจิงพยักหน้า “อาจารย์เฉินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน แล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้ามากุมหมัดคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์กับผู้ อาวุโสก็เห็นพ้องต้องกันแล้ว”
อาจารย์เจิงใช ้ฝ่ ามือดันด้ามดาบและฝักกระบี่ “เพราะสถานะที่ เป็ น จึงจ าต้องหลบซ่อน ทาให้อาจารย์เฉินเห็นเรื่องตลกแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “ในยุทธภพไม่ได้มีแค่มือกระบี่ แต่มือ กระบี่ต้องเป็ นคนในยุทธภพแน่นอน”
อาจารย์เจิงยิ้มเอ่ย “คาพูดนี้ถือเป็ นสุดยอดถ้อยคาในการดื่มสุรา อวยพรได้เลยทีเดียว”
หลังแยกกับคนเชื่อดาบสานักโม่ที่เคยเป็ นคนขนย้ายไม้ท่านนี้ แล้ว เฉินผิงอันก็ถูกชุยตงซานดึงไปในห้องแห่งหนึ่ง บอกว่าเฉียนโหว เอ๋อร ์ค่อนข้างน่าสนใจ จะต้องไปเจอให้ได้
ในห้องมีกระถางไฟขนาดเล็กอยู่หนึ่งใบ ชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้ง ก าลังถูมือหาความอบอุ่น อ้าปากหาวหวอด รู ้สึกง่วงเล็กน้อย แต่ก็ รู ้สึกอีกว่าเรื่องราวที่พบเจอในวันนี้มีเยอะเกินไป ประหลาดเกินไป จึง ตัดใจรีบนอนไม่ลง
เฉียนโหวเอ๋อร ์ได้ยินเสียงเคาะประตูดังสนั่นฟ้ าดินก็รีบลุกขึ้นวิ่ง ไปเปิ ดประตู พบว่าตรงหน้าประตูนอกจากอาจารย์ชุยที่พูดจา น่าสนใจแล้ว ยังมีคนชุดเขียวที่เกือบจะตีกับคนอื่นอยู่ด้วย
ในช่วงเวลาที่เฉียนโหวเอ๋อร ์ก าลังคิดหาค าพูดเหมาะๆ อีกฝ่ ายก็ คลี่ยิ้มอย่างจริงใจเป็ นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแล้วว่า “รบกวนแล้ว”
ทาเอาเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่ได้ยินอึ้งค้าง ไม่เหมือนกับชุยเซียนซือ เลยสักนิด
ชุยตงซานกระแอมหนึ่งที เฉียนโหวเอ๋อร ์คืนสติ รีบเบี่ยงตัวหลีก ทางให้ ก้มหัวค้อมเอว “เชิญเข้ามา เชิญเข้ามา ไม่รบกวนเลย จะ รบกวนได้อย่างไร”
ห้องไม่ใหญ่ แต่เก้าอี้กลับมีไม่น้อย ล้วนเป็ นเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่ ชอบท างานไม้เก็บรวบรวมมา เป็ นของเก่าแล้ว ฝีมืองานไม้ดีเยี่ยม ชุยตงซานหิ้วเก้าอี้มามือหนึ่ง จากนั้นใช ้เท้าเกี่ยวมาอีกตัวหนึ่ง คนทั้ง สามนั่งล้อมกองไฟด้วยกัน “อาจารย์ แม้ว่าเฉียนโหวเอ๋อร ์จะไม่เคย เล่าเรียนเขียนอ่าน แต่เขาเป็ นคนใฝ่ รู ้ใฝ่ เรียนอย่างมาก คือคนที่ เรียนรู ้ด้วยตัวเองตามแบบฉบับเลยล่ะ ยังสามารถถูกหลักเหตุผลกับ ข้าได้ด้วยนะ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องนี้ เขาก็เพิ่งจะพูดกับข้าว่า ไม่ อ่านหนังสือวันหนึ่ง ทุกเรื่องล้วนถูกทิ้งร ้างว่างเปล่า”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “มีความคิดดีมาก”
เฉียนโหวเอ๋อร ์มึนงงไปหมดแล้ว ได้แต่เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ดู เหมือนว่าข้าจะไม่เคยพูดนะ”
ชุยตงซานพูดอย่างหนักแน่น “ดูเหมือนเจ้าจะเคยพูด”
เฉียนโหวเอ๋อร ์มองชุยตงซานที่มีสีหน้าเข้มงวดก็เอ่ยอย่างเขิน อายว่า “อาจารย์ชุยบอกว่าข้าเคยพูด ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าเคยพูด แล้วกัน”
เฉินผิงอันหลุดข าอย่างอดไม่อยู่ เหมาะจะไปอยู่ภูเขาเซียนตู จริงๆ ท าอาหารได้อร่อย
ชุยตงซานไม่ท าตัวห่างเหินกับเฉียนโหวเอ๋อร ์เลยสักนิด เขากวัก มือหนึ่งครั้งก็คว้าเอาสมุดภาพที่ภาพวาดด้านในวาดด้วยถ่านเล่มนั้น
มาไว้ในมือ ยื่นส่งให้อาจารย์ “อาจารย์โปรดดู ดูว่าเฉียนโหวเอ๋อร ์ใช่ วัตถุดิบที่สร ้างได้หรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มมองเฉียนโหวเอ๋อร ์ ชายฉกรรจ์รีบพูดทันทีว่า “เชิญดูตามสบายเลย ภาพที่เหมือนผีวาดยันต์อย่างนี้ เป็ นที่ตลก ขบขันของผู้เชี่ยวชาญ (ภาษาจีนอ่านว่าเผยเซี่ยวต้าฟาง) แล้ว กลัว ก็แต่ว่าจะระคายตาเซียนซือ”
ชุยดงชานถลึงตาใส่ “ไม่เล่าเรียนเขียนอ่านก็พูดส าบัดส านวน ให้น้อยลงน้อย ทีนี้ก็เผยพิรุธเลยเห็นไหม โอ้อวดความรู ้ส่งเดช เป็ นที่ ตลกขบขันของผู้เชี่ยวชาญต้องพูดว่าไถเซี่ยวต้าฝาง ไม่ใช่เผย เซี่ยวต้าฟาง”
เฉียนโหวเอ๋อร ์กึ่งเชื่อกึ่งกังขา เขาเคยเห็นคาสุภาษิตนี้จากใน ต ารา แล้วเขายังเคยไปขอความรู ้จากแม่นางเสี่ยวฝ่ างมาโดยเฉพาะ ด้วย
เฉินผิงอันรับสมุดมา เอ่ยว่า “พี่เฉียน อย่าไปฟังตงซานพูด เหลวไหล”
การพูดคุยกันต่อจากนั้น เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู ้ว่าที่แท้เฉียนโหว เอ๋อร ์มีชื่อว่าเฉียนจวิ้น ที่บ้านเกิดมีเตาเผาอยู่แห่งหนึ่ง ถือว่าเป็ นคน อาชีพเดียวกันได้ครึ่งตัว เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็มีเรื่องให้คุยกันมากมายแล้ว
เฉินผิงอันรู ้ถึงความตั้งใจของชุยตงซาน ดังนั้นจึงผลักเรือตาม กระแสน้า เชื้อเชิญให้เฉียนจวิ้นไปดูภูเขาเซียนตู หากรู ้สึกว่าเข้ากัน
ได้ดีกับขนบธรรมเนียมของบนภูเขาก็ตั้งรกรากอยู่ที่นั่นเสียเลย คว้า สถานะสักอย่างมาจากภูเขาเซียนตูก่อน วันหน้าหากคิดจะย้ายไปอยู่ ที่อื่น เมื่อมีรากฐานอยู่ก่อนแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าหิ้วหัวหมูไปแล้วจะ หาศาลไม่เจอ เพราะถึงอย่างไรคากล่าวที่ว่าวีรบุรุษไม่ต้องถามถึง ที่มาก็เชื่อได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
เฉียนโหวเอ๋อร ์ยังคงปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ าย ฝึ กยุทธ ขอบเขตสามผู้นี้อดจะพึมพาในใจไม่ได้ ชุยเซียนซือที่ทาอะไร ประหลาด บวกกับอาจารย์เฉินที่คาพูดและการกระท าล้วนอ่อนโยนผู้ นี้ ภูเขาบ้านพวกเขาต้องขาดคนมากขนาดไหนกันนะ ถึงได้กินไม่ เลือกแบบนี้ แม้แต่คนอย่างตนก็ยังถูกใจพวกเขาเสียได้
เห็นว่าชายชุดเขียวที่ถูกปฏิเสธไม่มีท่าทีขุ่นเคือง เฉียนโหวเอ๋อร ์ ก็โล่งอกแล้ว ร่อนเร่อยู่ในยุทธภพมานานหลายปี ความสามารถใน การฝึกหมัดเรียนวรยุทธไม่ได้ความ แต่เขากลับคิดว่าตัวเองยังพอจะ มีความสามารถในการมองสีหน้าคนอยู่บ้าง
การที่เขาไม่รู ้จักดีชั่วเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเฉียนโหวเอ๋อร ์ไม่อยาก ร่ารวยสูงศักดิ์ เพียงแต่ว่าเสียเปรียบมาเยอะเกินไปจึงจาได้ขึ้นใจแล้ว แล้วก็รู ้หลักการน้าลึกในยุทธภพเป็ นอย่างดี ต่อให้มีเรื่องคือย่างขนม เปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้ า ก็ไม่มีทางหล่นมาอยู่ในชามแตกใบเล็กของ ตนได้เป็ นแน่ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะเฉียนโหวเอ๋อร ์มีชีวิต อย่างยากล าบากมาจนชินแล้ว ไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีชะตาชีวิตที่ดีได้ หากว่าเขาเฉียนจวิ้นเป็ นเทพเขียนบนภูเขาอย่าง วังม่านเมิ่ง หรือไม่
ก็เป็ นปรมาจารย์อย่างหงโฉวที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้รับการปฏิบัติ อย่างมีมารยาทจากผู้อื่น คาดว่าเมื่อครู่นี้คงเริ่มต่อรองกับอีกฝ่ ายไป นานแล้ว ทุกปี จะให้เงินเดือนเท่าไร บนภูเขาได้เตรียมเรือนพัก ส่วนตัวไว้ให้ด้วยหรือไม่?
เฉินผิงอันขอตัวลาจากไป พาชุยตงซานออกไปจากห้องด้วยกัน หลังจากเขาเดินข้ามธรณีประตูไปแล้ว ชุยตงซานก็หันหน้าไปยก นิ้วโป้ งให้กับชายร่างผอมแห้งที่อยู่ข้างกาย “เฉียนโหวเอ๋อร ์วีรบุรุษ ชายชาตรีที่สามารถทาให้อาจารย์ของข้าเชื้อเชิญไปอยู่บนภูเขาได้มี น้อยจนนับนิ้วได้ ถูกเชิญแล้วยังปฏิเสธก็ยิ่งหาได้ยากดุจขนหงส์เขา กิเลน ร ้ายกาจ ร ้ายกาจ!”
ออกมาจากเรือน เฉินผิงอันเดินอยู่บนถนน มองไปทางใดก็มีแต่ หิมะลอยคว้าง ม่านราตรีหนาหนัก แต่อยู่ดีๆ เขากลับนึกถึงประโยค หนึ่งที่ตรงกันข้ามกับทิวทัศน์นี้ในเวลานี้ขึ้นมา
ฟ้ าดินเตายักษ์ ตะวันถ่านนึ่งต้ม หมื่นสรรพสิ่งเผาหลอม มนุษย์ก็ ไม่เว้น
แรกเริ่มสุดประโยคนี้เป็ นหลิวเสี้ยนหยางที่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้ เฒ่าเหยาช่างเตาเผาแล้วเอามา “โอ้อวด” ให้เฉินผิงอันฟัง เฉินผิงอัน ติดตามผู้เฒ่าเหยาไปหาดินมาเผาเครื่องปั้นเข้าไปในภูเขาออกมา จากภูเขาไปกลับรอบหนึ่ง บางทีเขายังพูดกับเฉินผิงอันไม่เกินสาม ประโยคด้วยซ้า ภายหลังระหว่างที่เฉินผิงอันเดินทางท่องเที่ยวอยู่ใน อุตรกุรุทวีป ข้างกายเคยมีสุยจิ่งเฉิงที่เป็ นตัวภาระติดตามมาด้วย และ
เขาก็เคยเกิดแรงบันดาลใจเช่นกัน…คืนนี้เฉินผิงอันเดินอยู่บนพื้น หิมะอย่างเนิบช ้า หันหน้ากลับไปมอง
ชุยตงซานหันหน้ามองตาม ถามอย่างสงสัย “อาจารย์ มีสิ่ง ผิดปกติหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร”
สะบัดข้อมือเบาๆ กริชเฉาจื่อเล่มหนึ่งก็ไถลออกมาจากชายแขน เสื้อของเฉินผิงอัน กับ “แสงสายัณห์” มีดสั้นที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู ้ ประวัติความเป็ นมา ต่างก็เป็ นของรางวัลจากการต่อสู้ที่ปีนั้นสุยจิ่งเฉิง ช่วยค้นหามาได้ แม้แต่หลิวจิ่งหลงที่เห็นดาบสั้นสองเล่มนี้ก็ยังอดไม่ ไหวเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่ามือดีเหลือเกิน หลิวจิ่งเฉิงรู ้จักกริชเฉาจื่อที่ ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร ์ทางการเล่มนี้ ส่วนอีกเล่มหนึ่งได้ถูก เฉินผิงอันตั้งชื่อว่า “เกอลู่ (เกอแปลว่า ตัด ลู่แปลว่ากวาง ประโยคนี้ มาจากเรื่องเล่าในสมัยโบราณบอกว่ารัฐฉินสูญเสียใต้หล้าผู้คนพา กันแย่งชิง มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นถึงจะได้ “กวาง” ตัวนี้ไปครอง กวางใน ที่นี้หมายถึง แผ่นดิน ใต้หล้า นอกจากนี้เกอลู่ยังพ้องเสียงกับคาว่า เกอจวี้ที่แปลว่ายึดครองด้วย) เพราะเขารู ้สึกว่าดีกว่าชื่อ “แสง สายัณห์” ชื่อเก่าที่ถูกแกะสลักไว้บนตัวดาบอยู่หลายส่วน
จาต้องยอมรับว่า ในเรื่องของการตั้งชื่อ ต้องอาศัยพรสวรรค์ จริงๆ
เฉินผิงอันพลิกหมุนข้อมือควงกริชจนเกิดประกายแสงเปล่งวูบ วาบ ทุกองศาการหมุนล้วนอ้อมผ่านเกล็ดหิมะทุกเกล็ดไป
ชุยตงซานตัดใจทาลายสภาพจิตใจอันสงบนิ่งของอาจารย์ไม่ลง แต่ก็ทนจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “ในเมื่อ ปลาใหญ่งับเหยื่อแล้ว อาจารย์จะยกคันเบ็ดขึ้นเมื่อไหร่”
เฉินผิงอันหยุดควงกริช เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออีกครั้ง เอ่ย อย่างไม่สบอารมณ์ว่า “รู ้ดีแล้วยังท าเป็ นถาม จะแกล้งโง่ไปท าไม”
ก่อนหน้านี้ใครมาแอบฟังที่มุมกาแพง นิสัยเหมือนหลิวเสี้ยนห ยางเลย มิน่าเล่าถึงได้เรียกกันเป็ นพี่เป็ นพี่น้องเสียคล่องปาก สนิท สนมกันดีนัก
ชุยตงซานเอ่ยอย่างน้อยใจ “ความคิดของอาจารย์เหมือน มหาสมุทร ดุจน้าลึกไร ้เสียงก่อนหน้านี้คุยกับผู้อาวุโสซ่งก็เหมือนเล่น ทายคาปริศนากัน ไม่ได้ฟังคาตอบที่แน่ชัดของ อาจารย์กับหูตัวเอง ศิษย์ก็ไม่กล้าวางใจหรอก”