กระบี่จงมา - บทที่ 970.3 ลมหิมะที่คุ้นเคย
หันกวงหู่ตีหน้าเคร่งดื่มเหล้าของตัวเองไปเงียบๆ
เฉินผิงอันใช ้สองมือถือชาม ดื่มคารวะทุกคนก่อน
เจี่ยนหมิงวางชามเหล้าลงแล้วก็อดไม่ไหวถามว่า “เฉินผิงอัน เซียนกระบี่ของกาแพงเมืองปราณกระบี่มีเยอะอย่างที่โลกภายนอก เล่าลือกันจริงๆ หรือ?”
“เจียนหมิง ห้ามเรียกชื่อของเจ้าขุนเขาเฉินโดยตรง”
อาจารย์เจิงยิ้มเอ่ยเตือนลูกศิษย์หนึ่งประโยค จากนั้นจึงหันมา ถามเฉินผิงอันว่า “ทุกวันนี้อาจารย์เฉินมีนามหรือฉายาทางการฝึก ตนเป็ นของตัวเองหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่เห็นเป็ นสาคัญ ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ได้มีอะไรพวกนี้ มีแค่นามแฝงที่ใช ้ท่องยุทธภพอยู่สองสามชื่อ อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า ไม่เป็ นไรหรอก พวกเจ้าเรียกชื่อข้าตรงๆก็ได้”
อยู่ที่บ้านเกิด ตอนที่อายุยังน้อย ดูเหมือนว่าจะถูกใครสักคน เรียกชื่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ต่างบ้านต่างเมืองที่ถูกบีบให้อยู่ ยาวนานที่สุดจนค่อยๆกลายมาเป็ นเหมือนบ้านเกิดครึ่งหนึ่ง นอกจาก
คฤหาสน์หลบร ้อนแล้ว อันที่จริงตอนอยู่ร ้านเหล้าก็มักจะถูกคน เรียกชื่อตรงๆ เป็ นประจา
พวกลูกค้าและพวกผีพนันหน้าม้าร ้านเหล้าต่างก็ทากันแบบนี้ หากไม่เรียกเฉินผิงอันตรงๆ ก็จะเรียกอย่างหยอกล้อว่าเถ้าแก่รอง
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทางฝั่งของกาแพงเมือง ปราณกระบี่ หากจะพูดถึงจานวนของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน อันที่ จริงไม่ได้มากมายเกินจริงอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกัน แต่หากอิง ตามกฎของทางฝั่งใต้หล้าไพศาล สองขอบเขตอย่างโอสถทอง ก่อกาเนิดที่ถือเป็ น “เซียนกระบี่” ได้แล้วก็มีไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ว่า หากมองกาแพงเมืองปราณกระบี่เป็ นสานักวิถีกระบี่แห่งหนึ่ง ตั้ง ตระหง่านอยู่มาได้นานเป็ นหมื่นปี สมมติว่าผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน ทุกคนสามารถแขวนภาพเหมือนไว้ในศาลบรรพชนได้ ถ้าอย่างนั้น ศาลบรรพชนก็ต้องใหญ่มากถึงจะได้ ต้องเป็ นเรือนหลังยักษ์ที่มี กาแพงสูงหลังหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ
คากล่าวนี้ของชุยตงซาน อันที่จริงไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เจี่ยนหมิงเอ่ยว่า “วันหน้าจะต้องไปเยี่ยมชมนครบินทะยานของ ใต้หล้าห้าสีสักหน่อยแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มพูด “ตั้งใจฝึกตนให้ดีต้องมีโอกาสแน่นอน”
เจี่ยนหมิงอดไม่ไหวเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน หากจ าไม่ผิด พวกเรา อายุพอๆ กัน แต่ท าไมฟังจากน้าเสียงของเจ้าแล้วเหมือนเป็ นผู้อาวุโส ของข้าอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ดูท่าความเคยชินที่ชอบวางตัวเป็ นครูสั่ง สอนผู้อื่นนี้คงจะไม่ค่อยดีเท่าไร ต้องแก้ไขสักหน่อยแล้ว”
เจี่ยนหมิงยิ้มกว้าง “ได้ยินมาว่าความสัมพันธ ์ระหว่างเจ้ากับ ฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนดีมากเลยหรือ?”
คราวก่อนแฝงตัวเข้าไปในนครเซิ่นจิ่ง เจี่ยนหมิงขโมย “หมิง เฉวียน” มา แต่ไม่ได้เจอกับฮ่องเต้ที่รูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้น เขารู ้สึกเสียดายอย่างมาก
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่กระพือกัน ออกไปเป็ นวงกว้างพวกนั้น ฟังแล้วปล่อยผ่านไปก็พอ”
ชุยตงซานพยักหน้ารัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใครคิดเป็ น จริงเป็ นจังคนนั้นก็คือคนโง่”
ฉินปู้ อี๋ถามอย่างโผงผาง “อาจารย์เฉิน เคยได้ยินสายเซียนกระบี่ แห่งซีซานหนึ่งในสามสายของผู้ล้างมลทินหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “น่าละอายใจนัก เพิ่งได้ยินลูกศิษย์พูดถึง ก่อน หน้านั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
ฉินปู้ อี๋มองบุรุษชุดเขียวที่มีท่าทางสุภาพอ่อนโยน ยากจะ จินตนาการได้ว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้ใช ้วิธีการต่าช ้าต่อยให้เฉาสือต้อ งออกไปจากศาลบุ๋นด้วยใบหน้าเขียวช้าบวมเป่ง
เฉินผิงอันแห่งแจกันสมบัติทวีปไร ้ชื่อเสียงมาโดยตลอด ทว่าอื่น กวานคนสุดท้ายแห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่กลับมีชื่อเสียงสะท้านไป ทั่วใต้หล้า
ไม่ใช่ดอกไม้บานในกาแพงส่งกลิ่นหอมไปนอกกาแพงอะไรด้วย ซ้า แต่เป็ นดอกไม้ที่บานนอกก าแพงโดยแท้
ดังนั้นความสัมพันธ ์ระหว่างราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีปกับ ภูเขาลั่วพั่วและเฉินผิงอันเอง หลายปีมานี้ทาให้คนนอกขบคิดไม่แตก มาโดยตลอด รู ้สึกเหมือนมองดอกไม้ในม่านหมอก
ฉินปู้ อี๋ยังคงเป็ นคนทาอะไรฉับไวที่ปากเร็วใจเร็ว นางไม่ปิดบัง รากฐานของตัวเองแม้แต่น้อย โพล่งออกมาตามตรงว่า “หลิวเถาจือ ศิษย์พี่ของข้าคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง เขาเองก็เป็ น ผีเซียนเหมือนข้ากับซงจือ เขาหวังว่าอาจารย์เฉินจะสามารถมารับ หน้าที่เป็ นเค่อชิงอันดับหนึ่งของสายเซียนกระบี่ซีซาน หากอาจารย์ เฉินยินดีรับหน้าที่เป็ นไท่ช่างเค่อชิงในศาลรวม แน่นอนว่าย่อมดียิ่ง กว่า ข้ากับศิษย์พี่หลิวจะพยายามกระตุ้นเรื่องนี้ให้ส าเร็จกันอย่าง เต็มที่”
“สามสายของผู้ล้างมลทินแบ่งออกเป็ นผู้ฝึ กตนอิสระ แม่ทัพปู่ และมือกระบี่ จานวนล้วนไม่มาก แต่กระจายอยู่ทั่วเก้าทวีปของ ไพศาล ส่วนที่อยู่ในใต้หล้าแห่งอื่นล้วนเป็ นนักรบพลีชีพ”
อาจารย์เจิงหันหน้าไปมองหิมะใหญ่ที่ปลิวว่อนอยู่นอกห้อง พูด กลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “การถูกใส่ร ้ายต้องได้รับการช าระล้าง” (ภาษาจีนคือ 沉冤得雪 มีคาว่าเซวี่ยที่แปลว่าหิมะ)
ชุยตงซานอดกลั้นอยู่นาน รอกระทั่งคนเชื่อดาบผู้นี้เอ่ยขึ้นมา ใน ที่สุดเขาก็มีโอกาสได้เปิ ดปาก “เข้ากับสถานการณ์ เข้ากับ สถานการณ์”
เฉินผิงอันถาม “ผู้อาวุโสรู้หรือไม่ว่าศีรษะของอดีตฮ่องเต้ ราชวงศ์สกุลอวี๋ ใครเป็ นคนตัดเอาไป?”
ฉินปู้ อี๋ตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย “เป็ นฝีมือศิษย์น้องหญิงของข้า เอง”
ชุยตงซานชูแขนขึ้นสูงหมายจะตบลงบนโต๊ะแรงๆ พวกเจ้าไม่จบ ไม่สิ้นกันสักทีหรือ หันว่านจ่านมาขุดมุมกาแพงหมายดึงตัวศิษย์พี่ หญิงใหญ่ของข้าไป แม่นางฉินเจ้ากลับดีนัก ถึงกับจะขุดเอาอาจารย์ ของข้าไปโดยตรงเลยหรือ?! เพียงแต่ว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของ อาจารย์ ชุยตงซานที่ตั้งท่าเต็มที่กลับทาเพียงแค่ลูบโต๊ะเบาๆ เอ่ยว่า “ฉินเซียนซือ เลิกโน้มน้าวได้แล้ว อาจารย์ของข้าไม่มีทางตอบตกลง
หรอก เรื่องราวมีมากมาย ชื่อเสียงจอมปลอม ที่ถือเป็ นของนอกกาย พวกนี้ไม่ต้องการก็ไม่เห็นเป็ นไร”
ฉินปู้ อี๋ยิ้มกล่าว “อาจารย์เฉินค่อยๆ พิจารณาดูได้ ไม่ต้องรีบ ร ้อน ข้ากับศิษย์พี่จางก็จะค่อยๆ รอฟังข่าวไปแล้วกัน”
ชุยตงซานพูดขัดขึ้นมาอีก เขาหันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ที่เงียบ เป็ นน้าเต้าตัน “สหายซงจือ เจ้าสนิทกับเจ้าคนที่ชื่อจริงคือจางจื๋อผู้ นั้นหรือไม่?”
ซงจือส่ายหน้า “ไม่สนิท จางจื๋อลงจากภูเขาไปเร็ว ในอดีตตอน อยู่ในภูเขาก็แค่เคยเจอหน้ากัน จ าได้ไม่แจ่มชัดนัก”
“ล าดับอาวุโสในศาลบรรพชนนับกันอย่างไร?”
“เขาเรียกข้าว่าอาจารย์ลุง”
ซุยตงชานพยักหน้ารับ เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “หมู่บ้านแห่งหนึ่ง อาศัยความสัมพันธ์ทางญาติพี่น้อง คนจนมีลาดับอาวุโสสูง”
ซงจือพยักหน้า “หลักการทานองนี้แหละ”
“สหายซงจือ พวกเจ้าคิดจะออกจากภูเขาแล้วหรือ?”
ซงจือเองก็เป็ นคนตรงไปตรงมา อืมรับหนึ่งที ถึงกับบอกเรื่องของ สายลั่วหยางมู่เค่ออย่างหมดเปลือก “ก่อนที่บรรพจารย์จะปิดด่านได้ เปลี่ยนใจ ทิ้งคาพูดประโยคหนึ่งเอาไว้ บอกว่าเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ ในภูเขาก็ไม่เข้าท่าเลย ให้พวกเราสามคนลงจากภูเขาไปหาที่ตั้ง
รกราก นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เลือกที่ตั้งได้แน่นอน แล้ว อีกสองทวีปที่เหลือยังเว้นว่างไว้ก่อน จ าเป็ นต้องพิจารณากัน อย่างรอบคอบ ข้ารับผิดชอบในการหาพื้นที่เหมาะๆ ในสองทวีปอย่าง แจกันสมบัติและใบถง บริเวณใกล้เคียงกับลาน้าใหญ่ภาคกลางของ แจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า นครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุด ต่างก็เป็ น ตัวเลือกที่ไม่เลว ทางฝั่งของใบถงทวีปนี้ ท่าเรือใบท้อนอกนครเซิ่นจิ่ง ของต้าเฉวียน ท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางทิศใต้สุด ภูเขาชิงจิ้งทางทิศ เหนือ ล้วนเป็ นตัวเลือกสารองในใจของข้า อีกหกทวีปที่เหลือของ ไพศาลก็มีลั่วหยางมู่เค่ออีกหกกลุ่มที่กาลังออกเดินทาง และนี่ก็คือ การแข่งขันกันเองภายในของพวกเรา ใครที่ชนะก็เท่ากับว่าสามารถ เปิดภูเขาตั้งพรรคได้แล้ว”
ชุยตงซานยิ้มถาม “ใครเป็ นคนพูดโน้มน้าวบรรพจารย์ท่านนั้น ของพวกเจ้า คนทรยศอย่างจางจื๋อ เขาใจกล้าขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่าเป็ นเพราะทุกวันนี้ร่ารวยมีเงินหมื่นกว้านร ้อยเอวแล้ว?”
ซงจือส่ายหน้า “จางจื๋อไม่กล้ากลับภูเขาเป็ นเพราะค าแนะน าของ อาจารย์ฟาน”
ชุยตงซานไม่รู ้สึกประหลาดใจ
บรรพจารย์สานักการค้าท่านนี้มีอนาคตยาวไกลเสียจริง
ผู้ฝึ กตนในใต้หล้าในปัจจุบันนี้ยังตระหนักไม่ได้ถึงข้อนี้ การ ประชุมในศาลบุ๋นก่อนหน้านั้น จากคาสั่งของหลี่เซิ่ง เมื่อตราผนึกถูก
คลายออก เหล่าบรรพจารย์ของเมธีร ้อยส านักต่างก็จะเดินขึ้นสู่ที่สูง บนมหามรรคาของตัวเอง แต่กลับไม่มีความกังวลและข้อต้องห้าม อะไรอีกแล้ว
ชุยตงซานถาม “พี่ซงจือ เจ้ารู ้สึกว่าท่าเรือชิงซานของพวกเรา เป็ นอย่างไร?”
ซงจือยังคงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ไม่อย่างไร”
ก่อนหน้านี้มองไปที่ภูเขาเซียนตูไกลๆ ไม่กี่ที อาณาเขตเล็ก เกินไป รากฐานตื้นเขินเกินไป หลักๆ แล้วเป็ นเพราะแค่มองก็รู้แล้วว่า สานักกระบี่ชิงผิงไม่เหมือนสานักที่ยินดีจะทาให้ภายในส านักเกิด ความวุ่นวายอีกทึก สานักวิถีกระบี่ในใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็ น เช่นนี้นอกจากนี้ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็ นผู้นาของสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา ใครเล่าจะยินดีอยู่ใกล้? ขอแค่มีข้อพิพาทกันขึ้นมาก็ต้องเสียเปรียบ อย่างแน่ นอน การไปมาหาสู่กันระหว่างเงินทอง ควร มีความ ตรงไปตรงมาและชัดเจนเป็ นหลัก ท าการค้ากลัวก็แต่ว่าจะเจอกับ พวกไร ้เหตุผล
ชุยตงซานรีบยกฝ่ ามือสองข้างขึ้นโบก “พี่ซงจือ สายตาควรมอง ให้ยาวไกลหน่อย เปิด ใจให้กว้างสักหน่อย นี่ต่างหากจึงจะเป็ นจิตใจ ที่ควรมีสาหรับการเปิดประตูต้อนรับแขก ทาการค้า”
ซงจือกล่าวอย่างตรงประเด็น “ต่อให้เจ้าพูดจนฟ้ าทะลุเป็ นรู ข้าก็ ไม่มีทางเลือกท่าเรือชิงซาน ภูเขาของพวกเรามีกฎ ที่ตั้งอีกสองแห่ง
ไม่ว่าจะอยู่ในทวีปแห่งใดก็ห้ามอยู่ใกล้กับจวนเซียนชั้นสูง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสานักวิถีกระบี่”
ชุยตงซานถามหยั่งเชิง “จวนเซียนบนภูเขาที่มีประวัติศาสตร ์ ยาวนาน มีคนมากความสามารถหลากหลาย ขนบธรรมเนียมเรียบ ง่ายบริสุทธิ์ในใบถงทวีปแห่งนี้ มีชื่อว่าภูเขาหลิงปี้ถือว่าเป็ นส านัก ชั้นสูงด้วยหรือไม่? ใกล้กับหน้าประตูภูเขาของพวกเขามีท่าเรือ ตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าท่าเรือเหย่อวิ๋น (ก้อนเมฆธรรมชาติ นอกเมือง) เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่ ถือว่ามีวาสนาต่อกันหรือไม่? มีทั้ง ภูเขา ทั้งยังอยู่ในป่ า คนที่ปลีกตัวสันโดษอยู่ในป่ าเขากับพวกเจ้าก็ ไม่ใช่ตะพาบจ้องมองถั่วเขียว (เปรียบเปรยว่าคนสองคนต่างก็ถูกใจ กันและกัน) ที่ต่างก็ถูกใจกันและกันหรอกหรือ?”
ซงจือขมวดคิ้ว “ท่าเรือเหย่อวิ๋นของภูเขาหลิงปี้? สถานที่ที่แน่ชัด อยู่ตรงไหน?”
ไม่รอให้ชุยตงซานขุดหลุมหลอกคนอื่นอีกต่อไป เฉินผิงอันก็ เปิดปากพูดแล้วว่า “สหายซงจืออย่าได้เลือกสถานที่แห่งนี้ ขีดจากัด มีมากเกินไป ต่อให้ยินดีทุ่มเงินขยับขยายท่าเรือ เรือข้ามทวีปหนึ่งลา มาจอดก็เปลืองแรงมากแล้ว”
ซงจือพยักหน้า ยกชามเหล้าขึ้นดื่มหมดรวดเดียว สถานที่ที่ เลือกอย่างน้อยที่สุดจ าเป็ นต้องสามารถจอดเรือข้ามทวีปพร้อมกันได้ สามล า
ชุยตงซานเอ่ย “แล้วริมฝั่งลาคลองหลินเหอล่ะ?”
ซงจือครุ่นคิด “ทางฝั่งของลาคลองหลินเหอพอจะใช ้ได้ อาณา เขตของสองฝากฝั่งกว้างขวาง แต่ก็ยังสู้ท่าเรือใบท้อของราชวงศ์ต้า เฉวียนและท่าเรือชวีซานทางทิศใต้ไม่ได้”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องรีบร ้อน แค่รอคอย ดูไปก็พอ”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้นแกว่งเบาๆ เขาพลันอึ้งค้าง ใช ้เสียงใน ใจเอ่ยว่า “ว่าแล้วเขียว”
นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็มานั่งอยู่บนราวรั้วบนสะพานยาวสีทอง แห่งหนึ่ง ในมือยังคงถือเหล้าชามนั้น
สตรีชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็เบื่อนี่นา”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “ไม่ใช่ของจริงกระมัง?”
นางส่ายหน้า “ทัศนียภาพของเมื่อหมื่นปี ก่อน เป็ นแค่ภาพ จินตนาการในใจของข้าเท่านั้น คงเหมือนอย่างที่ในตาราของโลก มนุษย์ยุคหลังกล่าวไว้ว่า ลมหิมะที่คุ้นเคย แวะมาเยือนทั้งยังเปิดตารา ดวงจันทร์กลมกระจ่าง คนรู้จักเก่ายากจะพานพบ ใช่แล้ว อยากเห็น ชาติก่อนของพวกเจิ้งต้าเฟิง ฟ่ านจวิ้นเม่าหรือไม่? พูดคุยกับพวก เขาสองสามประโยคยังพอท าได้ แต่จะจริงหรือเท็จ กลับบอกได้ยาก”
เฉินผิงอันส่ายหน้า คิดแล้วก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “หอบิน ทะยานสองแห่งห่างจากที่แห่งนี้ไปไกลหรือไม่?”
นางยิ้มกล่าว “ระยะห่างของเส้นทางเป็ นคากล่าวที่โลกยุคหลัง นิยามกัน เมื่อใจไปถึงแลงกระบี่ก็พุ่งตาม”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าเสร็จแล้วก็ยกชามเหล้าในมือขึ้น โน้มกายไป ข้างหน้า ถามว่า “หากว่าข้าโยนชามเหล้าออกไป ระหว่างทางไม่มี อุปสรรคใดๆ ขัดขวาง ตอนที่ชามขาวกระทบพื้น จะเป็ นเรื่องที่เกิดใน อีกกี่ปีให้หลัง?”
นางยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู?”
เฉินผิงอันจึงโยนชามเหล้าในมือออกไปนอกสะพานเบาๆ ยิ้ม บางๆ เอ่ยว่า “แตกเพื่อความสงบหนึ่งหมื่นปี หนึ่งหมื่นปี สงบสุข ปลอดภัย”
นางยื่นมือมาลูบศีรษะของเฉินผิงอัน “หวังว่านายท่านจะอ่อน เยาว์ไปตลอดกาล”
ดึงมือกลับมา นางยันมือสองข้างไว้บนราวรั้ว “ถึงอย่างไรก็ไม่ เหมือนเดิมแล้ว”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย แกว่งสองขาที่อยู่นอก ราวรั้วเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะ “นี่ไม่ง่ายเลยนะ”
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็ถามคาถามที่สงสัยมากที่สุดในใจ “ตอนนั้นทาไมคาถาอาคมถึงตกลงไปจากฟ้ าเหมือนเม็ดฝน?”
หากไม่มีฝนเวทกระบี่และวิชาอภินิหารที่เทกระหน่าครั้งนี้ตกลง มาบนพื้นดินในโลกมนุษย์ บางทีก็คงไม่มีการลุกผงาดของเผ่ามนุษย์
นางทอดสายตามองไปยังทิศไกล เคยมีคนคนหนึ่งมองดวงดาว หมื่นปีอยู่เพียงลาพังปีแล้วปีเล่า นางหันไปขยิบตาให้กับเฉินผิงอันที่ อยู่ข้างกาย “ถามเองตอบเอง”