กระบี่จงมา - บทที่ 970.2 ลมหิมะที่คุ้นเคย
อาจารย์เจิงเอ่ยว่า “ผู้ฝึ กยุทธล่างภูเขาไม่ใช่ผู้ฝึ กตนบนภูเขา อายุขัยมีจ ากัด เส้นทางหัวขาดเดิมทีก็เป็ นคากล่าวที่ผู้ฝึกตนจงใจ น ามาใช ้กดข่มผู้ฝึกยุทธอยู่แล้ว เป็ นเหตุให้เมื่อเวลาร ้อยปีผ่านพ้นไป คนและเรื่องราวจึงสามารถเรียกขานว่าปฏิทินเหลืองที่กลายเป็ นเกล็ด ประวัติไปแล้วได้ นอกจากนี้คนผู้นี้ก็เรียกตัวเองเป็ นบัณฑิตด้วย ความภาคภูมิใจมาโดยตลอด ภายหลังยังมีเหตุเปลี่ยนแปลงทาง ตระกูลเกิดขึ้น จึงถูกตัดชื่อออกจากผังวงศ์สกุลของศาลบรรพชน ทุกวันนี้พวกคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อ นี้มาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ฉินปู้ อี๋นึกขึ้นได้จึงกล่าวว่า “ปี นั้นศิษย์พี่จางเคยเจอกับ ปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อต่างถิ่นคนหนึ่งที่เดินทางมาเที่ยวเยือน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางโดยบังเอิญ เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าในเวลานั้น ท่าทางอกสั่นขวัญหาย เพียงแค่บอกว่าตัวเองแช่ชุย ไม่ยอมบอกชื่อ จริง อีกทั้งบางครั้งก็มีสติ บางครั้งก็เสียสติ มีเค้าลางว่าจะถูกธาตุไฟ เข้าแทรก การพบเจอกันโดยบังเอิญครั้งนั้น เนื่องจากถูกชะตากัน ศิษย์พี่จึงไม่อยากจะสืบเสาะสถานะของอีกฝ่ าย เพียงแค่ตั้งใจช่วย ปกป้ องคนผู้นี้ช่วงระยะทางหนึ่ง ทุกครั้งที่คนผู้นี้คืนสติ คาพูดคาจา ของเขาล้วนไม่ธรรมดา มีความรู ้ลึกล้า เคยมีคาพูดประโยคหนึ่งที่ทา ให้ศิษย์พี่จางจดจาได้อย่างแม่นยามาจนถึงทุกวันนี้ คนผู้นี้เคยบอก
ว่าลูกผู้ชายยามอยู่ร่วมกับผู้อื่น คาพูดต้องจริงปฏิบัติต่อคนอื่นต้อง จริงใจ หยัดยืนอย่างเที่ยงตรง ศึกษาหาความรู ้ต้องระมัดระวังจริงจัง ออกหมัดต้องมีเหตุผล”
อาจารย์เจิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ “สิ่งที่ชุยเฉิงต้องการในชีวิตนี้ อันที่จริงก็เรียบง่ายมาก ก็แค่ว่าต้องอยู่ในกฎเกณฑ์เท่านั้น”
ฉินปู้ อี๋มองบุรุษที่สวมชุดผ้าฝ้ ายสีเขียวแวบหนึ่ง หรือว่าคนผู้นี้ เจอกับอุปสรรคมากมายขนาดนี้ก็เป็ นเพราะฝี มือของคนเชื่อดาบ อย่างพวกเจ้าด้วย?
สามสายของผู้ล้างมลทิน มีการวางแผนในระดับที่ไม่เท่าเทียม กันกระจายไปในแปดทวีปของไพศาล มีเพียงแจกันสมบัติทวีปเท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าเนื่องจากสายของเซียนกระบี่ซีซานไปชนตอเข้า เคย เจอกับความยากล าบากอย่างใหญ่หลวงมาก่อน เพียงไม่นานก็พา กันถอยออกไปทั้งหมด ศิษย์พี่คนนั้นของฉินปู้ อี๋ ว่ากันว่าการที่ สามารถพาลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนออกมาจากแจกันสมบัติทวีป โดยที่ยังมีชีวิตรอดได้ ยังเป็ นเพราะคนบางคนเห็นแก่ความสัมพันธ ์ ในอดีต ยอมทาลายกฎปล่อยพวกเขาไปครั้งหนึ่ง
อาจารย์เจิงใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “ต่อให้ข้าจะใจกล้า แค่ไหนก็ไม่กล้าท าการค้าด้วยการเชื่อดาบกับชุยเฉิง หาไม่แล้วคง เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่มากเกินไป ถูกกาหนดมาแล้วว่ามิอาจเดินออกไป จากแจกันสมบัติทวีปได้”
ผู้ชมสองกลุ่ม ทางฝั่งของพวกฉินปู้ อี๋อยู่ตรงหัวกาแพงเมือง ทาง ฝั่งของชุยตงซานกลับเลือกหลังคาของหอเรือนสูงที่การมองเห็น ค่อนข้างเปิดกว้างหลังหนึ่ง
ขณะที่สองคนที่อยู่บนถนนกาลังจะออกหมัด เฉินผิงอันพลันเงย หน้าขึ้นมองไปทางหัวก าแพงเมือง โบกมือทักทาย
หันกวงหู่ไม่เข้าใจ จะออกหมัดก็ไม่ใช่ จะเก็บหมัดมาก็ไม่ถูกต้อง แล้วก็ไม่อาจหันไปมองตามอย่างโง่งมได้ หากว่าเฉินผิงอันอาศัย โอกาสนี้ลงมือกะทันหัน จะไม่ต้องมีจุดจบที่ถูกต่อยแค่ไม่กี่หมัดก็ล้ม คว่าหรอกหรือ?
ชื่อเสียงในการถามหมัดของเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ ทุกวันนี้ค่อนข้าง แพร่หลายในบรรดาผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางกลุ่มน้อยที่อยู่บน ยอดเขาของไพศาล แต่ไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก
ชุยตงซานถอนหายใจเบาๆ รีบไล่มองตามสายตาของอาจารย์ไป ทันที ก็เห็นสตรีร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่บนหัวกาแพงเมือง นาง ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ ยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางลมหิมะ กาลังยิ้ม ตาหยี
ขอแค่นางไม่ยินดีให้คนอื่นได้รับรู ้ ต่อให้เป็ นเซียนเหรินอย่างชุย ตงซานที่คิดว่ามือเดียวของตัวเองสามารถชัดเซียนเหรินได้สองคนก็ ยังมิอาจสัมผัสได้แม้แต่น้อย
นางยังคงดีต่ออาจารย์ของตนเหมือนในอดีตเลย
เพียงแต่นางกลับจากนอกฟ้ ามายังโลกมนุษย์ได้อย่างไร?
ซ่งอวี่เซาเองก็มองเห็นเงาร่างของสตรีผู้นั้นเหมือนกัน จึงถาม อย่างสงสัยว่า “คนผู้นี้คือ?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ถือว่าเป็ นผู้ถือกระบี่ของ อาจารย์?”
ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ใช่ความสัมพันธ ์ทานองนั้นก็ พอแล้ว”
ชุยดงซานเหมือนนกกระทาถูกแช่แข็ง ไม่กล้าต่อค าเด็ดขาด
ฉินปู้ อี๋กดด้ามดาบตามจิตใต้ส านึก เหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ หันหน้าไปมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ได้เผยตัวอย่างเซียนกระบี่หมี่ เช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับทาให้ฉินปู้ อี๋รู ้สึกว่าผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็คือ…. ตัวของฟ้ าดินเอง
ซงจือหันหลังกลับ คิดจะขยับเท้าเดินไปข้างหน้า พยายาม ปกป้ องทุกคนเอาไว้ แต่กลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตัวเอง เหมือนจมอยู่ในปลักโคลนลึก แค่จะยกเท้าขึ้นก็ยังยากล าบาก
พริบตานั้นลั่วหยางมู่เค่อผู้นี้ก็ค้นพบว่าจิตแห่งมรรคาของตน ขมวดเป็ นปม ปราณวิญญาณเกาะตัวเป็ นน้าแข็ง วิชาอภินิหารที่ เรียนรู้มาอย่างหลากหลายของขงจือเหมือนกับว่าได้มอบกลับคืนไป ให้เทพเทวดาที่มาทวงหนี้ไปหมดแล้ว?
อาจารย์เจิงยังคงค้างอยู่ในท่ามองไปยังถนนใหญ่ ยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่หมุนตัวกลับไม่ขยับเท้า ถึงขั้นที่ว่ายังฝื นบังคับตัวเองไม่ให้เกิด ความคิดใดๆ ขึ้นมา
สตรีชุดขาวผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจพวกฉินปู้ อี๋ เพียงแค่พลิ้วกายจาก หัวก าแพงเมืองมาบนถนน จากนั้นเดินสวนไหล่ไปกับหันกวงหู่ ฝ่ าย หลังก าลังจะออกหมัด
ไม่ใช่ว่าต้องหยั่งเชิงความตื้นลึกของอีกฝ่ าย แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่รู ้ หนักเบา อยู่ดีไม่ว่าดีก็จะออกหมัดใส่ผู้ฝึกตนหญิงที่ปรากฏตัวอย่าง ลึกลับ ทว่าความรู ้สึกลวงตาไร ้เหตุผลให้อธิบายที่ผุดขึ้นมาในใจของ ผู้เฒ่าท าให้เขารู ้สึกว่าหากไม่ออกหมัดนี้จะต้องเสียดายไปชั่วชีวิต หากวันหน้าคิดอยากจะหวนกลับคืนสู่ชั้นคืนความจริงอีกครั้งก็คือ ความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อน นอกจากนี้แล้วท่ามกลางความมืด มิดที่มองไม่เห็น ผู้ฝึกยุทธชรายังมีความรู ้สึกที่เหมือนถูกสยบการาบ บนมหามรรคาที่น่าประหลาดอย่างหนึ่ง บอกกับเขาว่าศัตรูแห่งชะตา ชีวิต ศัตรูคู่อาฆาตแต่กาเนิดนั้นอยู่ที่นี่แล้ว จะต้องปล่อยหมัดนี้ ออกไปเพื่อผู้ฝึกยุทธ ในใต้หล้า!
เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็ นนัยอย่างที่แทบจะสังเกตไม่เห็น จากนั้นยิ้มถามว่า “มาได้อย่างไร?”
นางยิ้มกล่าว “รอจนเริ่มรู ้สึกเบื่อแล้วนี่นา”
ดูเหมือนว่ารอกระทั่งทั้งสองฝ่ ายเปิดปากร าลึกความหลังกัน ฟ้ า ดินที่เต็มไปด้วยลมหิมะก็กลับคืนมาโคจรตามปกติอีกครั้ง
ตอนที่นางเดินผ่านข้างกายของหันกวงหู่ได้จงใจชะลอฝีเท้า หัน หน้าไปมองผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่อยากจะออกหมัด
นางไม่ได้เปิดปากพูด แต่ในทะเลสาบหัวใจของหันกวงกู่กลับมี คลื่นยักษ์ถาโถม ผู้เฒ่า ได้ยินเสียงใสกระจ่างที่แฝงไว้ด้วยนัยแห่ง การเย้ยหยันอย่างชัดเจน
“พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง อายุน้อยๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึง คาสั่งที่ปริแตกที่อยู่ยอดบนของวิถีวรยุทธได้ น่าเสียดายที่มีขีดจากัด อยู่ที่คุณสมบัติที่ธรรมดาและอายุชัย ถูกกาหนดมาว่ามิอาจเดินขึ้นสู่ บนยอดสูงสุดได้แล้ว มนุษย์ธรรมดาบนพื้นดินมิอาจพบเจอเทพ ที่ แท้จริง…”
“เจ้า คือ…”
“หากพูดได้ครบประโยค ข้าก็จะบอกค าตอบแก่เจ้า”
หันกวงหู่ถึงขั้นมิอาจพูดได้มากกว่านั้นอีกแม้แต่คาเดียว
เฉินผิงอันยิ้มพลางแนะนาให้หันกวงหู่รู้จัก “ปรมาจารย์หัน นาง คือผู้อาวุโสในตระกูลของข้า”
นางหันตัวกลับมา ก้าวเดินถอยหลัง มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉิน ผิงอัน จ้องผู้ฝึกยุทธเฒ่า รอยยิ้มของนางอ่อนโยน เอ่ยแก้ไขว่า “ผิด แล้วๆ คนข้างกายผู้นี้คือเจ้านายของข้า”
นางยิ้มกล่าว “ลู่เฉินผู้นั้น อาจจะฆ่ายากไปสักหน่อย แต่ขอแค่ ตัดสินใจได้อ ามหิตมากพอก็ใช่ว่าจะฆ่าไม่ได้”
หมื่นปีที่ผ่านมา ท่ามกลางแม่น้าแห่งกาลเวลาที่ยิ่งใหญ่ไพศาล อันที่จริงมี “เส้นแบ่งเขต” ที่คนไม่รู ้อยู่หลายเส้น สาหรับนางแล้วก็คือ ท่าเรืออย่างหนึ่ง
“นักพรต” ที่มีศักยภาพพอที่จะมาปรากฏตัวในท่าเรือเก่าแก่ เหล่านี้ ทุกวันนี้ในหลายๆใต้หล้าก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ นั่นยังพูดถึงแค่ ผู้ฝึกตนที่สามารถเผยกายที่ท่าเรือเท่านั้น ซึ่งมีไม่ถึงสองมือนับ ถ้า อย่างนั้นคนที่สามารถขัดขวางแสงกระบี่ไว้ได้ก็ย่อมมีน้อยยิ่งกว่า
แน่นอนว่านางเองก็ไม่ยินดีจะยึดครองความได้เปรียบแต่กาเนิดนี้ รังแกลู่เฉินหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์อย่างพวกอวี๋โต้ว นอกจากนี้หาก นางทาเรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปเป็ นวงกว้างง่ายมากที่จะทาให้แม่น้าแห่ง กาลเวลามีกระแสรองเพิ่มขึ้นมา เมื่อมีทางแยกปรากฏขึ้น เส้นทาง เบื้องหน้าก็ยากจะคาดเดา นี่ไม่มีความจาเป็ นเลยจริงๆ ปีนั้นตอนที่ ฉีจิ้งฉุนยังมีชีวิตอยู่ก็เคยย้อนทวนกระแสน้าขึ้นไปสองครั้ง อาศัย ท่าเรือแห่งกาลเวลาสองแห่ง ครั้งหนึ่งเป็ นผู้ชมได้เห็นศึกที่ “เต้ากวาน ในใต้หล้าจับกลุ่มกันดุจนกกระสาเขียว ร่วมมือกันพิฆาตเทวบุตรมาร นอกโลก” จน “แผ่นดินจมดิ่ง” กับตาตัวเอง อีกครั้งหนึ่งคืออยู่ในยุค
ปัจจุบันของคนบนโลกทุกคน เพียงแต่ว่าเขากับมรรคจารย์เต๋าเคยมี การถามมรรคาที่เป็ นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ในลานประกอบ พิธีกรรมถ้าสวรรค์เล็กเหลียนฮวาเมื่อสองร ้อยปีก่อน
เฉินผิงอันส่ายหน้า
นางจึงพยักหน้า
ก็จริง เวลาหกสิบปี หรือแม้กระทั่งสามร ้อยห้าร ้อยปี สาหรับนาง แล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้สามารถมองข้ามไม่ต้องพูดถึงได้เลย
อยู่นอกฟ้ าต่อให้จะน่าเบื่อแค่ไหน แค่อดทนรอคอยไปก็พอ
ในฐานะผู้ถือกระบี่ ในอดีตช่วงของจุดสูงสุดที่วิถีแห่งสวรรค์ยังคง อยู่ เคยใช ้หนึ่งกระบี่ฟันเวลาสามร ้อยปี ชักนาให้แม่น้าแห่งกาลเวลา ถูกตัดออกไปช่วงเวลาหนึ่งซึ่งสุดท้ายล้วนกลายมาเป็ นความว่าง เปล่า
เมื่อหมื่นปี ก่อน ห้าเทพสูงสุดของสรวงสวรรค์บรรพกาล นอกจากท่านผู้นั้นแล้ว เทพอีกสี่องค์ต่างก็เดินไปบนเส้นทางของ ตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเกิดศึกการช่วงชิงระหว่างน้าและไฟที่ฟ้ า ถล่มแผ่นดินทลายครั้งนั้นแล้ว
นางยิ้มตาหยีเอ่ย “เจ้าหนุ่ม วันหน้าพูดคุยกับนายท่านของข้า หัดเกรงใจกันหน่อย”
หันกวงกู่พิพักพิพ่วนสุดขีด ทั้งไม่พูดจา แล้วก็ไม่พยักหน้า
สู้ไม่ได้ ศักดิ์ศรีก็ยังต้องมีอยู่
นางยืดแขนบิดขี้เกียจ “กลับแล้วๆ นายท่านจ าไว้ว่าไปนอกฟ้ า ให้เร็วหน่อย เรื่องของการหลอมกระบี่ ควรทาแต่เนิ่นๆ อย่าให้ล่าช ้า จะถ่วงรั้งเวลาไว้นานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร นาทีถัดมาแม่น้าแห่งกาลเวลาก็เกิด ลางว่าจะไหลย้อนกลับ คนสองคนที่อยู่บนถนนเหมือนเสาคานกลาง กระแสน้าที่ไม่ถูกน้าไหลรุกราน มีเพียงชุยตงซานบนหลังคาและ อาจารย์เจิงบนหัวกาแพงเมืองเท่านั้นที่เป็ นข้อยกเว้น คนอื่นๆ ที่เหลือ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เห็นสตรีชุดขาวผู้นั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว
นางหวนกลับไปยังนอกฟ้ าอีกครั้งแล้ว มาและไปอย่างรีบร ้อน ไม่ มีร่องรอยให้ตามหา
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ปรมาจารย์หัน พวกเรา มาต่อกันดีไหม?”
หันกวงหู่สะบัดชายแขนเสื้อ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยังจะ ต่อสู้กะผีอะไรล่ะ”
ผู้เฒ่าถูกสตรีคนหนึ่งเรียกคาแล้วคาเล่าว่าเจ้าหนุ่ม ประเด็น ส าคัญคือยังไม่กล้าตอบโต้อีกด้วย กับเจ้าที่เป็ นเจ้านายของนางยังจะ ต่อสู้อะไรกันได้อีก มารดามันเถอะ ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยอัดอั้นขนาดนี้ มาก่อนเลย
แค่เหม่อลอยไปชั่วขณะ เฉินผิงอันก็เห็นว่าหันกวงหู่มีสีหน้าอึ้ง ค้าง ต่อจากนั้นก็ยกนิ้วโป้ งให้ตน เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทาให้เฉินผิงอัน มึนงง “ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป รอให้พวกเราต่างก็กลับคืนสู่ชั้นคืนความ จริงค่อยถามหมัดกันดีๆ สักครั้ง วันนี้ดื่มเหล้ากันก่อน เจ้าขุนเขาเฉิน เป็ นคนเลี้ยง!”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน น่าเสียดายที่ถ้อยคาล้าค่าบางประโยคที่ตน เตรียมไว้ให้หันว่านจ่าน อย่างเช่นว่าช่างใช ้ใบหน้ารับหมัดได้ดีจริงๆ หากยังไม่ออกหมัดอีกต้องแพ้แน่…..ล้วนไม่ได้เอาออกมาใช ้
ซ่งอวี่เซาขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ชุยตงซานยกข้ออ้างไม่ได้เรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เชื่อเอามา พูดตอบ “หันว่านจ่านกับอาจารย์ของข้ามองดูเหมือนยืนนิ่งไม่ขยับ แต่อันที่จริงได้ประลองขุ่นกันไปครั้งหนึ่ง ตาเฒ่าหันต้องยอมซูฮกให้”
ซ่งอวี่เซาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว เพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ไม่ได้ชักไช ้ อย่างถึงที่สุด
ชุยตงซานนาทางพาทุกคนมาที่เรือนพักของวังม่านเมิ่ง จากนั้น ใช้ให้พวกเฉียนโหวเอ๋อร์ไปยกโต๊ะมาสองตัว เตรียมสุรามาให้พร้อม ไม่ลืมบอกให้เฉียนโหวเอ๋อร์แสดงฝี มือให้ดีให้เขาไปทาอาหารที่ ตัวเองถนัดมาสักสองสามอย่าง
ระหว่างที่เดินกันมา เจี่ยนหมิงใช ้เสียงในใจถามว่า “ตาเฒ่าหัน ท าไมถึงไม่ต่อสู้กันแล้วล่ะ?”
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “ลองพลิกเปิดปฏิทินเหลืองดู วันนี้ไม่ เหมาะให้ถามหมัดเหมาะแค่ดื่มเหล้ากินกับแกล้มเท่านั้น”
เจี่ยนหมิงถาม “พรุ่งนี้ล่ะ?”
ผู้เฒ่าถลึงตาใส่ “ไปเปิดปฏิทินเหลืองเอาเองสิ!”
เจี่ยนหมิงจึงไม่หยอกล้ออีกต่อไป ไม่ต่อสู้กันน่ะดีแล้ว ตาเฒ่าหัน เจ้ากระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยจะดี ยังจะโอ้อวดบารมีต่อสู้อะไรกันอีก คน เก่าแก่ในยุทธภพที่มีอายุอยู่มาปูนนี้ หากพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ด้วย บางทีชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างยากลาบากตลอดทั้งชีวิตอาจต้องเสีย ไป
ฉินปู้ อี๋มีเรื่องในใจ ซงจือก็ยิ่งคิดร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ มีเพียง อาจารย์เจิงที่ยังคลี่ยิ้มได้เป็ นปกติ
ชุยตงซานตบมือยิ้มเอ่ย “นอกห้องคือหิมะกระหน่า ผู้ที่นั่งอยู่ล้วน เป็ นเหล่าผู้กล้า ดีๆๆไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน วันหน้าก็เป็ นสหายกัน แล้ว กินเนื้อชิ้นใหญ่ ดื่มเหล้าชามโต!