กระบี่จงมา - บทที่ 969.2 แย่งลูกศิษย์
หันกวงหู่ยังคงเอาสองมือไพล่หลัง พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ไม่เอาแต่พูดโอภาปราศรัยกันแล้ว ข้าออกเดินทางครั้งนี้ นอกจาก มาดื่มเหล้าราลึกความหลังกับเผยเฉียนแล้วยังอยากถามหมัดกับ อาจารย์ของนาง ขอความรู ้จากปรมาจารย์เฉิน ประลองฝีมือกันสัก เล็กน้อย”
ปีนั้นบนกาแพงของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัวได้แปะใบประกาศ ล่าค่าหัวไว้สารพัดอย่าง หนึ่งในนั้นผู้ที่มอบรางวัลให้คือหันว่านจ่าน จากเกราะทองทวีป ให้เงินรางวัลสูงถึงห้าร ้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช บอกว่าต้องการซื้อการถามหมัดกับเหล่าผู้กล้าจากฝ่ายต่างๆ สักรอบ หนึ่ง ขอแค่เป็ นคนที่เอาชนะซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธจากต้าหลีของแจกัน สมบัติทวีปได้ก็จะได้เงินรางวัลไป อันที่จริงเขากับซ่งจ่างจิ้งไม่ได้มี ความแค้นใดๆ ต่อกัน ไม่แม้แต่จะเคยเจอหน้ากันมาก่อน เพียงแต่ว่า “หันว่านจ่าน” ในเวลานั้นค่อนข้างจะดูแคลนแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองที่เพิ่งจะเลื่อนเป็ นขอบเขตปลายทางก็ยิ่งเหยียด หยาม สถานที่ใหญ่เท่ากันก็คู่ควรจะมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง คนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ด้วยหรือ?
และนี่ก็คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่พรรคชิงจ้วน ผู้เฒ่าได้ บอกว่าตัวเอง “ถูกแจกันสมบัติทวีปตบหน้ามาหลายทีแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนยอดเขาพรรคเล็กแห่งนั้น หันกวงหู่ก็เคย เอ่ยว่าต้องการหาโอกาสมาลองชั่งน้าหมักหมัดเท้าของเฉินผิงอันดู สักหน่อย
ทุกวันนี้ราชวงศ์ใหญ่อันดับหนึ่งของใบถงทวีปคือสกุลเหยาต้า เฉวียน
การเดินทางมาเยือนใบถงทวีปของหันกวงหู่ครั้งนี้ก็เพื่อใช ้หนี้ ช่วยไม่ได้ ขอแค่เกี่ยวข้องกับคนเชื่อดาบก็มักจะหนีเรื่องนี้ไปไม่พ้น
รอให้ฉินปู่อี๋และชายฉกรรจ์ที่มีฉายาว่าซงจือเดินทางมาถึงใบถง ทวีป อาจารย์เจิงที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับก็ไม่เก็บงาอีกต่อไป บอกกับ หันกวงหู่อย่างหมดเปลือกว่าต้องการให้ฝ่ ายหลังไปที่ราชวงศ์ต้า เฉวียน รับหน้าที่เป็ นอัครเสนาบดี ให้ความช่วยเหลือฮ่องเต้หญิง เหยาจิ้นจือ ช่วยเหลือสกุลเหยา สร ้างความมั่นคงให้กับ “กิจการ บ้านเรือน” ก่อสร ้างกิจการใหญ่พันปีที่ชะตาแคว้นสืบทอดยาวนาน อยู่บนอาณาเขตของใบถงทวีป
ทางฝั่งของบ้านเกิดยังมีกิจธุระอีกกองโตรอคอยให้หันกวงหู่ไป จัดการ แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องเป็ นลูกน้องให้กับสตรีผู้หนึ่ง หันกวงหู่ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถปรับตัวได้จริงๆ
ตอนนั้นอาจารย์เจิงเห็นหันกวงหู่มีท่าทางลาบากใจจึงแค่ยิ้มเอ่ย ประโยคเดียวว่า “หนี้ต้องใช ้คืน เป็ นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้ า ดิน หากตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ใช่คืน ก็ไม่เป็ นไร เก็บไว้ใช ้คื
ชาติหน้าก็แล้วกัน หนีไม่พ้นว่าต้องมีดอกเบี้ยเพิ่มเติมมาอีกก้อน หนึ่ง”
ทั้งไม่ใช่คาข่มขู่ แล้วก็ไม่ใช่คาล้อเล่น อาจารย์เจิงท่านนี้แค่ อธิบายความจริงอย่างหนึ่งเท่านั้น
หันกวงหู่พลันรู ้สึกยากจะตัดสินใจ จึงบอกว่าจะไปเยือน ราชวงศ์ต้าเฉวียนรอบหนึ่งก่อน ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงไปเยือนท่าเรือใบ ท้อและนครเซิ่นจิ่งมารอบหนึ่ง ได้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีและ ผู้คนของราชวงศ์ต้าเฉวียนมากับตาตัวเอง
เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ผู้เยาว์มิอาจรับค าเรียก ขานว่าปรมาจารย์ได้ส่วนการถามหมัดนั้นก็ช่างเถิด หากว่าผู้อาวุโส ไม่ถือสา พวกเราสามารถต้มเหล้าท่ามกลางค่าคืนหิมะตกร่วมกันได้”
หันกวงหู่เองก็ไม่คิดจะทาให้คนอื่นต้องลาบากใจ อีกฝ่ ายไม่ยินดี รับหมัด จะให้เขากดหัวอีกฝ่ ายแล้วดึงดันจะให้ต่อสู้กันก็คงไม่ได้ ผู้ ฝึ กยุทธประลองวิชา นับแต่โบราณมาก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผู้เฒ่าจึง เปลี่ยนเรื่องคุยเสียใหม่ เอ่ยว่า “นอกจากข้าจะมาราลึกความหลัง กับเจิ้งเฉียนแล้ว ยังอยากจะให้นางกราบข้าเป็ นอาจารย์เล่าเรียนวิชา หมัดด้วย เพียงแต่ไม่รู ้ว่าปรมาจารย์เฉินจะตัดใจมอบของรักให้ผู้อื่น ยอมตอบตกลงกับเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสพูดล้อเล่นแล้ว”
ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ย “หันกวงหู่ หันว่านจ่าน ผู้อาวุโสหัน ปรมาจารย์หัน! เจ้ารู ้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้ามี ขอบเขตอะไร ปลายทางแล้ว! ในเมื่อเป็ นขอบเขตเดียวกัน ศิษย์พี่ หญิงใหญ่กราบผู้อาวุโสเป็ นอาจารย์ จะเรียนรู ้วิชาหมัดอะไรได้อีก?”
ชุยตงซานหันหน้ามาได้ก็ฟ้ องทันที “อาจารย์! เรื่องนี้ทนไม่ได้ เด็ดขาด ห้ามทนเชียวนะ แย่งลูกศิษย์มาแย่งถึงหน้าบ้านแบบนี้ หาก เป็ นข้าคงต้องค่าก่อนเพื่อแสดงความเคารพแล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ย “หัดเรียนรู ้จากโจวจวิ้นเฉินบ้าง”
ชุยตงซานรีบประกบสองนิ้วปาดลงบนริมฝีปากทันใด เย็บปาก เรียบร ้อยแล้ว!
หันกวงหู่มองเมินค าพูดเหน็บแนมของเด็กหนุ่มชุดขาวไปอย่าง สิ้นเชิง เพียงแค่จ้องมองคนหนุ่มที่ชื่อเสียงโด่งดังคนนั้นเขม็ง เฉาสือ ที่เป็ นคนวัยเดียวกันแน่นอนว่าก็โดดเด่นมากเหมือนกัน เพียงแต่ว่า ถึงอย่างไรอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็ไม่มีชื่อเสียงเท่าเฉินผิงอันที่เป็ นอิ่ นกวาน ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ข้ามีวิชาหมัดที่เป็ นวิชากันกรุอยู่หลายบทที่ ไม่ถือว่าดาษดื่นสามัญ เชื่อว่านาไปสอนใครก็ล้วนไม่เป็ นปัญหา แล้ว นับประสาอะไรกับที่ปีนั้นตอนที่เจิ้งเฉียนอยู่ที่เกราะทองทวีปก็มักจะมา คุยเล่นกับข้าเป็ นประจ า แม่นางน้อยบอกว่าอาจารย์พ่อของนางสอน หมัดให้นางไม่มาก ตอนนั้นข้าได้ยินแล้วก็รู ้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ใต้ หล้านี้ถึงกับมีบุคคลที่ตัดใจทิ้งต้นกล้าที่ดีแบบนี้ได้ลงด้วยหรือ ไม่ ตั้งใจอบรมปลูกฝัง สรุปแล้วสาเหตุเป็ นเพราะวิชาหมัดของตัวเองไม่ดี
พอ ไม่มีหมัดอะไรให้สอนได้นานแล้ว หรือเป็ นเพราะสายตามองสูง เกินไป รู ้สึกว่าลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติอย่างเจิ้งเฉียนไม่คู่ควรให้ต้อง ตั้งใจสั่งสอนวิชาหมัด”
อันที่จริงความหมายของเผยเฉียนในเวลานั้นคืออาจารย์พ่อสอน หมัดนางไม่มาก ดังนั้นขอบเขตของข้าจึงไม่สูง ออกหมัดได้ไม่มี น้าหนักมากพอ หากกลายเป็ นเรื่องตลกขบขันพวกเจ้าก็มาหัวเราะ เยาะข้าแล้วกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอาจารย์พ่อ
เพียงแต่ว่าหันกวงหู่หรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ เพื่อรับเจิ้งเฉียนมา เป็ นลูกศิษย์ปิดส านักใบหน้าแก่ๆ นี้เขาก็ไม่ต้องการแล้ว
ชุยตงซานได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างโง่งม นึกอยากจะรีบควักสมุด บัญชีเล่มหนึ่งออกมาลมและน้าหมุนเวียนผันเปลี่ยน ให้เขากลายเป็ น คนที่ได้จดบัญชีแทนศิษย์พี่หญิงใหญ่บ้าง
เพียงแต่ว่าพอคิดดูอีกทีก็ดูเหมือนว่าการที่ตนจดบัญชีก็เท่ากับ ว่าถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่จดจ าความแค้นด้วยไม่ใช่หรือ? ชุยตงซานลูบ ปลายคาง ทาไมถึงได้รู ้สึกว่าการค้าครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเลยล่ะ
เฉินผิงอันเหลือบตามองชุยตงซาน
บังเอิญยิ่งนัก มีคนที่คิดจะมาขุดมุมกาแพงเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว เจ้ายังมีหน้ามากระพือไฟยุแยงข้าอยู่อีกหรือ?
ชุยตงซานรีบทาเป็ นไม่รู ้ไม่ชี้ตั้งใจเงยหน้าชมหิมะทันที
หันกวงหู่ยกมือขึ้นกาเป็ นหมัดหลวมๆ เอามาป้ องไว้ข้างปาก กระแอมเบาๆ อยู่หลายที
ชุยตงซานถามอย่างใส่ใจ “ผู้อาวุโสหัน ข้ามียาส าหรับรักษา อาการไอ ต้องการหรือไม่?”
หันกวงหู่สะอึกอึ้งไปทันใด เจ้าเด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้ช่างชั่วร ้าย จริงๆ
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู ้จักพูดจาดีๆ บ้างเลย
เหตุใดเฉินผิงอันถึงสั่นสอนลูกศิษย์ที่พึ่งพาไม่ได้แบบนี้ออก มานะ เทียบกับแม่นางน้อยที่รู ้ความ รู ้ระเบียบรู ้มารยาทคนนั้นแล้วก็ ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
หันกวงหู่แสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน ไม่คุยกับเด็กหนุ่มชุดขาว พูด โดยตรงว่า “เรื่องที่จะให้เจิ้งเฉียนกราบข้าเป็ นอาจารย์ ในเมื่อ ปรมาจารย์เฉินไม่เต็มใจ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปคุยกับเจิ้งเฉียนเอง หากข้าโน้มน้าวเจิ้งเฉียนได้สาเร็จ นางยินดีเปลี่ยนใจ ก็หวังว่า ปรมาจารย์เฉินจะไม่ขัดขวางเรื่องนี้”
ชุยตงซานกอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก กระแอมอยู่สองสามที ขยับศีรษะเข้าหาอาจารย์ กดเสียงลงต่าเอ่ยว่า “อาจารย์ อาจารย์ หากศิษย์พี่หญิงใหญ่เปลี่ยนใจเหมือนที่ผู้อาวุโสหันพูดจริงๆ จะท า อย่างไรกันดีล่ะ?”
เฉินผิงอันผลักหัวซุยตงชานออก มองสบตากับหันกวงหู่ ยิ้มเอ่ย ว่า “ก็แค่ประลองฝีมือแบบหยุดเมื่อพอสมควร ไม่เป็ นปัญหา ถือเสีย ว่าเป็ นการเปิดประตูกวาดหิมะก็แล้วกัน”
ไม่ได้เจอกับข้าที่เป็ นอาจารย์ เจ้าไปชนตอกับทางฝั่งของเผย เฉียนอีกครั้งก็ไม่นับเป็ นอะไรได้
แต่ในเมื่อเจอกับข้าเฉินผิงอันแล้ว ยังกล้าขุดมุมกาแพงอย่าง เปิดเผยเช่นนี้อีก นี่ไม่ค่อยมีคุณธรรมในยุทธภพเท่าไรแล้ว
ดวงตาของฉินปู่ อี๋เป็ นประกายวาววับ ในที่สุดอิ่นกวานหนุ่มก็จะ ออกหมัดแล้วหรือ?
ชุยตงซานพยายามตีหน้าเคร่งอย่างยากล าบาก มองดูคล้าย กาลังเช่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกว่าจะท าให้ตัวเองไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมา ได้ก็ล าบากไม่ใช่น้อย
บนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียน หมี่ลี่น้อย เฉินหน่วนซู่ พวกนางสาม คน ต่อให้มอบความกล้าให้ชุยตงซานอีกหลายๆ ส่วนก็ไม่กล้าไปขุด เอาตัวพวกนางมาเด็ดขาด
ตอนอยู่บนหอซ่าวฮวาของยอดเขาเจ๋อเซียน หวงอีอวิ๋นเลื่อนขั้น เป็ นชั้นคืนความจริงของขอบเขตปลายทางได้อย่างไร? ก็เพราะถูก อาจารย์ที่ “รักหยกถนอมบุปผา” ต่อยมาไงล่ะ!
หันกวงหู่บิดหมุนข้อมือเบาๆ กวาดตามองไปรอบด้าน พอถอน สายตากลับมาแล้วก็ถามว่า “เจ้าเป็ นชั้นที่เท่าไรของขอบเขต ปลายทาง? คืนความจริง?”
หากไม่เลื่อนเป็ นคืนความจริงก็ไม่มีทางถามหมัดกับเฉาสือได้
เฉินผิงอันกล่าว “เหมือนกับผู้อาวุโส เคยเลื่อนเป็ นชั้นคืนความ จริงของขอบเขตปลายทาง แต่ก็ขอบเขตถดถอยลงมาเล็กน้อย กลับคืนสู่ปราณโชติช่วง”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ ในเมื่อทั้งสองฝ่ ายต่างก็เป็ นขอบเขต ปลายทางเหมือนกันไม่ว่าใครก็ไม่ถือว่ารังแกใคร
หันกวงหู่ยิ้มเอ่ย “ชั้นคืนความจริงของข้าผู้อาวุโส ปีนั้นคลาไป ถึงธรณีประตูของชั้นเทพมาเยือนแล้ว ทุกวันนี้ต่อให้ขอบเขตถดถอย อันที่จริงรากฐานก็ไม่ตื้นเขิน หากว่าได้ยินเสียงไอแค่ไม่กี่ทีแล้วรู ้สึก ว่าผู้อาวุโสคนคนขี้โรคก็ระวังว่าจะต้องเสียเปรียบ”
เพราะบนรายชื่อฉบับนั้น เห็นได้ชัดว่าตอนที่เฉินผิงอันเฝ้ า กาแพงเมืองปราณกระบี่อยู่เพียงล าพัง เขายังคงเป็ นผู้ฝึ กยุทธ ขอบเขตยอดเขา
นี่ไม่ได้จะบอกว่าหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลแค่ไม่กี่ปี คนหนุ่ม ที่อายุแค่สี่สิบกว่าปีผู้นี้ก็ฝ่าทะลุขอบเขตติดกันอีกสองขั้นหรอกหรือ?
เจ้าตัวดี มิน่าเล่าถึงสามารถผลัดกันรุกผลัดกันรับกับเฉาสือตอน ที่อยู่สวนกงเต๋อของศาลบุ๋นได้
ได้ยินมาว่าใน “ศึกเขียวขาว” ครั้งนั้น ปรมาจารย์ใหญ่อายุน้อย ตรงหน้าผู้นี้ออกหมัดอย่างปลิ้นปล้อน กลโกงก็มีสารพัด เป็ นเหตุให้ ใบหน้าของเฉาสือถูกต่อยจนบวมเป่ง?
ซึ่งอวี่เซาเอ่ยเสียงเบาว่า “จะประมาทไม่ได้ แต่ก็มิอาจมองตัวเอง สูงเกินไปได้”
มองดูคล้ายเป็ นคากล่าวเดียว แต่อันที่จริงกลับมีความหมายสอง ชั้น ขอบเขตเดียวกันถามหมัดกัน มิอาจไม่เห็นเป็ นส าคัญ เคารพ ผู้อื่นก็คือเคารพหมัดของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เป็ นการเตือนเฉินผิง อันว่าอีกเดี๋ยวออกหมัดอย่าเบาเกินไป
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้ารู ้”
ชุยตงซานรู ้สึกอิจฉาเล็กน้อย คนที่สามารถสอนอาจารย์ว่าควร ทาอย่างไร อันที่จริงมีอยู่ไม่มากเลยนะ
ตามหลักแล้วขอบเขตวิถีวรยุทธของผู้อาวุโสซ่งกับอาจารย์ของ ตนห่างชั้นกันค่อนข้างไกลแล้ว แต่ผู้อาวุโสกลับไม่มีความกระอัก กระอ่วนใดๆ อาจารย์เองก็ฟังคาพูดเขาโดยที่ไม่รู ้สึกว่ามีอะไรไม่ เหมาะสม
นี่คงจะเป็ นยุทธภพของอาจารย์แล้ว
กลางหิมะมากไปด้วยเหล่าผู้กล้า เรื่องราวมากน้อยในยุทธภพ นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน คนตีฆ้องบอกเวลาในเมือง เสียงร ้องเพลง ชาวประมงนอกเมือง ร่วมกันขานรับยามสามแห่งราตรี
กู่ชิวพาสาวใช ้เสี่ยวฝ่ างมาปรากฏตัวอยู่ในมุมเลี้ยวของตรอก แห่งหนึ่งเงียบๆ สีหน้าของกู่ชิวเคร่งเครียด มังกรข้ามแม่น้ากลุ่มนี้ขอบเขตสูงยิ่ง ต่อให้เป็ นผู้ฝึกลมปราณที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่มซึ่งเหน็บดาบไว้ ใต้รักแร ้คนนั้นก็ยังเป็ นเทพเซียนโอสถทอง อายุแท้จริงก็แค่สามสิบ กว่าปีเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ อีกสี่คนที่เหลือข้างกายเด็กหนุ่ม เดิมทีกู่ชิวก็มอง ความตื้นลึกของตบะอีกฝ่ายไม่ออก ในเมื่อมองไม่ออกก็ยากที่จะบอก ปัญหาอย่างแน่ชัดแล้ว
สีหน้าของเสี่ยวฝ่ างขีดขาว รีบขยับไปอยู่ข้างหลังกู่ชิว ผู้เฒ่าที่ เรือนกายสูงใหญ่คนนั้นปณิธานหมัดหนาขันปราณหยางบนร่างหนา หนักอย่างมาก เมื่ออยู่ในสายตาของผีอย่างนางก็เหมือนดวงตะวัน แรงจ้าที่ฉีกกระชากม่านราตรีสาดแสงแผดเผาบนพื้นดิน ราวกับว่า นางแค่มองไม่กี่ครั้งก็รู ้สึกนัยน์ตาร ้อนลวกแล้ว
เนื่องจากสถานะของกู่ชิวทาให้เขาไม่กลัวปณิธานหมัดที่เป็ น ปราณหยางอันแข็งแกร่งของผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวสักเท่าไร ดังนั้นรอ กระทั่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเสี่ยวฝ่ าง กู่ชิวก็พอจะมั่นใจได้ คร่าวๆ แล้วว่าผู้เฒ่าคนนั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็ นปรมาจารย์ใหญ่ ขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง
หรือว่าจะเป็ นอู๋ซูที่ถูกใบถงทวีปเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่า อริยะบู๊?
วังม่านเมิ่งชูกาปั้นขึ้นโบกเบาๆ เป็ นการส่งแรงสนับสนุนให้กับ คุณชายเฉินที่มีมาดองอาจสง่างาม
เป็ นเพราะอยู่กับชุยตงซานมานานเกินไปแล้วจริงๆ จึงเริ่มรู ้สึกว่า พี่ชายชุดเขียวผู้หล่อเหลาและอบอุ่นอ่อนโยนคนนั้น ยิ่งนานก็ยิ่ง น่ารักน่าใกล้ชิด
เป็ นทั้งความน่ารักของฤดูหนาว แล้วก็เป็ นดั่งลมวสันต์ที่อาบไล้ ให้อุ่นซ่าน
ชุยตงซานกระทืบเท้า “พวกเจ้านี่อย่างไรกันนะ แต่ละคนล้วนคิด เพ้อเจ้ออยากจะเป็ อาจารย์แม่ของข้า?!”
วังม่านเมิ่งปิดปากหัวเราะคิก
เฉินผิงอันกาลังจะพูดว่าบัญชีนี้จะให้เผยเฉียนจดเอาไว้ เขากลับ พลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล
สีหน้าของฉินปู้ อี๋แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะ สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินอกเมืองได้เร็วกว่าตน
จากนั้นก็มีแสงกระบี่ที่พร่างพราวเส้นหนึ่งแหวกความว่างเปล่า มาถึง เสียงฟ้ าร ้องสะเทือนแก้วหูดังขึ้นเป็ นระลอกท่ามกลางม่านราตรี
เห็นเพียงว่าคนชุดขาวที่เป็ นเซียนกระบี่ผู้นั้นขี่กระบี่หยุดลอยตัว อยู่เหนือหัวก าแพงเมือง รูปโฉมหล่อเหลาละเมียดละไม คิ้วตาเหมือน ภาพวาด ท าให้คนอดสะทกสะท้อนใจไม่ได้ว่าไม่ใช่มีแต่สตรีเท่านั้นที่ จะถูกเรียกขานว่าคนงามได้
อีกฝ่ ายเพียงแค่ขี่กระบี่เร่งเดินทางมาหยุดอยู่ที่นี่ ก็ทาให้จิตแห่ง มรรคาของเจี่ยนหมิงสะท้านสะเทือนได้แล้ว จ าเป็ นต้องรวบรวมสมาธิ กว่าจะกดข่มริ้วกระเพื่อมระลอกแล้วระลอกเล่าในทะเลสาบหัวใจลง ไปได้
ชุยตงซานเต้นผางสบถด่า “หมี่อันดับหนึ่ง เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ไม่กลัวว่าจะกลบความมีหน้ามีตาของอาจารย์ข้าเลยรึ?”
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับรอยยิ้มน้อยๆ
เดี๋ยวกลับไปค่อยจัดการลูกศิษย์ผู้เป็ นความภาคภูมิใจคนนี้
หมี่อวี้รีบพลิ้วกายจากบนหัวกาแพงลงมาบนพื้น ยื่นมือไปรับ กระบี่ยาวที่วาดวงโค้งพุ่งมาหาเขา สอดกลับใส่ในฝักเบาๆ ใช ้ฝ่ ามือ ยันด้ามกระบี่ เหยียบย่าพื้นหิมะก้าวเดินมาเบื้องหน้าอย่างสง่างาม
ชุยตงซานเอ่ยด้วยใบหน้ารังเกียจ “หมี่อันดับหนึ่ง ที่นี่ไม่มีเรื่อง ของเจ้านะ ทางฝั่งของภูเขาเซียนตูต้องมีเซียนกระบี่นั่งบัญชาการณ์ รีบกลับไปเลย กลับไป”
ไม่ใช่ประโยคล้อเล่นจริงๆ ทุกวันนี้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่สานัก กระบี่ชิงผิง สหายฉางมิ่งมีแต่ขอบเขตเสียเปล่า ความสามารถในการ ต่อสู้ไม่ได้เรื่อง จะต้องมีคนที่สู้เก่งคอยข่มขวัญพวกคนถ่อยอยู่ที่นั่น
หมื่อวี้พยักหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตกลง”
ดีดปลายเท้าหนึ่งที เรือนกายของหมี่อวี้พุ่งไปที่ประตูเมือง กระบี่ ยาวออกมาจากฝัก อีกครั้งหมื่อวี้พลิกตัวเหยียบอยู่บนตัวกระบี่ แสง กระบี่ลากสายรุ ้งสีขาวเส้นหนึ่งตมหลังหวนกลับไปยังภูเขาเซียนตูอีก ครั้ง
มาอย่างรีบร ้อนและจากไปอย่างรีบร ้อน ในสายตาของเจี่ยนหมิง แล้วนี่เรียกได้ว่าประหลาดโดยแท้ แค่ไม่กี่ประโยคก็ไล่เขาไปได้แล้ว ใต้หล้านี้มีเซียนกระบี่ที่ทาเป็ นเล่นสนุกแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?!
เนื่องจากกู่ชิวเป็ นตัวสารองของเทพอภิบาลเมืองของเมืองนี้ ดังนั้นขณะที่เขียนกระบี่ชุดขาวคนนั้นพุ่งแหวกอากาศมาถึงเขาจึง รู ้สึกเพียงว่า “ร่างทองทั้งร่าง” แม้กระทั่งตัวนครแห่งนี้ก็ยังเริ่มโยก คลอนสั่นไหวไปพร ้อมกัน นี่ยังเป็ นเพราะอีกฝ่ ายได้จงใจเก็บปราณ กระบี่ตอนที่ขยับเข้าใกล้หัวกาแพงเมืองไปแล้วด้วย
ฉินปู้ อี๋สามารถมั่นใจได้เลยว่าหมี่อวี้ที่มาจากกาแพงเมืองปราณ กระบี่ผู้นี้ ทุกวันนี้ต้องเป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินอย่างไม่ต้อง สงสัยแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องเล่าลือของกาแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากใน บรรดาผู้ล้างมลทินกลุ่มของพวกเขามีสายของเซียนกระบี่ซีซานอยู่ เป็ นเหตุให้ข่าวเกี่ยวกับกาแพงเมืองปราณกระบี่ได้รับความส าคัญมา โดยตลอด
ก็เหมือนอย่างการเดินทางมาเที่ยวเยือนใบถงทวีปครั้งนี้ก็เป็ น หลิวเถาจือศิษย์พี่ของนางที่อยากให้ฉินปู้ อี๋ออกหน้าเชื้อเชิญให้อิ่นก วานหนุ่มมารับหน้าที่เป็ นเค่อชิงของสาย “เซียนกระบี่ซีซาน
หากมีโอกาส ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจได้เลื่อนขั้นเป็ นไท่ซ่าง เค่อชิงที่ตาแหน่งถูกเว้น ว่างมานานแล้วโดยตรงเลยก็เป็ นได้
พรรคของพวกเขามีคนอยู่ไม่มาก แต่ธรณีประตูสูงยิ่ง โดย ภาพรวมแล้วแบ่งออกเป็ นสามสาย แต่ละสายรับลูกศิษย์และสืบทอด ควันธูปของใครของมัน ต่างฝ่ ายต่างแทบไม่ติดต่อกัน เป็ นเหตุให้ผู้ ล้างมลทินหลายคนที่เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี พบเจอหน้ากันก็ ไม่รู ้จักกันด้วยซ้า ไปอยู่ใต้หล้าห้าสี เพราะผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของ กาแพงเมืองปราณกระบี่แทบทุกคนต่างก็ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในใต้หล้า ไพศาลอย่างพวกน่าหลันไข่ส่วนจึงกลายเป็ นบุคคลที่ได้รับความ สนใจจากสายของเซียนกระบี่ซีซาน
ส่วนฉีถิงจี้
ช่างเถิด
เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกาแพงผู้นี้ สูงส่งจนมิอาจปืนป่ายได้ถึง
ลู่จือ
นิสัยของนางแปลกแยกเกินไป อีกทั้งนางเองก็ไม่มีความรู ้สึกที่ดี อะไรต่อใต้หล้าไพศาล คาดว่าก็คงหมดหวังเหมือนกัน ทะเล่อทะล่า ไปหาถึงที่คงไม่เป็ นที่ชื่นชอบ
ชุยตงซานถามหยั่งเชิง “อาจารย์ ต้องการให้ข้าพาพวกขุนนางที่ รักใต้บังคับบัญชาถอยไปไกลสักหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้อง”
ชุยตงซานถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ศิษย์น้องหญิงเล็กไม่อยู่ ด้วย ลูกศิษย์นักการของตรอกฉีหลงก็ไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นเวลานี้ พลังอ านาจต้องพุ่งสูงอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันแสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน เดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช ้า ผาย ฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป “ขอเชิญผู้อาวุโสออกหมัด”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ในเมื่อเจ้ากับข้าเป็ นขอบเขตเดียวกัน ตามกฎ ของในยุทธภพ คนที่อายุน้อยสามารถออกหมัดก่อนได้”
ชุยตงซานชูแขนขึ้นตะโกนเสียงดัง “ยอมให้สามกระบวนท่า!”