กระบี่จงมา - บทที่ 968.3 ไม่ใช่ออี๋โต้วคนที่สอง
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ต้องให้ทันที ติดไว้ก่อนได้ พรุ่งนี้เช ้าข้า ค่อยมาคิดบัญชี พี่หงสามารถหยิบยืมเงินมาจากพวกพี่สาวทั้งหลาย ก่อนได้ ผสมรวมกันให้ได้เงินฝนธัญพืชแค่เหรียญเดียว เป็ นเรื่อง เล็กน้อยเหมือนเม็ดฝนพร่างพรม”
หงโฉวพลันตกอยู่ในสภาวะยากจะตัดสินใจ หากแพ้ก็เท่ากับว่า ครึ่งปีกว่ามานี้เหนื่อย เปล่าแต่หากชนะขึ้นมาล่ะ?
เด็กหนุ่มชุดขาวยกขานั่งไขว่ห้าง เอาเท้าเหยียบลงบนริมขอบ กระถาง ยกเท้าที่สวมรองเท้าหุ้มข้อเหยียบวางแล้วก็ยกลง “พี่สาว หยิบเงินฝนธัญพืชสองเหรียญนั้นออกมา อีกเดี๋ยวมันก็จะต้องเข้าไป อยู่ในกระเป๋ าของพี่หงแล้ว”
หงโฉวพลันลุกขึ้นยืน แค่นเสียงในลาคอแล้วก้าวยาวๆ จากไป
พวกเฉียนโหวเอ๋อร ์ตะลึงงัน ไม่ใช่ว่าเหลือแค่ขอบเขตยอดเขา หรอกหรือ แค่นี้ก็ไม่กล้าเดิมพันหรือไร? ระหว่างทางที่หงโฉวเดินมา ถูกประตูหนีบหัวมาหรือ?
ทุกคนสังเกตเห็นว่าพอหงโฉวยกเท้าข้ามธรณีประตูออกไป เด็ก หนุ่มชุดขาวก็พลันเหงื่อแตกเหมือนเปียกฝน ยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ด เหงื่อ อธิบายว่า “ร ้อน อากาศค่อนข้างร ้อนนะ”
หงโฉวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังก้าว ยาวๆ ออกไปจากเรือน
รับกระดาษแผ่นนั้นและเงินเทพเซียนหกเหรียญมาจากวังม่าน เมิ่ง เด็กหนุ่มชุดขาวพูดด้วยน้าเสียงหวังดีว่า “พี่น้องทุกท่าน ฟัง ค าแนะน าของน้องชายสักค า เดิมพันน้อยใหญ่ มีแพ้มีชนะ ล้วนเป็ น เงินที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เก็บรักษาไว้ไม่อยู่ แค่เล่นสนุกก็ พอแน่นอนว่าหากเงินนอกรีตเข้าประตูบ้านมาแล้ว ตัดใจมอบออกไป ด้วยวิถีทางที่ถูกต้องได้ลงก็คือเรื่องดี ดังคากล่าวที่ว่าเงินดียากสละ หากสละเงินดีออกจากประตูบ้านไปได้ ก็คือการสะสมบุญกุศลให้กับ ตระกูล”
วังเมิ่งม่านได้ยินหลักการเหตุผลที่เลื่อนลอยไร ้ค่าพวกนี้แล้วก็ รู ้สึกหงุดหงิดยิ่งนักเพียงแต่สีหน้ายังคงหยาดเยิ้มเย้ายวน “ชุยหลาง ช่างมีฝีมือในการเดิมพันที่ดีจริงๆ”
ขุยตงซานเอ่ยชื่นชม “หงโฉวผู้นี้ยังพอมีความหนักแน่นอยู่บ้าง”
วังม่านเมิ่งยิ้มถาม “ทรัพย์สินเงินทองสามารถทาให้คนหวั่นไหว ได้ เจ้าไม่กลัวหงโฉวหรือ?”
ชุยตงซานกล่าว “ขนาดผียังไม่กลัว จะต้องกลัวคนท าไม”
วังม่านเมิ่งหัวเราะ
เฉียนโหวเอ๋อร ์วิ่งไปที่นอกประตู นั่งยองอยู่ตรงขั้นบันได สะบัด ข้อมือสลัดพู่กันเบาๆบนพื้นหิมะจึงมีรอยน้าหมึกกระเซ็นหลายเส้น
เขาปาดพู่กันไปบนหิมะที่ทับถมซ้าแล้วซ้าเล่า แล้วจึงใช ้สองนิ้วคีบ ปลายพู่กัน บีบเอาน้าหมึกออกมาเหมือนการ “ล้างพู่กัน
เฉียนโหวเอ๋อร ์กลับไปที่ห้องของตัวเอง หยิบเอาตะบันไฟออกมา จุดตะเกียงที่ตั้งวางไว้บนโต๊ะ วางพู่กันที่ล้างสะอาดแล้วลงบนที่วาง พู่กันเบาๆ
พลันสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวมายืนพิงกรอบประตูอย่าง เงียบเชียบเหมือนผี สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีมอง มายังตน
หัวใจของเฉียนโหวเอ๋อร ์บีบรัดตัว คงไม่ได้คิดว่าจะบีบมะพลับนิ่ม ตามมาปล้นทรัพย์จากตนหรอกนะ
ชุยตงซานยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ดีดเบาๆ หนึ่งที เงิน เกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งก็ถูกดีดมาให้เฉียนโหวเอ๋อร ์ “ไม่ร ้อนลวกมือ รับไว้เถอะ มากพอจะให้เจ้าซื้อที่ล้างพู่กันได้กองใหญ่เชียวล่ะ”
เฉียนโหวเอ๋อร ์พลันตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง กาเงินเกล็ดหิมะที่อันที่ จริงร ้อนลวกมืออย่างมากเหรียญนั้นไว้แน่น ไม่รู ้ว่าควรจะทาอย่างไร ดี รับเอาไว้ หากหลังจากนี้แพร่ไปเข้าหูหงโฉวก็ง่ายที่จะถูกอีกฝ่ าย อาฆาตแค้น ไม่รับไว้ก็ดูเหมือนว่ายากที่จะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้
ชุยตงซานเดินเข้ามาในห้อง สังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีหนังสืออยู่ เล่มหนึ่งก็หยิบขึ้นมาอ่าน แล้วก็อารมณ์ดีทันใด
ที่แท้เป็ นเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่ใช ้ถ่านวาดเป็ นภาพโต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง โต๊ะน้าชา เสาคาน ตัวรับน้าหนักหลังคาในรูปแบบต่างๆ มีมากถึงร ้อย กว่าแบบ
คงเป็ นเพราะอยู่ในเมืองผีแห่งนี้ได้เปิ ดวิสัยทัศน์ มีความรู ้ กว้างขวางมากขึ้น เฉียนโหวเอ๋อร ์จึงใช ้เวลาว่างเขียน “ตารา” เล่มนี้ ขึ้นมา
ชุยตงซานพลิกเปิดอยู่สองสามหน้าก็ยิ้มเอ่ยว่า “มีฝีมือเช่นนี้ ไม่ มีทางหิวตายแน่ นึกยังไงถึงมาที่นี่ หากไม่เป็ นเพราะโชคดี ไม่เจอผี ร ้าย ด้วยฝีมือการต่อสู้อันน้อยนิดแค่นี้ของเจ้าคงรอดมาไม่ได้แน่”
เฉียนโหวเอ๋อร ์แสร ้งท าเป็ นพูดเหมือนคนมีความรู ้ “ม้าไม่มีหญ้า กินตอนกลางคืนมิอ้วนพี ในตาราก็กล่าวไว้แล้วนี่นะว่าให้เสี่ยง อันตรายแสวงหาความร่ารวย หากอาศัยฝีมือในการประทังชีพ ตลอด ทั้งปีได้เงินมาแค่ไม่กี่แดง เงินที่ได้มาช ้าเกินไป ก็คงไม่ได้ลืมตาอ้า ปากเสียที”
ขุยตงซานพลิกเปิ ดหน้าหนังสือ “พวกเขาเอาแต่หาเงินอย่าง เดียว มีแต่เจ้าที่ประทังชีพ”
เฉียนโหวเอ๋อร ์ฟังด้วยความมึนงง แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า? ในกระเป๋ าไม่มีเงินจะใช ้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันได้หรือ?
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉียนโหวเอ๋อร ์อยากไป อยู่กับภูเขาบ้านข้าหรือไม่? ไม่พูดว่าจะต้องร่ารวยมีเกียรติ แต่ถึง
อย่างไรก็ดีกว่าลอยไปลอยมาอยู่ในเมืองผีแห่งนี้ทั้งวันทั้งคืน ต้องหา เงินแลกชีวิตด้วยการเอาหัวไปผูกไว้บนเข็มขัดกางเกง ตกอยู่ใน สถานการณ์ล่อแหลม ลาบากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เงินที่ ได้มาใครจะได้ใช ้ก็ยังบอกได้ยาก”
เฉียนโหวเอ๋อร ์ไม่ได้หยุดคิดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาคาพูดนี้โยน ทิ้งไปนอกหัวทันทีเขายิ้มกว้างเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “อย่าดีกว่า ชีวิตนี้ เคยชินกับการร่อนเร่อยู่ข้างนอกมานานแล้ว แม้จะอันตรายอยู่บ้าง แต่ก็มีอิสระมากกว่า ให้ข้าย้ายรังไปเสพสุขอยู่ที่อื่น ข้าไม่เคยคิด หรอก”
วิธีการใช ้ชีวิตบางอย่างคือเรื่องที่แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิด
ครั้งนี้ไม่ว่าหงโฉวกับวังเมิ่งม่านจะแยกย้ายกันไปคนละทาง นับ แต่นี้กลายเป็ นภูเขาสองลูก หรือว่าทุกคนล้วนต้องแยกย้ายกันไปนับ แต่นี้ ขอแค่ได้นั่งลงแบ่งทรัพย์สินกัน เขาก็น่าจะได้เงินเกล็ดหิมะมา ประมาณสิบเหรียญ เงินเกล็ดหิมะนั่นเท่ากับเงินขาวถึงหนึ่งแสนต าลึง เชียวนะ หากเอากรรไกรมาตัดเป็ นเศษเงิน ใส่ไว้ในกระบุง ข้าผู้ อาวุโสนั่งอยู่บนหลังคาแล้วโปรยออกไปข้างนอกก็เหมือนมีหิมะน้อยๆ ตกลงมาเลยกระมัง อีกอย่างหากอิงตามค ากล่าวของวังม่านเมิ่งราช สานักในแต่ละแคว้นทุกวันนี้ต่างก็ต้องการเงินเทพเซียนอย่างเร่งด่วน เอาไปหักเป็ นเงินขาวก็จะได้ก าไรส่วนต่างมาไม่น้อย
ชุยตงซานยกเก้าอี้หมวกขุนนาง (รู ้จักในอีกชื่อว่าเก้าอี้ยื่นสี่หัว ซึ่งเป็ นการเรียกตามลักษณะรูปร่างของเก้าอี้ที่มีปลายสองข้างบน
พนักพิง และปลายแต่ละข้างของที่วางแขนเปรียบเสมือนมีสี่หัวยื่น ออกมาจากตัวเก้าอี้ ลักษณะคล้ายหมวกขุนนาง) ตัวเก่ามานั่ง ยกขา ไขว่ห้าง นี่ทาให้ใจเฉียนโหวเอ๋อร ์เต้นรัว อีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันนะ?
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ภูเขาของข้าในทุกวันนี้ยังขาดคนอีกเยอะ มาก หากเจ้าไปอยู่ที่นั่นก็จะมีพื้นที่ให้แสดงฝีมือ เงินเดือนทุกเดือน คือหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะ เป็ นอย่างไร? เหรียญเมื่อครู่นี้ก็ถือว่าเป็ น เงินมัดจ าก็แล้วกัน”
ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ยังไม่กลับภูเขาลั่วพั่ว จะต้องรีบเกณฑ์ ตัวคนงานกลับไปเยอะๆ ให้มาโผล่หน้าให้อาจารย์คุ้นหน้าคุ้นตากัน ก่อน ในอนาคตพออาจารย์ปิ ดด่าน ออกเดินทางไกลแล้วกลับมา บ้านเกิดอีกครั้ง จากนั้นเมื่อมาเยือนสานักกระบี่ชิงผิงอีกรอบ “คน ใหม่” ในทุกวันนี้ก็จะกลายเป็ นคนเก่าที่ไม่แปลกหน้าอีกต่อไป พอได้ เจอกับอาจารย์อีกครั้ง อาจารย์ต้องยินดีพูดคุยกับเขามากหน่อยเป็ น แน่ เพราะชุยตงซานรู ้ดีอยู่ในใจว่า ไม่เพียงแต่กับภูเขาเซียนตูเท่านั้น ต่อให้เป็ นภูเขาลั่วพั่วที่ทุกวันนี้เหมือนอยู่ในสภาวะปิ ดขุนเขา ใน อนาคตจะต้องกลับมาเปิดภูเขาใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อนาคตอีกร ้อยปี หลายร ้อยปี จะมีคนหน้าใหม่ที่ทยอยกันขึ้นเขามา ฝึ กตน ฝึ กวรยุทธ บางทีอาจารย์อาจไม่มีเรื่องให้คุยมากขนาดนั้น แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉียนโหวเอ๋อร ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ตอนอยู่ บ้านเกิดยังเคยเป็ นคนเผาถ่าน เตาเผาชิงหลี่เป็ นเตาเผาของแท้
แน่นอน จะยิ่งไม่เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมกับอาจารย์อย่างเป็ น ธรรมชาติหรอกหรือ?
เฉียนโหวเอ๋อร ์ยิ้มประจบ “ชุยเซียนซืออย่าได้ล้อข้าน้อยเล่นเลย” ผู้ฝึ กยุทธขอบเขตสามคนหนึ่ง หากไม่นับการทางานจุกจิก เล็กน้อย นอกจากเป็ นตัวตายตัวแทนให้คนอื่นแล้ว ยังจะทาอะไรได้ อีก
ชุยตงซานหัวเราะ “ไม่รีบร ้อน เจ้าจะได้ไม่ต้องหวาดระแวงไปส่ง เดช ถึงอย่างไรรอวันใดตัวเจ้าเองคิดได้แล้ว หรือเจอกับอุปสรรคใดที่ ก้าวข้ามผ่านไปไม่ได้ ก็ไปหาข้าที่ภูเขาเซียนตู กรอบป้ ายหน้าประตู ภูเขาเซียนคาว่าสานักกระบี่ชิงผิง เจ้าต้องอ่านตัวอักษรนี้ออก แน่นอน ภูเขาเขียนตูอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เดินไปทางทิศใต้ เรื่อยๆ จะมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่าท่าเรือชิงชาน วัน หน้าก็แค่ต้องคอยอ่านรายงานขุนเขาสายน้าให้มากก็พอ”
รอกระทั่งเด็กหนุ่มชุดขาวออกไปจากห้องแล้ว เฉียนโหวเอ๋อร ์ก็ ยังประหลาดใจไม่หาย
ขุยตงซานกลับไปนั่งที่เดิมคือข้างกระถางไฟในห้องโถงใหญ่ คน อื่นๆ ต่างก็กลับห้องใครห้องมันไปนอนแล้ว เหลือแค่วังม่านเมิ่งที่ยัง นั่งรออยู่ตรงนั้น
นางยิ้มถาม ชุยหลาง อาจารย์ของเจ้าคือปรมาจารย์ใหญ่ ขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งจริงหรือ?”
“ไม่ใช่” วังม่านเมิ่งกลอกตาใส่อย่างมีจริตจะก้าน “หลอกผีหรืออย่างไร” ท าไมหงโฉวถึงไม่กล้าเดิมพันนะ?
วังม่านเมิ่งรู ้สึกว่าหากเปลี่ยนมาเป็ นตน จะต้องกล้าเดิมพันครั้ง สุดท้ายแน่นอน
เลือกระหว่างขอบเขตยอดเขากับขอบเขตปลายทาง มีอะไรให้ไม่ กล้ากันเล่า?
ขุยตงซานยิ้มเอ่ย “อันที่จริงขอบเขตของอาจารย์ข้าคือขอบเขต ปลายทาง แต่ข้ารู ้สึกว่าพี่หงหาเงินมาได้ด้วยความยากลาบาก อีกทั้ง ยังเป็ นเงินที่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่ง ตามลาดับอาวุโส เขายังถือเป็ นพี่เขยของข้าครึ่งตัวด้วย ทาเรื่องดีๆ อยู่ในเมืองนี้มาตั้ง มากมาย คิดว่าจะมอบเงินให้เขาได้เอาไปใช ้จ่าย ผลคือเขาไม่รับ น้าใจ ยืนกรานจะมอบเงินให้กับน้องภรรยาครึ่งตัวอย่างข้าให้ได้ ข้า ยังจะท าอย่างไรได้อีกเล่า”
อันที่จริงวังม่านเมิ่งคร ้านจะคาดเดาขอบเขตที่แท้จริงของคนชุด เขียวผู้นั้น ไม่ต้องสนว่าจะอยู่ขั้นไหนของหลอมจิตวิญญาณ ล้วน เป็ นบุคคลที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้ าที่ตนเหยียบบันไดก็ยังปืนป่ายไม่ถึง
ไม่ไปหาเรื่อง ไม่ไปตีสนิท แค่เคารพอยู่ไกลๆ ก็พอแล้ว
หากไม่เป็ นเพราะเด็กหนุ่มชุดขาวตรงหน้าผู้นี้ทาเล่นแง่ไม่ยอม จากไป อันที่จริงวังม่านเมิ่งก็ไม่ยินดีจะอยู่ข้างกายคนผู้นี้เท่าใดนัก ต้องคอยวิเคราะห์คาพูดทุกคาของเขา ถึงขั้นที่ว่าต้องคอยระวังทุกสี หน้าและแววตา
หงโฉวเองก็ไม่ใช่ว่าเสียเปรียบไปแล้วหรอกหรือ? “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท าไมหงโฉวถึงไม่กล้าเดิมพัน?” “หมายความว่าอย่างไร?” “เพราะหงโฉวเองก็เหมือนเจ้า ไม่เชื่อว่าคนทาดีจะได้ดีตอบแทน”
วังม่านเมิ่งยิ้มจืดเขื่อน “เป็ นไปไม่ได้กระมัง”
ชุยตงซานหันตัวออกไปมองลานกว้างที่หิมะใหญ่ตกโปรยปราย หิมะยิ่งทับถมกันหนาชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ “บางทีอาจจะเคยเชื่อ แต่ ภายหลังกลับไม่เชื่อแล้ว”
เงียบไปครู่หนึ่ง ชุยตงซานก็เอ่ยต่ออีกว่า “ช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่า วิถีทางโลกใบนี้ ยิ่งเป็ นคนที่เชื่อว่าคนดีต้องได้ดีตอบแทน ก็มักจะมี ชีวิตที่ไม่ดีเสมอ ไม่ใช่คนดีเกินเหตุก็เป็ นคนดีที่ยากจน ก็เหมือนหลีก ทางให้คนอื่นบนเส้นทางกว้างใหญ่ ทว่าตัวเองกลับได้แต่เดินบนทาง ไม้คับแคบ เงินน้อยนิดที่เก็บออมมาอย่างยากลาบาก ล้วนมอบให้ ชีวิตที่ผ่านพ้นไปแต่ละวันหมดแล้ว สุดท้ายที่หลงเหลือก็มีแต่น้ารส ขมเต็มท้อง แต่ก็ไม่ยินดีจะพูดให้ญาติมิตร สหายและผู้เยาว์ข้างกาย ฟัง”
เดิมทีรู ้สึกว่าอีกฝ่ายยืนพูดไม่ปวดเอว
แต่พอได้ยินค าพูดประโยคสุดท้ายนี้ หัวคิ้วของวังม่านเมิ่งก็คลาย ออก เค้นรอยยิ้มส่ง ไปให้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “คนที่เกลียดแค้นเซียนซือทาเนียบที่สุด ไม่ แน่เสมอไปว่าจะเป็ นผู้ฝึ กตนอิสระ ส่วนใหญ่มักจะเป็ นเขียนชื่อ ท าเนียบด้วยกันเอง เพราะว่าฝ่ ายแรกหาวิธีการในการอยู่ร่วมกันมา ได้นานแล้ว แต่ฝ่ายหลังกลับไม่ได้เป็ นอย่างนั้น”
วังม่านเมิ่งหัวเราะเยาะตัวเอง “ชุยตงซาน เลิกหยั่งเชิงได้แล้ว แม้ จะไม่รู ้ว่าเหตุใดเจ้าถึงท าตัวเหมือนวิญญาณตามติดไม่ยอมไปไหน มาพัวพันกับมดตัวน้อยอย่างพวกเราอยู่เช่นนี้ แต่บอกตามตรง ข้าไม่ รู ้สึกว่าเศษสวะที่เป็ นเหมือนจอกแหนไร ้รากอย่างพวกเราจะมีค่าพอ ให้เจ้าสิ้นเปลืองเวลาจริงๆ เงินฝนธัญพืชสองเหรียญ เยอะนักหรือ? ส าหรับพวกเราแน่นอนว่าเยอะมาก คนสิบกว่าคนท างานกันมาเกิน ครึ่งปีกว่าจะหาเงินได้เท่านี้ ก็เหมือนอย่างพวกเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่บางที ชีวิตนี้อาจจะเพิ่งเคยเห็นเงินฝนธัญพืชครั้งแรกด้วยซ้า แต่ส าหรับคน อย่างเจ้าแล้ว สองเหรียญ หรืออาจถึงขั้นยี่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช จะนับเป็ นอะไรได้เล่า”
“พวกเฉียนโหวเอ๋อร ์ไม่ใช่ว่าอาจจะอะไรหรอก แต่เพิ่งเคยเห็น เงินฝนธัญพืชเป็ นครั้งแรกจริงๆ เพราะไม่เหมือนกับเจ้าและหงโฉว ความคิดแรกหลังจากที่พวกเขาได้เห็นเงินฝนธัญพืช ไม่ได้สงสัยว่า
ท าไมข้าถึงเอาเงินฝนธัญพืชออกมาได้ แต่สงสัยและก าลังคาดเดาว่า เงินเทพเซียนชนิดที่สาม สรุปแล้วใช่ว่าของจริงหรือไม่กันแน่”
ชุยตงซานก้มหัวค้อมเอว แบมือออกมา ขยับเข้าใกล้ถ่านไฟ “เมื่อครู่นี้ที่เจ้าบอกว่า “คนอย่างเจ้า” หมายความว่าอย่างไร? ท าไม ถึงได้รู ้สึกว่าข้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเจ้าล่ะ?”
วังม่านเมิ่งเอ่ย “บอกเหตุผลที่เป็ นรูปธรรมไม่ได้ แต่ข้ารู ้สึกเช่นนี้ จริงๆ”
ชุยตงซานถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าอาจารย์ของข้าล่ะ ใช่คน แบบเดียวกันกับพวกเจ้าหรือไม่?”
วังม่านเมิ่งเอ่ยอย่างจนใจ “เป็ นไปได้หรือ?”
ชุยตงซานเงียบไม่เอ่ยต่อ แสงไฟสาดสะท้อนให้ใบหน้างดงาม ของเขายิ่งนานก็ยิ่งขาวนวล พลิกฝ่ ามือที่ใช ้อังไฟ หงายฝ่ ามือขึ้น ด้านบน
วังม่านเมิ่งถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยมีสถานะบนท าเนียบมา ก่อน?”
ขุยตงซานยิ้มเอ่ย “เพราะเจ้าเหมือนผีที่ผูกคอตายครึ่งตัว คลาย เชือกที่แขวนคอไม่ออก มือเอื้อมไปไม่เจอเสาคาน เท้าเหยียบไม่ถึง พื้น ยังไม่ตายอย่างแท้จริง แต่ก็มีชีวิตรอดกลับมาไม่ได้แล้ว ขึ้นก็ ไม่ได้ลงก็ไม่ได้ มองดูแล้วน่าสงสารนัก”
วังม่านเมิ่งยิ้มเอ่ย “น่าสงสารอย่างไร? ท าไมตัวข้าถึงไม่รู ้สึกว่า ตัวเองน่าสงสารเลยเล่า”
ชุยตงซานถูมือ “ไม่มีเรี่ยวแรงไปคับแค้นใจกับความน่าสงสาร ของตน นี่ถึงได้น่าสงสาร ท าอะไรไม่ได้ อับจนหนทาง ยังจะท า อย่างไรได้อีก ก็ได้แค่นี้เอง”
วังม่านเมิ่งเงียบงัน ก้มหน้าค้อมเอวขยับเข้าใกล้กระถางไฟ ถูมือ หาความอบอุ่นเอาอย่างเด็กหนุ่มชุดขาว
ตาราบางอย่างรสชาติขมขื่นเกินไป ทาใจอ่านให้จบไม่ลง
วังม่านเมิ่งมาจากแคว้นเล็กๆ ทางเหนือของใบถงทวีป แคว้น เหนือหัวคือราชวงศ์สกุลอวี๋ที่เรียกได้ว่าเป็ นบุคคลยิ่งใหญ่ เคยเป็ น แคว้นแข็งแกร่งทางทิศเหนือของใบถงทวีปอย่างสมชื่อ ทุกวันนี้ได้ฟื้น คืนชะตาแคว้นกลับมาแล้ว แม้ว่าพลังต้นก าเนิดจะเสียหายอย่างหนัก แต่อูฐตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า
สานักของนางคือพรรคบนภูเขาที่ไม่ติดอันดับของใบถงทวีป ไม่ ถือว่าเป็ นพรรคสายนอก แต่จะบอกว่าเป็ นพรรคนอกรีตก็ไม่อยุติ ธรรมเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่เหมือนคนสวมเสื้อคลุมด้านนอกสีสด งดงาม อยู่ในอาณาเขตของแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลอวี๋ก็ สามารถวางอานาจบาตรใหญ่ได้ บวกกับผู้อาวุโสและศิษย์พี่ศิษย์ น้องหญิงร่วมรุ่นในส านักที่หลายคนต่างก็เป็ นอนุภรรยาของขุน นางในแคว้น นอกจากเจ้าประมุขที่เป็ นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตู
มังกรคนหนึ่งแล้ว เล่าลือกันว่ายังมีบรรพจารย์ขอบเขตโอสถทองคน หนึ่งที่ปิดด่านมานานหลายปีนั่งพิทักษ์อยู่ในสานักด้วย ดังนั้นปีนั้น ช่วงที่นางขึ้นเขาไปแรกๆ จึงวาดฝันไว้อย่างงดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วย ความเย่อหยิ่งจองหอง
ทว่าพรรคที่นางอยู่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ฝึกตนหญิง สิ่งที่ผู้อาวุโสใน ส านักถ่ายทอดให้นอกจากเวทคาถาแล้วก็คือวิชาประกอบกามกิจใน ห้อง ตาราลัทธิเต๋าที่จริงจังมีอยู่ไม่กี่เล่มทว่าภาพต าหนักวสันต์กลับมี อยู่กองใหญ่
เด็กสาวหลายคนที่เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน มี เพียงหน้าตาที่งดงามคือต้นแบบของสาวงาม กลับถูกรับมาไว้ใน พรรคทั้งหมด
เล่าลือกันว่าภูเขาที่พึ่งที่แท้จริงของพรรคบ้านตนคือพรรคชิงจ้ วนผู้น าตระกูลเซียนบนภูเขาของราชวงศ์สกุลอวี๋ ในนั้นมีบุคคลที่ ยิ่งใหญ่ค้าฟ้ าซึ่งดูแลเงินทองอยู่คนหนึ่ง คือสตรีผู้หนึ่งที่ชื่อว่า เหมียวอวี๋ และยังเล่าลือกันว่านางเป็ นกึ่งๆ คนรักของเจ้าประมุขเกา แห่งพรรคชิงจ้วน ก็แค่ไม่มีศักดิ์ฐานะเท่านั้น เหมียวอวี๋กุมอ านาจ ใหญ่ในการดูแลทรัพย์สินเงินทอง ไม่ด้อยไปกว่าเจ้ากรมการคลังของ ราชวงศ์สกุลอวี๋เลย
คนบางคนประสบการณ์ชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค มักจะไป วนเวียนอยู่แถวยอดเขา ต้นหลิ่วร่วงโรยพลันได้เห็นดอกไม้บา
ทว่าชีวิตคนบางคนเหมือนเรือเกยตื้น เส้นทางน้าแคบเหมือนร่อง น้าร่องหนึ่ง เข้าไปไม่ได้ ถอยออกก็ไม่ได้ ได้แต่ถูกผีบังตาเดินวนอยู่ ที่เดิม
ดูเหมือนว่ายิ่งทามากก็ยิ่งผิดมาก ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ก็ เหมือนอย่างค าพูดประโยคหนึ่งของเด็กหนุ่มชุดขาวตรงหน้าที่พูดจี้ จุดได้โดยตรง พูดไปพูดมาก็หนีไม่พ้นค าว่า “ก็ได้แค่นี้เอง
นางเคยยืนเรียงแถวอยู่ในจวนเทพเซียนหลังหนึ่งของท่าเรือ ตระกูลเชียนพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงร่วมสานัก และยังมีผู้ฝึก ตนหญิงของจวนเซียนแห่งอื่น ถูกเซียนชซือ ทาเนียบที่มีสีหน้า เย่อหยิ่ง หรือไม่ก็ลูกหลานชนชั้นสูงที่สวมใส่เสื้อผ้าหรูหรากินดีอยู่ดี ชี้นิ้วจิ้มเลือกพวกนาง คนที่นอนด้วยก็คือเทพธิดา คือผู้ฝึกตนหญิง บนภูเขา
ส าหรับเรื่องนี้นางชาชินมานานแล้ว