กระบี่จงมา - บทที่ 968.1 ไม่ใช่ออี๋โต้วคนที่สอง
แสงจันทร ์และหิมะส่งเสริมกันให้งามเด่น เด็กหนุ่มที่อยู่ท่ามกลาง ความงดงามนี้ก็ยิ่งเหนือสามัญ
หากรวมกับเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองชื่อชุยตงซาน คนทั้งสิ้นหกคน มุ่งหน้าไปยังเรือนใหญ่ประตูสูงที่ได้ครอบครองหอเก็บตาราหกพัน เล่ม
ชายฉกรรจ์ที่ผอมราวกับลิงเดินนาอยู่ด้านหน้าสุด ใช ้เท้ากวาด หิมะเปิดทาง หลีกเลี่ยงไม่ให้รองเท้าปักลายดอกไม้บนเท้าของสตรีโต เต็มวัยถูกหิมะที่กองทับถมกันเปียกซึมเข้าไป
สตรีที่มีชื่อว่าวังม่านเมิ่งบอกว่าตัวเองคือขอบเขตชมมหาสมุทร เพียงแต่ไม่ชอบถูกคนเรียกว่าเทพธิดา ชายร่างผอมแห้งเคยประจบ ป้ อยอนางจึงถูกนางตบไปหนึ่งที
บนเส้นทาง นางพยายามชวนเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่บอกว่า ตัวเองชื่อชุยตงซานคุยไปตลอดทาง แน่นอนว่าภายใต้รอยยิ้มดุจบุป ผาของสตรีที่มีชาติกาเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระได้ซุกซ่อนความคิด อันน่าสะอิดสะเอียนไว้มากมาย ก็เหมือนเส้นทางที่อยู่ใต้หิมะทับถม มองดูเหมือนขาวสะอาดไร ้มลทิน แต่หากใช ้เท้าปาดออกดูจริงๆ ก็จะ เห็นว่ามีแต่ดินโคลน
วังม่านเมิ่งค้นพบว่าฝี เท้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายแผ่วเบา ล่องลอย ไม่เหมือนคนฝึกวรยุทธ รองเท้าหุ้มข้อที่สวมอยู่เปื้อนเศษ หิมะนานแล้ว หนาวจนตัวสั่นเยือกอยู่ตลอด คอยปัดหิมะที่หล่นลงมา บนหัวและบนไหล่ออกเบาๆ ถามย้าซ้าๆ ว่าถึงหรือยัง ถึงหรือยัง
หลักๆ แล้วก็เพราะสตรีเกิดความขัดแย้งกับหงโฉวผู้เป็ นชู้รัก วัง ม่านเมิ่งไม่ยินจะพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ต้องคอยดูสีหน้าของ คนเขา แล้วก็ยิ่งเกลียดแค้นราชสานักอย่างลึกล้า และนางก็ไม่คิดจะ หาภูเขาสักลูกก่อตั้งสานัก กฎเกณฑ์บนภูเขามีมากมาย เรื่องถูกผิด ก็เยอะ ส่วนหงโถวนั้นถึงอย่างไรก็มีชาติก าเนิดมาจากในยุทธภพ ไหนเลยจะรู ้ถึงเส้นสนกลในบนภูเขา ฆ่าคนไม่ต้องเห็นเลือด เจอกับผู้ ฝึกตนบนทาเนียบที่มีภูเขาที่พึ่ง มีภูมิหลังความเป็ นมาลึกล้า เดินอยู่ ริมน้าเป็ นประจารองเท้าจะไม่เปียกเลยได้อย่างไร มักจะต้องมีหายนะ ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ ขอแค่เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาแล้วมี กิจการรากฐานจริงๆ แล้ว คิดจะถอนตัวก็ยากแล้ว ไหนเลยจะง่ายดาย เพียงแค่เดินจากไปก็จบเรื่อง แล้วถ้ายังต้องก้มหัวนอบน้อมต่ออีก ฝ่ าย กล้ากลืนความไม่เป็ นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ ายอีกล่ะ? ถึง เวลานั้นยังจะทาอย่างไรได้อีก ด้วยนิสัยรักศักดิ์ศรีเป็ นที่สุดของหง โฉว จะต้องล้างกันให้สะอาดรอขาย หรือจะทาเรื่องอย่างการ “หย่า อย่างปรองดอง” แล้วผลักนางออกไปรับผิดชอบ? เจ้าหงโฉวไม่ถือสา หมวกบนหัว แต่เหล่าเหนียงรังเกียจที่จะต้องแสร ้งออดอ้อนอ่อนหวาน อยู่บนเตียง สิ้นเปลืองกาลังจะตายไป
ดังนั้นคนทั้งสองจึงพักอยู่ในจวนประตูสูงสองหลังที่อยู่ติดกัน มี ความหมายท านองว่าเป็ นน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้าคลอง
สตรีกับเด็กหนุ่มชุดขาวเดินเข้าไปในบ้านพร ้อมกัน มาถึงห้อง โถงใหญ่ ของที่มีค่าทั้งหมดถูกย้ายออกไปนานแล้วจึงมองดูเหมือน บ้านที่มีแค่ผนังสี่ด้าน ในห้องโถงเหลือแค่กรอบป้ ายไม้หนันมู่ ทว่า กลับไม่ได้แขวนไว้บนผนัง แต่วางพิงไว้ด้านล่างโต๊ะ เด็กหนุ่มชุดขาว ข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้องโถงแล้วก็กวาดตามองไปสองสามรอบ ไม่เหลืออะไรอยู่แล้วจริงๆ เสียด้วย เขาจึงวิ่งไปที่ข้างโต๊ะ จากนั้น กระดกกันขึ้นมุดเข้าไปใต้โต๊ะ ยื่นมือไปปิดฝุ่นที่เกาะอยู่บนกรอบป้ าย ซึ่งเขียนคาว่า “ฟ้ ายาวนานคนอายุยืน”
ชุยตงซานหยิบกรอบป้ ายออกมาวางไว้บนโต๊ะก่อน เขาคิดว่าจะ ย้ายเอากลับไปไว้ในห้องหนังสือบนยอดเขามี่เซวี่ย
ในห้องวางกระถางไฟไว้สองใบ ถ่านไม้ล้วนเป็ นพวกเขาที่เผาขึ้น เอง ชายร่างผอมแห้งมือเท้าคล่องแคล่ว ไปหยิบถ่านและฟื้นอีกส่วน หนึ่งมาเติมในกระถางไฟ สุดท้ายยังไม่ลืมเอาขี้เถ้ากลบลงบนถ่าน และไม้ที่ติดไฟแดงฉาน หลีกเลี่ยงไม่ให้ถ่านไม้เผาเร็วเกินไป แค่มอง ก็รู้ว่าเป็ นคนมัธยัสถ์อดออมคนหนึ่ง
แบ่งคนออกเป็ นสองกลุ่ม ต่างคนต่างนั่งล้อมกระถางไฟ หิมะ ใหญ่นอกประตูปลิวปราย
คงเป็ นเพราะมีเด็กหนุ่มแปลกหน้าเพิ่มมาคนหนึ่ง พวกเขาจึง ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากบรรยากาศจึงเงียบสงบ
คนผู้นี้ประวัติความเป็ นมาไม่แน่ชัด กล้าเข้ามาในเมืองผีเพียง ล าพัง จะเป็ นแค่เด็กหนุ่มไม่รู ้ประสาที่อ่อนแอมิอาจต้านแรงลมอย่างที่ แสดงออกภายนอกได้อย่างไร กล้าเข้ามาในเมืองผีคนเดียวแบบนี้ก็มี แค่ไม่กี่คนหรอกที่จะเป็ นคนดี มองดูภายนอกเป็ นเด็กหนุ่มสวรรค์ เท่านั้นที่รู ้ว่าอีกฝ่ายอายุเท่าไรแล้ว
มีเพียงชายที่เติมถ่านเท่านั้นที่ทาหน้าหนานั่งอยู่ข้างกายสตรี โฉมงาม จึงนั่งอยู่ตรงข้ามกับเจ้าเด็กหน้าขาวคนนั้นพอดี
วังม่านเมิ่งเป็ นชู้รักของหงโฉว ในสถานการณ์ทั่วไปไม่มีใครกล้า มายุ่งวุ่นวายกับนางก่อนหน้านี้กู่ชิวที่มองดูเหมือนบัณฑิต พอเข้ามา ในเมืองก็ถูกหงโฉวกลั่นแกล้งไปไม่น้อย แต่ชายร่างผอมแห้งผู้นี้กลับ เป็ นข้อยกเว้น คงเป็ นเพราะรู ้สึกว่าต่อให้ชู้รักของตัวเองไม่เลือกกิน มากแค่ไหน ก็คงกระเดือกเจ้านี่ไม่ลง
ถ่านไม้ในกระถางไฟปะทุแตกเหมือนเสียงประทัด บางครั้งมี สะเก็ดไฟปลิวกระเด็นออกมา หลายครั้งที่สาดกระเซ็นมาโดนชาย กางเกงของชายฉกรรจ์ ชายร่างผอมแห้งคล้ายจะกังวลว่าสะเก็ดไฟ จะเผาชายกางเกงให้ไหม้จึงต้องคอยก้มลงปัดอยู่เรื่อยๆ
ชุยตงซานค้อมเอวไปคืบถ่านไม้ชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ริมขอบกระถาง ไฟขึ้นมา ขยี้เบาๆ ให้แหลก ยิ้มเอ่ยว่า “ถ่านขาวใช่ไหม ล้าค่ากว่า
ถ่านดาทั่วไปเยอะเลยนะ พี่ม่านเมิ่งพวกเจ้านี่ใช ้ได้เลย ใช ้ชีวิต พิถีพิถันถึงเพียงนี้เชียว?”
วังม่านเมิ่งผงกปลายคาง ปรายตามองไปยังชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม กับชุยตงซาน คลี่ยิ้มหวาดหยด “ข้าหรือจะเข้าใจเรื่องถ่านขาวถ่าน ด าอะไร เป็ นฝีมือเฉพาะตัวของเฉียนโหวเอ๋อร์ความสามารถเป็ นการ เป็ นงานอะไรไม่มี แต่เป็ นพ่อครัว ผ่าฟืนเผาถ่าน ใช้จอบขุดดิน ท า รถเข็นไม้ ล้วนเป็ นมือดีคนหนึ่ง”
ชายฉกรรจ์ที่ผอมแห้งราวท่อนไผ่ เดิมทีกาลังโน้มตัวไปด้านหน้า ก้มหน้าลง ยื่นสองมือไปอังไฟหาความอบอุ่น หางตาก็ถือโอกาส เหลือบมองรองเท้าปักลายดอกไม้ของสตรีรูปงาม ลูกกระเดือกขยับ น้อยๆ กลืนน้าลายลงคอ รู ้สึกน้าลายสอจริงๆ วังม่านเมิ่งผิวพรรณ ขาวนวลถึงเพียงนั้น ราวกับว่าสามารถเค้นเอาน้าออกมาได้ เท้าสอง ข้างที่สวมรองเท้าปักลายบุปผาไม่เคยโดนแดดเลยตลอดทั้งปี จะไม่ ยิ่งขาวกว่าหรอกหรือ กู่ชิวที่เมื่อก่อนมักจะช่วยเทน้าล้างเท้าให้นาง บ่อยๆ ช่างมีโชคด้านสาวงามจริงๆ….พอได้ยินค าพูดของนางจึงเงย หน้าขึ้น ถูมือยิ้มเอ่ย “พี่น้องชุยสายตาดียิ่งนัก คือถ่านขาวจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ถ่านดาจะเปรียบเทียบได้ ต่อให้เผาแค่ไหนก็ไม่มีควัน ไม่ท า ให้คนส าลัก แน่นอนว่าของดีล้วนเปลืองเงิน ชาวบ้านทั่วไปใช ้ถ่าน ขาวประเภทนี้ไม่ไหวจริงๆ”
ชุยตงซานถอดรองเท้าหุ้มข้อที่ถูกหิมะซึมจนเปียกชิ้นออก เอ่ย ขออภัยหนึ่งคา จากนั้นก็หิ้วรองเท้าขึ้นมามือละข้าง พลิกกลับ
รองเท้าอังไฟ ยิ้มถามว่า “ที่บ้านเกิดของเจ้า ถ่านร ้อย จินขายได้กี่ ต าลึง?”
เฉียนโหวเอ๋อร ์ยิ้มเอ่ย “บ้านเกิดของข้าอยู่กับภูเขากินจากภูเขา บนภูเขามีไม้แข็งอยู่หลายชนิดที่เหมาะจะเอามาเผาเป็ นถ่านขาว มี ชื่อเสียงไม่น้อยเลย ในจารึกประจาจังหวัดก็มีบันทึกเอาไว้ เตาเผาที่ ใช ้เผาถ่านไม้ล้วนเรียกว่าเตาชิงหลี่ ส่วนชื่อนี้ได้มาอย่างไร ก็มีคา บอกเล่าอยู่เหมือนกัน บอกว่าริมล าคลองตรงตีนเขามีศาลเจ้าแม่ปลา หลี่อยู่แห่งหนึ่ง ภายหลังเดินทางไกลออกมาจากบ้านเกิดถึงเพิ่งจะรู ้ ว่า นั่นเรียกว่าศาลเถื่อน ชื่อจึงฟังประหลาด ก็ไม่รู้ว่าทางราชส านัก และพวกบัณฑิตคิดอย่างไรกันอยู่ถึงไม่เปลี่ยนคาเรียกขาน ก่อนข้า จะออกมาจากบ้านเกิดก็จาได้ว่าควันธูปของศาลเจ้าแม่ปลาหลี่ดีมาก มาโดยตลอด ตอนที่ข้ายังเด็กก็มักจะไปจุดธูปกราบไหว้ที่นั่นเป็ น ประจา หากเจอวันที่หิมะตกหนัก ฟ้ าดินมีแต่ไอหนาวเหน็บเช่นนี้ก็ เหมือนสวรรค์ประทานข้าวให้กิน ราคาถ่านก็จะพุ่งขึ้นสูง สามารถ ขายได้ถึงสองตาลึงกับอีกสี่ห้าเฉียนเลยทีเดียว หากมีช่องทางติดต่อ กับห้องบัญชีของตระกูลคนรวยที่อยู่ในเขตการปกครอง ราคายังเพิ่ม ได้อีกเป็ นเท่าตัว พี่น้องชุย แค่มองก็รู ้แล้วว่าเจ้าเป็ นคนมีเงินที่เดิน ออกมาจากตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็ นเทพเซียนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา แล้ว เจ้ารู้เรื่องในตลาดอย่างราคาของถ่านไม้ได้อย่างไร?”
อันที่จริงวังม่านเมิ่งอยากจะขัดจังหวะอยู่หลายครั้ง แต่เห็นว่าเด็ก หนุ่มชุดขาวฟังอย่างตั้งใจ มีความอดทนดีเยี่ยม จึงรอให้เฉียนโหว
เอ๋อร ์พูดจ้อเป็ นน้าไหลไฟดับให้จบก่อนแล้วถึงได้ยิ้มบ่นว่า “ชุยหลาง แค่ถามเรื่องราคากับเจ้า แต่เจ้าพูดอะไรเสียตั้งยึดยาว ดื่มฉี่ม้าเข้าไป เยอะน้าลายก็เลยเยอะด้วยหรือ?”
สีหน้าของชายร่างผอมแห้งขุ่นเคือง อันที่จริงคนในยุทธภพที่มี ฉายาว่าเฉียนโหวเอ๋อร ์ผู้นี้ เวลาปกติไม่ชอบพูดมากนัก ช่วยไม่ได้ เป็ นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามที่พอจะเป็ นการต่อสู้อยู่บ้าง เสียงจะดัง ได้สักเท่าไรกันเชียว เพียงแต่ว่าพอพูดถึงฝี มือในการหาเลี้ยงชีพ อย่างการเผาถ่าน ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับบ้านเกิด แล้วยังได้เจอ กับคนที่มองของออกอย่างไม่ง่าย ชายฉกรรจ์จึงอดใจไม่ไหวห้าม ปากตัวเองไม่อยู่
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนอาจารย์ของข้าก็เคยเผาถ่าน เขา ต่างหากที่เป็ นผู้เชี่ยวชาญ ข้าแค่เคยฟังเขาเล่าเท่านั้น หากอาจารย์ ของข้าอยู่ที่นี่ด้วยต้องคุยกับเจ้าได้หลายประโยคแน่นอน”
ชุยตงซานถามชวนคุยว่า “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว ได้ เงินกันไปมากน้อยเท่าไร”
วังม่านเมิ่งพูดเสียงหวาน “ตอบชุยหลาง มาถึงเมืองนี้เมื่อช่วงเข้า ฤดูร ้อนของปีที่แล้วแผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปเกินครึ่งปีแล้ว ส่วนได้ เงินมาเท่าไร เงินทองไม่ควรโอ้อวด คงไม่พูดถึงแล้ว ไม่อาจพูดได้ว่า กลับไปพร ้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มสองไม้สองมือ แต่ก็ไม่ถือว่าเหนื่อย เปล่า เมื่อเทียบกับเป็ นลูกสมุนเป็ นทหารทัพหน้าของราชสานักในแต่ ละแคว้นที่อยู่ข้างนอกแล้ว ชีวิตก็ดีกว่าเดิมไม่น้อย มีวันเวลาที่ดีที่หา
ได้ยาก ชุยหลางสนใจจะออกท่องยุทธภพกับพวกเราหรือไม่? หงโฉว มีพี่น้องร่วมสาบานคนหนึ่งที่พอจะมีความสัมพันธ ์อยู่กับแม่ทัพบู๊ที่ ดูแลกองทัพอยู่บ้าง ข่าวสารว่องไว เมื่อปลายปีก่อนได้นาความมา บอกว่าภายในสองสามปีนี้ราชวงศ์ด้ายวนคงไม่มีเวลามาสนใจเมืองผี ที่ถูกรีดเค้นจนแห้งเหือดแล้วแห่งนี้ นายท่านฮ่องเต้ยุ่งมากเลยล่ะ”
เมื่อปลายฤดูหนาวของปีก่อน ก่อนจะได้เจอกับจงขุยและกูซู อัน ที่จริงพวกเขาลองคานวณราคาทั้งหมดโดยอิงตามการประเมินของ ชิวกู่ ก็ได้ก าไรเป็ นเงินมาประมาณหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชพอดี เฉลี่ยกันแล้วก็ได้กันคนละสิบเหรียญเงินเกล็ดเหิมะ เพียงแต่ว่าหาก อิงตามกฎเกณฑ์บนเส้นทางที่ปฏิบัติตามกันมาจนเป็ นธรรมเนียม บัญชีจะคิดกันอย่างนี้ไม่น้อย พี่ใหญ่ตัวจริงยังคงเป็ นหงโฉวที่บอกว่า ตัวเองเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า แต่แท้จริงแล้วเป็ นขอบเขตหก กับวัง ม่านเมิ่งที่บอกว่าเป็ นขอบเขตชมมหาสมุทร แต่แท้จริงคือขอบเขตถ้า สถิตที่จะต้องได้ส่วนแบ่งไปเยอะสุด ยวนยางบนผิวน้า (เปรียบเปรยถึง คู่รักระยะสั้น คู่รักชั่วคราว ไม่ใช่สามีภรรยากันอย่างแท้จริง) คู่นี้ คน ทั้งสองแบ่งส่วนแบ่งไปประมาณสี่ส่วนเพียงแต่ว่ากลุ่มนี้ล้วนเป็ นคนที่ พวกเขาดึงจากตรงโน้นตรงนี้มารวมกัน จึงไม่มีใครกล้ามีความเห็น ต่าง เพราะถึงอย่างไรดาบของหงโฉว แม้แต่ผีร ้ายที่ลอยไปลอยมาก็ ยังสังหารได้คิดจะสังหารคนมีชีวิตแค่ไม่กี่คนจะไปยากอะไร ไม่แย่ง ผลประโยชน์ไปจากพวกเขาก็ถือว่ามีคุณธรรมในยุทธภพมากแล้ว หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโชคดีกันมาก ถึงกับได้เงินร ้อน
น้อยมาอีกเจ็ดแปดเหรียญ ตอนนี้คนทั้งสองกลุ่มจึงต้องรอดูว่าวังม่าน เมิ่งกับหงโฉวจะพูดคุยกันอย่างไร
ชุยตงซานยิ้มถาม “หาเงินโดยเอาชีวิตมาเสี่ยงในสถานที่ ประเภทนี้ ไม่มีคนตายบ้างเลยหรือ?”
วังม่านเมิ่งยิ้มตอบ “ไม่เลย โชคดีมากจริงๆ ไม่เสียแรงที่เรื่องแรก ที่พวกเราทาหลังจากเข้าเมืองมาก็คือไปจุดธูปขอพรที่ศาลเทพ อภิบาลเมือง เฉียวโหวเอ๋อร ์ยังมีฝีมือ ช่วยเผากระดาษเงินให้อีกสอง กระบุงใหญ่ด้วย”
เฉียนโหวเอ๋อร ์ได้รับคาชมก็รู ้สึกเหมือนกระดูกทั้งร่างเบาโหวงไป อีกหลายตาลึง นั่งหัวเราะอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้น
นับว่าหาได้ยากจริงๆ คนสิบสองคนเข้ามาในเมืองด้วยกัน มีเหตุ ให้ชวนตกใจแต่ไร ้อันตราย ไม่เพียงแต่ได้เงินมาไม่น้อย ทุกคนยังอยู่ กันครบสามสิบสองประการ ไม่มีใครแขนขาขาด พวกเพื่อนร่วม อาชีพที่อยู่ในเมืองอื่นกลับไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว เมืองผีน้อยใหญ่หลาย สิบแห่งของราชวงศ์ต้ายวนเก่า ทางราชส านักได้จัดงานพิธีท าบุญ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว ทว่าแม้จะจัดพิธีท าบุญหลายต่อ หลายครั้ง แต่กลับไม่เคยได้ประโยชน์อย่างแท้จริงผีดุร ้ายอ ามหิต ยังคงออกอาละวาดอย่างก าเริบเสิบสาน ภายหลังใกล้ถึงช่วงสิ้นปีถึง ได้ยอมหยุดพักกันไปบ้าง ส่วนใหญ่เป็ นพวกเขาที่ให้ความร่วมมือ มี ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่พอจะเข้าใจเวทคาถาบนภูเขาเป็ นคนออก หน้าประสานงาน รวบรวมผู้ฝึ กยุทธในยุทธภพมากลุ่มหนึ่ง เป็ น
เหมือนสุนัขที่ขุดหาอาหารร่วมกัน กินเศษชากน้าแกงที่หลุดรอดมา จากร่องนิ้วของขุนนางจากราชสานัก เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดู หนาวของปี ก่อน มักจะมีข่าวแพร่ออกมาเป็ นประจ าว่าในตัวเมือง ทั้งหลายของเขตการปกครองมักจะมีคนที่ตายอย่างเฉียบพลันเป็ น ระยะ ถึงขั้นที่ว่าถูกผีสิงร่าง หรือไม่ก็ถูกผีอ า จู่ๆ ก็หันมาเช่นฆ่าห้า หั่นกันเอง เมื่อฟ้ าสว่างก็คือภาพเหตุการณ์อันน่าอนาถที่ศพนอน เกลื่อนพื้น เล่าลือกันว่าในนั้นมีเมืองผีแห่งหนึ่งที่เคยเกิดการต่อสู้ อย่างดุเดือด ปราณหยินเข้มข้นเกินไปท าให้เกิดผีเซียนดินตนหนึ่ง ขึ้นมา มันรวบรวมทหารหยินจากรอบด้านมาได้หลายพันตน เวลา นั้นหงโฉวยังเป็ นกังวลอย่างมาก ยังเคยคิดว่าจะออกไปจากในเมือง แต่ก็กังวลว่าผีเซียนโอสถทองตนนั้นจะเดินทางไปยังทิศใต้ กองทัพห ยินข้ามดินแดนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย เพียงแต่ไม่รู ้ว่าทาไมพอเข้าใกล้ ช่วงปลายปี เมืองผีแต่ละแห่งก็คล้ายว่ามีการแบ่งแยกอาณาเขตกัน อย่างชัดเจนไม่มีเค้าลางว่าทุกคืนพวกผีเร่ร่อนจะจับกลุ่มกันเหมือนวิ ญาณวีรบุรุษผีแม่ทัพที่กาลังโยกย้ายระดมกาลังพลอีก รอกระทั่งถึง คืนวันที่สามสิบคืนสิ้นปี กลางดึกก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมา กู่ ชิวถึงกับยอมเสี่ยงที่จะล้าเส้นละเมิดข้อต้องห้าม ถูกราชสานักต้ายวน หรือแม้กระทั่งถูกสานักศึกษาของลัทธิขงจื๊อต าหนิ สวมชุดขุนนาง ของเทพอภิบาลเมืองเป็ นครั้งแรกนั่งบัญชาการณ์อยู่ในศาลเทพ อภิบาลเมือง หลังจากนั้นมาผีทุกตนก็คล้ายหมอกควันที่สลาย หายไป เฉียนโหวเอ๋อร ์พูดจาเป็ นมั่นเป็ นเหมาะน่าเชื่อถือว่า นี่เป็ น เพราะสวรรค์ลืมตาแล้ว จึงเก็บผีเร่ร่อนพวกนั้นไป ให้พวกมันมีที่ให้
หวนกลับคืน ปูเส้นทางน้าพุเหลืองขึ้นมาบนโลกสว่าง พวกผีเดินผ่าน สะพานไน่เหอดื่มน้าแกงยายเมิ่งไปแล้วก็สามารถไปเกิดใหม่ได้แล้ว
วังม่านเมิ่งคือผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริงคนหนึ่ง สิ่งที่นางเคยเห็น และเคยได้ยินมาล้วนไม่ใช่สิ่งที่คาพูดคนโบราณของบ้านเกิดที่เฉียน โหวเอ๋อร ์ได้ฟังมาจะเทียบเคียงได้ แต่นางก็สับสนเหมือนกัน ตอนนั้น นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้ าดิน จึงรีบทะยานลมไปที่หัว กาแพงเมืองทันที รู ้สึกเพียงว่าทั่วทั้งโลกมนุษย์มี “ภาพบรรยากาศ” ที่ยากจะบรรยายได้ขุมหนึ่งปรากฏขึ้นมา ไม่ใช่ภาพบรรยากาศของ ขุนเขาสายน้าที่ปราณวิญญาณในฟ้ าดินมารวมตัวกันซึ่งผู้ฝึ ก ลมปราณปรารถนาจะเห็นแม้ในยามหลับฝัน ในชีวิตนี้วังม่านเมิ่งเคย ตั้งใจไปมองดูภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่นางชื่นชมเลื่อมใสมาเนิ่น นานอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงกับส านักของ “ภูเขาไท่ผิง” แห่งนั้น สตรีโตเต็มวัยก็เคยเห็นภาพบรรยากาศที่คล้ายคลึงกันนี้มา ก่อน เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับความ ยิ่งใหญ่โอฬารของภาพบรรยากาศในคืนนั้นได้ติด ยามกลางดึก วัง ม่านเมิ่งยืนอยู่บนหัวก าแพงเมืองเพียงลาพัง เมื่อนางมองเห็น “แสง ตะเกียง” เป็ นจุดๆ เป็ นหย่อมๆ พวกนั้นค่อยๆ มารวมตัวอยู่ด้วยกัน เป็ นกลุ่มก้อน แล้วออกไปจากนครผีด้วยขบวนอันยิ่งใหญ่ นางพอจะ มองเห็นได้ราไรว่าในขบวนนั้นมีปัญญาชนที่สวมชุดขุนนาง มีทหาร สวมเสื้อเกราะ หลังจากตายไปแล้ว การเดินทางบนเส้นทางของโลก มืดครั้งสุดท้ายก็เหมือนว่าพวกเขาจะยังคงรักษากฎระเบียบ ในกลุ่มมี
เด็กน้อยที่ใบหน้าซีดขาวแต่กลับคลี่ยิ้ม ภายใต้การนาพาของ ผู้ปกครองจึงพากันหันมาค้อมเอวคารวะสตรีโตเต็มวัยที่ช่วยเก็บซาก โครงกระดูก สร ้างสถานที่พักศพ…สตรีที่อยู่บนหัวกาแพงเมืองเหม่อ ลอยไปนาน พอคืนสติกลับมาก็ยกนิ้วโป้ งเช็ดใบหน้าและนาทีนั้นจู่ๆ นางก็นึกถึงประโยคหนึ่งที่นางไม่เคยเห็นเป็ นจริงเป็ นจังขึ้นมาได้ คุณธรรมแห่งฟ้ าดิน ไพศาลยาวนาน
เพียงแต่ว่าความคิดนี้ รอให้นางลงมาจากหัวกาแพงก็เจือจางไป แล้ว พอฟ้ าสว่างก็ไม่เหลือความคิดนี้อีกสิ้นเชิง สตรีคิดไปคิดมาก็ ยังคงคิดถึงทางออกของตัวเองหลังจากนี้มากกว่า
วังม่านเมิ่งมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่วางรองเท้าไว้ริมขอบกระถางไฟ หันมาบีบจมูกอังถุงเท้าสีขาวหิมะให้แห้งแทน นางถามด้วยสีหน้า หยาดเยิ้มว่า “ชุยหลาง เจ้าทาอะไรอยู่หรือ? ดูจากท่าทางน่าจะเป็ นผู้ ฝึกตนบนทาเนียบของภูเขาใหม่ลูกใดกระมัง มาท่องเที่ยวที่นี่หรือ มา คนเดียว ผู้อาวุโสในส านักไม่ตามมาปกป้ องมรรคาให้หรือ?”
ไม่ค่อยเหมือนผู้ฝึกตนผู้ถวายงานของราชส านักต้ายวนใหม่ ไม่ วางมาด พูดง่ายๆก็ คือสายตาที่มองคนอื่นคือสายตาที่ใช ้มองคน จริงๆ