กระบี่จงมา - บทที่ 959.2 สำนักกระบี่ชิงผิง
ถึงที่สุดแล้วชุยตงซานก็ไม่ได้ทำตามความต้องการของอาจารย์ด้วยการนำภาพแขวนสามภาพของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อมาแขวนไว้ตรงกลาง จากนั้นค่อยแขวนภาพเหมือนของเขากับชุยตงซานไว้ตรงตำแหน่งล่างสุดฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
งานพิธีก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาเซียนตูในวันนี้ยังคงอิงตามภูเขาลั่วพั่วสำนักเบื้องบน ไม่มีพิธีการยิบย่อยหยุมหยิม เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ไม่วุ่นวายเลยแม้แต่น้อย
ในศาลบรรพจารย์ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ต่างก็วางเรียงเก้าอี้ไว้สองแถว
หนึ่งสำนักเบื้องบน ภูเขาลั่วพั่ว หนึ่งสำนักเบื้องล่าง ภูเขาเซียนตู สำนักกระบี่ชิงผิง
ด้านหนึ่งคือเฉินผิงอัน ฉางมิ่ง เหวยเหวินหลง เผยเฉียน โจวหมี่ลี่ เสี่ยวโม่ เจี่ยเฉิง จางเจียเจิน
เก้าอี้แถวหลังมีน่าหลันอวี้เตี๋ย ป๋ายเสวียน ซุนชุนหวัง ไฉอู๋
รวมทั้งสิ้นสิบสองคน
อีกด้านหนึ่งมีชุยตงซานขอบเขตเซียนเหริน หมี่อวี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด จ้งชิวผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางขั้นสูงสุด สุยโย่วเปียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เฉาฉิงหล่างผู้ฝึกตนโอสถทอง เถาหรานผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง
เก้าอี้ด้านหลังก็มีเส้าพอเซียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เหมิงหลง สือชิว เจี่ยงชวี่ อวี๋เสียหุย เฉิงเฉาลู่ เหอกู อู๋โกว เซียวม่านอิ่ง ผู้ฝึกตนผีเซียนดินสองคน และหลันอี๋ อวี๋ซิ่งโหลว ฟู่จู้
รวมทั้งสิ้นสิบเก้าคน
สมาชิกของสองสำนักบนล่าง รวมกันแล้วสามสิบเอ็ดคน
ด้านหลังเก้าอี้สองแถวที่อยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาก็คือที่นั่งของแขกผู้มาเข้าร่วมงานพิธีการ กลุ่มหนึ่งคือคนในท้องถิ่นของใบถงทวีป อยู่ด้านหลังของชุยตงซาน อีกกลุ่มหนึ่งคือคนนอก อยู่ฝั่งของเฉินผิงอัน
เหยาเจิ้นแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจ้าเมืองเหยาเซียนจือ หลี่ซีหลิงเจ้ากรมพิธีการ หวงถิงเจ้าขุนเขาภูเขาไท่ผิง อวี๋ฟู่ซานผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขา เย่อวิ๋นอวิ๋นเจ้าขุนเขาแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน ผู้คุมกฎถานหรง เซวียไหว
จางเฟิงกู่บรรพจารย์ผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก หวังจี้ผู้ถวายงาน ชิวจื๋อเจ้าแห่งยอดเขาจิ่วอี้ เหวยกูซู เหวยเซียนโหยว เจียงเหิงแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ฉิวตู๋ หูฉู่หลิง จงขุย อวี่จิ่น ชิงถงแห่งหอสยบปีศาจ
เหลียงส่วงเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ หม่าซวนฮุย หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนยอดเขาพาตี้ จางซานเฟิง หลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย ป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหราน กั่วหรานแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก ถานอิ๋งโจว เจิ้งโย่วเฉียน สวีเซี่ยเซียนกระบี่ใหญ่แห่งเกราะทองทวีป หลิวจวี้เป่า หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป อวี้พ่านสุ่ยแห่งราชวงศ์เสวียนมี่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
แขกผู้เข้าร่วมงานพิธีสองกลุ่มมีรวมทั้งสิ้นสามสิบห้าคน
การจัดเรียงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมงานสองฝั่งก็น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้มีการเรียงลำดับ แต่ละคนเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ
คราวก่อนบนภูเขาลั่วพั่ว คนที่รับผิดชอบยื่นส่งธูปก็คือเฉินหน่วนซู่และโจวหมี่ลี่
ครั้งนี้บนยอดเขาชิงผิงเปลี่ยนมาเป็นเฉาฉิงหล่างกับโจวหมี่ลี่ ทั้งสองต่างก็ถือกระบอกธูปไว้คนละหนึ่งใบ
และครั้งก่อนที่เป็นงานฉลองก่อตั้งสำนักของภูเขาลั่วพั่ว การจุดธูปคารวะในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อมีสมาชิกบนทำเนียบศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่ออยู่เบื้องหน้าสี่สิบสามคน แขกสามสิบหกคนที่เข้าร่วมงานพิธีอยู่ด้านหลัง
ครั้งนี้การจุดธูปคารวะของสำนักเบื้องล่าง เฉินผิงอันที่เป็นบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนคือคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องจุดธูปคารวะ คนชุดเขียวเพียงแค่ยืนอยู่ตรงตำแหน่งประธานฝั่งซ้ายมือเท่านั้น
ทุกคนที่ทยอยกันจุดธูปคารวะแล้วต่างก็กลับไปนั่งที่ของตัวเอง
จงขุยสามารถสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน
อายุน้อยมากความสามารถมากเกินไปก็ไม่ค่อยดีนะ
ยืนทื่ออยู่ตรงนั้นคนเดียว รสชาติที่ถูกพวกเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ เทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิว อวี้พ่านสุ่ย ฯลฯ ทยอยกันมาจุดธูปคารวะ คิดดูแล้วคงมิอาจบอกกล่าวให้คนนอกเข้าใจได้เลย
เจ้าอ้วนอวี่จิ่นยิ่งหน่ายใจเป็นทบทวี รู้สึกว่าตัวเองขาดทุนใหญ่แล้ว เพียงแต่พอคิดว่าจงขุยจะยังทวงทรัพย์สินของตัวเองห้าส่วนกลับคืนมาจากเฉินผิงอัน ก็ยอมอดทนอดกลั้นเอาไว้
จางซานเฟิงก็กลั้นขำอยู่เหมือนกัน
ชิงถงรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
หลังจากนั้นชุยตงซานก็พาเฉาฉิงหล่างและโจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วไปเปิดผ้าคลุมกรอบป้ายของสองสถานที่อย่างประตูภูเขาและศาลบรรพจารย์ตามกฎระเบียบบนภูเขาที่ปฏิบัติตามกันมาจนเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง
สำนักกระบี่ชิงผิง
ทางฝั่งของตีนเขายอดเขาชิงผิงยังต้องวางพาดบันไดแล้วยกเอากลอนคู่ที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้ขึ้นแขวน
จากนั้นถึงกลับมายังศาลบรรพจารย์
หากไม่เป็นเพราะภูเขาเซียนตูต้องการทำทุกอย่างให้เรียบง่ายเข้าไว้ ต่อจากนี้ยังต้องมีผู้ฝึกตนที่มีคุณธรรมชื่อเสียงคนหนึ่งรับหน้าที่คล้ายขุนนางผู้ขานชื่อทำการประกาศคำอวยพรที่บรรพจารย์ของสำนัก เจ้าประมุขของจวนเซียนและจักรพรรดิของราชวงศ์ต่างๆ ที่ไม่ได้มาร่วมงานพิธีด้วยตัวเองส่งมาถึงอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วงานพิธีของสำนักเบื้องล่างในใต้หล้าไพศาล เนื่องจากมีรากฐานของสำนักเบื้องบนและความสัมพันธ์ควันธูปจากฝ่ายต่างๆ บางทีลำพังขั้นตอนนี้ก็อาจใช้เวลานานถึงครึ่งชั่วยามหรือนานยิ่งกว่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วคำอวยพรมักจะมีมากหลายร้อยฉบับ
กระโดดข้ามขั้นตอนนี้ไป ชุยตงซานก็เริ่มแนะนำทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ให้รู้จักกันไปตามลำดับขั้นตอน เริ่มจากภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักเบื้องบนจนมาถึงผู้ฝึกตนทำเนียบของสำนักกระบี่ชิงผิง สุดท้ายจึงเป็นผู้เข้าร่วมงานพิธี
ต่อจากนั้นก็เป็นผู้คุมกฎฉางมิ่งแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ป่าวประกาศรายชื่อสมาชิกของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ชิงผิง
เฉินผิงอัน ชุยตงซานเจ้าสำนักคนแรก ชุยเหวยผู้คุมกฎศาลบรรพจารย์ หมี่อวี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง จ้งชิวรับหน้าที่ดูแลเรื่องทรัพย์สินของสำนัก สุยโย่วเปียน เฉาฉิงหล่าง เถาหราน อู๋โกว เซียวม่านอิ๋ง
หลังจากนั้นชุยตงซานก็ใช้สถานะของเจ้าสำนักเชื้อเชิญหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงให้มาเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่ง เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งผูซานและเหยาเซียนจือแห่งต้าเฉวียนให้มาเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ชิงผิงอย่างเป็นทางการ
ต่อมาจึงเชิญชิงถง ฉิวตู๋ ให้รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ชิงผิง รวมไปถึงเฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่ที่วันนี้ไม่ได้มาร่วมงานให้รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับล่าง คนทั้งสามเท่ากับว่าได้รับตำแหน่งเสริมเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ชิงผิง
การเข้าร่วมงานพิธีของแขกทุกท่าน เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ก็ถือว่่าหมดหน้าที่แล้ว
หลังจากนั้นก็เป็นการจัดการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรกของสำนักกระบี่ชิงผิง
สมาชิกมีเฉินผิงอัน ฉางมิ่ง เหวยเหวินหลง เผยเฉียน โจวหมี่ลี่ เสี่ยวโม่ เจี่ยเฉิง
ชุยตงซาน หมี่อวี้ ชุยเหวย จ้งชิว สุยโย่วเปียน เฉาฉิงหล่าง เถาหราน อู๋โกว เซียวม่านอิ๋ง
บวกกับผู้ถวายงานและเค่อชิงที่มีตำแหน่งที่นั่งในศาลบรรพจารย์ห้าท่านอย่างชิงถง ฉิวตู๋ หวงถิง เย่อวิ๋นอวิ๋น เหยาเซียนจือ
เฉินผิงอันไปส่งแขกทุกคนออกจากศาลบรรพจารย์ด้วยตัวเอง นอกจากคนจำนวนน้อยนิดที่ยังอยู่ต่อบนลานกว้างแล้ว คนที่เหลือต่างก็กลับไปยังที่พักของตัวเองบนยอดเขามี่เซวี่ย
ไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่ศาลบรรพจารย์ เฉินผิงอันมาหาหลิวจวี้เป่าและอวี้พ่านสุ่ยที่ยังอยู่ต่อบนยอดเขา ยิ้มเอ่ยว่า “โปรดอภัยที่ต้อนรับได้ไม่ดี”
หลิวจวี้เป่ายิ้มเอ่ยสัพยอก “ไม่ต้องคอยไปทักทายกับคนที่รู้จักและไม่รู้จักนับร้อยคน ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ว่างๆ สบายๆ การเข้าร่วมงานพิธีที่ผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้ ข้ากลับหวังว่าจะได้เข้าร่วมอีกหลายๆ ครั้ง”
อวี้พ่านสุ่ยมองไปทางท่าเรือแวบหนึ่งแล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน เรือเฟิงยวนลำนั้นไม่เลวกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากมีมาเพิ่มอีกลำจะดียิ่งกว่านี้”
อวี้พ่านสุ่ยร้อนใจทันที พูดบ่นว่า “ไม่เลือกคนอ้วน จงใจมาเฟ้นหาจากคนผอมแห้ง ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีคัมภีร์ทำการค้าเช่นนี้”
ชุยตงซานกระโดดออกมาคว้าคอของอวี้พ่านสุ่ย ดึงรั้งจนฝ่ายหลังได้แต่ก้มหัวค้อมเอว “เจ้าอ้วนอวี้ เจ้าไม่อ้วนแล้วใครจะอ้วน”
หลิวจวี้เป่ากระแอมเบาๆ หนึ่งที ในที่สุดใครบางคนก็ยอมถอนสายตากลับมาจากบางจุดแล้วรีบหันมายิ้มเอ่ยทักทายใต้เท้าอิ่นกวาน
เฉินผิงอันมองหลิวโยวโจว พยักหน้ายิ้มกล่าว “จากลากันบนเกาะกุ้ยฮวานานหลายปี คิดถึงมาก”
ปีนั้นทั้งสองต่างก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม
ภูเขาเซียนตูมียอดเขาชิงผิงที่สูงเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ ยืนอยู่บนยอดเขามองไปยังทิศไกล การมองเห็นเปิดกว้าง ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อยสุดลูกหูลูกตา
คนชุดเขียวบนเมฆขาว หมื่นทัศนียภาพล้วนกลับสู่สองดวงตา
……
ในอารามเสวียนตู เจ้าอ้วนคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองได้ทุกฤดูกาล ตรงเอวห้อยยันต์ไม้ท้อที่เป็นเอกสารผ่านด่านซึ่งเจ้าอารามผู้เฒ่ามอบให้ด้วยตัวเองไว้ชิ้นหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็สามารถมองข้ามตราผนึกลี้ลับทั้งหลายที่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งรู้สึกเหมือนถูกผีบังตาได้แล้ว เยี่ยนจั๋ววิ่งตุปัดตุเป๋เข้ามาในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของนักพรตซุน คือ ‘อารามในอาราม’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เคาะประตูสีชาดของตำหนักใหญ่เบาๆ ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าอารามผู้เฒ่าปิดด่านอยู่หรือไม่? ยุ่งอยู่หรือไม่?”
มีน้ำเสียงหงุดหงิดดังตอบมาจากในห้อง “มีธุระอะไรก็ว่ามา ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”
เยี่ยนจั๋วยืนถูมืออยู่นอกประตู “ระหว่างที่ข้ามาที่นี่ได้รู้จักกับยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง ไม่สวมชุดคลุมเต๋าไม่สวมกวานเต๋าแล้วก็ไม่โพกผ้าบนศีรษะ กลับปักดอกไม้สีสดแทน เจ้าอารามผู้เฒ่าช่วยไปดูให้หน่อยได้หรือไม่? หากอีกฝ่ายมีความชำนาญช่ำชอง ไม่แน่วาอาจเป็นการค้าใหญ่ที่มีต้นกำเนิดเงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย ได้กำไรมหาศาลก็เป็นได้!”
ไม่นานมานี้เยี่ยนจั๋วเพิ่งจะออกจากบ้านไปรอบหนึ่ง พูดเสียไพเราะว่าออกไปหาประสบการณ์ แต่อันที่จริงก็คือแวะไปเที่ยวเล่นตามสายรองและภูเขาใต้อาณัติทั้งหลาของอารามเสวียนตู
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบรรพชนอย่างอารามเสวียนตูแห่งนี้ เยี่ยนจั๋วไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะถึงอย่างไรทุกสามวันห้าวันก็มักจะได้เห็นหน้าเจ้าอารามผู้เฒ่าในป่าท้อเสมอ พวกเขาจะยกม้านั่งมานั่งกันที่ริมลำธารสายเล็กพร้อมจิบเหล้าคำเล็กกันไปด้วย ส่วนเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายลำดับอาวุโสห่างกันเจ็ดแปดรุ่นอะไรนั่น นักพรตซุนไม่พิถีพิถัน เยี่ยนจั๋วก็ไม่เกรงใจ นักพรตซุนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เบื้องบนปฏิบัติเบื้องล่างทำตาม พวกเกาเจินผู้มีคุณูปการสูงทั้งหลายจึงยิ่งเกรงใจเยี่ยนจั๋วมากกว่าเดิม บวกกับที่อารามเสวียนตูคือสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า เต้ากวานส่วนใหญ่สะพายกระบี่บ้างก็พกกระบี่ แน่นอนว่าย่อมให้ความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาอย่างหนึ่งแก่เยี่ยนจั๋ว
ราวกับว่าตัวเองยังคงอยู่ที่บ้านเกิด ยังคงอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่
ลำดับอาวุโสหรือขอบเขตอะไร ล้วนไม่ต้องไม่สนใจ
ผลคือพอเยี่ยนจั๋วออกไปจากอารามเสวียนตูอย่างแท้จริง ไปเยือนขุนเขาสายน้ำที่กว้างใหญ่ด้านนอก ถึงได้รู้ว่านักพรตทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ศาลบรรพชนมาจากสายของอารามเสวียนตู เมื่อออกไปอยู่ข้างนอกล้วนมีหน้ามีตาอย่างมาก พวกเจ้าอารามและเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นในแต่ละแคว้นที่มีลำดับศักดิ์เป็นศิษย์หลานศิษย์เหลนของนักพรตซุน พากันแตกกิ่งก้านสาขาไปตามพื้นที่ต่างๆ ของฉีโจว เจอกับเจ้าอ้วนอายุน้อยผู้นี้ก็ไม่ต้องให้เยี่ยนจั๋วเอ่ยถ้อยคำที่เตรียมไว้ พวกเขาก็มีมารยาทและให้ความเคารพเจ้าอ้วนหนุ่มที่มาจากศาลบรรพชนผู้นี้อย่างมากแล้ว
อันที่จริงเป็นเยี่ยนจั๋วที่เข้าใจผิดไป ไม่ใช่ว่าเต้ากวานทำเนียบที่เดินออกมาจากอารามเสวียนตูทุกคนที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ อันที่จริงเซียนกวานพวกนั้นต่างก็สงสัยใคร่รู้ในเรื่องหนึ่งอย่างมาก เจ้าอ้วนผู้นี้ สรุปแล้วมีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าอารามผู้เฒ่ากันแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้สายตามีเลศนัยทำนองว่า ‘เจ้าอารามผู้เฒ่าคงไม่ได้หาลูกนอกสมรสที่อยู่ข้างนอกเจอแล้วพากลับบ้านกระมัง’ มองประเมินผู้ฝึกกระบี่แซ่เยี่ยนที่หน้าตาไม่คุ้นเคย
เพราะถึงอย่างไรนักพรตของอารามเสวียนตูที่กล้าไปยุ่งกับป่าท้อแห่งนั้นก็มีไม่มาก
เจ้าอารามผู้เฒ่ายึดเป้าหมายอย่างหนึ่งมาโดยตลอด ในเมื่อรับลูกศิษย์มาแล้ว ทางฝั่งของสำนักไม่อบรมสั่งสอน หรือจะให้พวกเขาออกไปข้างนอกก่อนแล้วค่อยให้คนอื่นสอนว่าควรเข้าสังคมอย่างไรงั้นหรือ?
บวกกับที่ลีลาการกระทำบางอย่างที่ชัดเจนโดดเด่นไม่เหมือนใครของเจ้าอารามผู้เฒ่าได้นำพาให้อารามเสวียนตูมีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้ามืดสลัว อยู่นอกอาณาเขตของป๋ายอวี้จิง พวกเขาก็สามารถเดินกร่างกันได้เลย
ส่วนสถานะที่แท้จริงของเยี่ยนจั๋ว อารามเสวียนตูที่มีฐานะเป็นศาลบรรพจารย์ของหลายสายกลับไม่เคยป่าวประกาศให้ข้างนอกรับรู้ จงใจปิดบังเรื่องนี้ไว้ เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่พูดถึงเรื่องนี้ ใครจะกล้าเอาไปแพร่งพรายข้างนอก
เป็นเหตุให้ต่อให้จะเป็นในอารามเสวียนตูเอง เต้ากวานที่ทุกวันนี้รู้ว่าเยี่ยนจั๋วมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมหานจ้านหราน ‘คนเฝ้าประตู’ ของอารามที่มีฉายาว่า ‘ชุนฮุย’ เป็นหนึ่งในนั้นด้วยแล้วก็ยังมีไม่เกินสิบคน
ถึงอย่างไรอารามเสวียนตูก็ไม่ขาดเรื่องเล่าลือและหัวข้อพูดคุยอยู่แล้ว
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด “คือเจ้าบ้าที่ชอบแต่งกายเป็นสตรีผู้นั้นน่ะหรือ?”
ได้ยินว่าไอ้หมอนี่เตร็ดเตร่มาจนถึงชายแดนของฉีโจวถึงจะยอมหยุดเท้า จมูกหมาจริงๆ ศิษย์พี่หญิงเพิ่งออกจากด่านก็รีบวิ่งตะบึงมาถึงเลยไม่ใช่หรือ
แต่อีกฝ่ายก็ยังถือว่ารู้กฎระเบียบอยู่บ้าง ไม่ได้ตรงดิ่งเข้ามาในอาณาเขตของอารามเสวียนตู เพราะถึงอย่างไรอารามเสวียนตูกับภูเขาของเขาก็ไม่ค่อยถูกกันนัก น่าจะเป็นเพราะไอ้หมอนี่กังวลว่าจะถูกคนเอากระสอบผ้าป่านครอบหัวรุมตีมากกว่า
ส่วนการค้าที่เจ้าอ้วนเยี่ยนพูดถึง ก็ยังไม่ใช่ว่าเป็นภัยร้ายต่อป่าท้ออยู่ดีไม่ใช่หรือ
รอยยิ้มที่ตอนแรกเยี่ยนจัั๋วคิดว่าตัวเองหลอกคนโง่ตัวใหญ่มาได้ค่อยๆ ชะงักค้าง
เงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยนจั๋วก็เต้นผางสบถอย่างเดือดดาล “หรือจะเป็นนักต้มตุ๋น? กล้าดีเกินไปแล้ว ถึงกับบังอาจหลอกลวงมาถึงหน้าประตูของอารามเสวียนตูพวกเรา ข้าจะไปเรียกพี่หญิงจ้านหรานมาเดี๋ยวนี้ จะไปทวงความเป็นธรรมมาจากเขา!”
ที่แท้อีกฝ่ายก็ป่าวประกาศว่า พู่กันกิ่งท้อ ยันต์ไม้ท้อ กระดาษจดหมายใบท้อ ฯลฯ ที่เยี่ยนจั๋วสร้างขึ้นอย่างประณีตตั้งใจ เขาสามารถช่วยเอาไปขายให้ที่หย่งโจวซึ่งไม่ได้มีชายแดนเชื่อมต่อกับฉีโจวได้ รับรองว่าจะได้กำไรก้อนใหญ่ ทั้งสองแบ่งส่วนแบ่งกันสามต่อเจ็ด ขอแค่เซียนกวานเยี่ยนพยักหน้าตอบตกลง วันหน้าก็แค่รอรับเงินได้เลย
นอกจากนี้อารามเสวียนตูยังมีผลท้อเป็นตะกร้าๆ ทุกปีไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรก็เก็บเกี่ยวได้ทุกปีอยู่แล้ว พวกเต้ากวานของอารามเสวียนตูพวกเจ้ากินกันเองก็กินไม่หมด มอบให้คนอื่นโดยไม่คิดเงินก็สิ้นเปลืองจะตายไป จวนเซียนและอารามเต๋าน้อยใหญ่ของหย่งโจวมีมากมายขนาดนั้น มีงานเลี้ยงให้จัดกันได้ทุกวัน พอมีงานเลี้ยงก็ต้องการผลไม้ตระกูลเซียนเป็นกระบุงเป็นตะกร้า ท้อเซียนของอารามเสวียนตูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้ามืดสลัวยังต้องกลุ้มว่าไม่มีช่องทางขายอีกหรือ?
เยี่ยนจั๋วรู้สึกว่าสามารถทำได้ ต่อให้อีกฝ่ายใจกล้าแค่ไหน ที่พึ่งใหญ่เท่าไรก็คงไม่ถึงขั้นกล้าหลอกมาถึงหัวของอารามเสวียนตูหรอกกระมัง?
“เขาบอกกับเจ้าว่าตัวเองชื่ออะไร”
“เจ้าหมอนี่บอกว่าตัวเองชื่อชิงหลิง มีแต่ชื่อไร้แซ่ แล้วก็ไม่มีฉายาอะไร บอกว่าตัวเองแค่ท่องอยู่ในยุทธภพมานานก็เลยมีสหายเยอะ พวกเขาต่างก็ยินดีไว้หน้าเขาอยู่บ้าง…”
ฟังมาถึงตรงนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าที่อยู่ในห้องก็หลุดหัวเราะพรืด เจ้าอันธพาลผู้นี้ยังกล้าบอกว่าตัวเองมีเพื่อนเยอะอีกนะ
“ข้าถามเขาว่าขอบเขตเป็นอย่างไร เขาก็ยอมบอกตามตรง คือขอบเขตเซียนเหริน มาจากภูเขาแห่งหนึ่งที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของหย่งโจว เขามีอำนาจบารมีอยู่ในพรรคของตัวเองมาก อีกทั้งข้าเห็นว่าข้างกายเขามีผู้ติดตามมาสามคน มองดูแล้วเหมือนจะเป็นเทพเซียนพสุธากันทั้งหมด คงจะกลัวว่าข้าจะไม่เชื่อ สหายชิงหลิงผู้นี้ยังเป็นฝ่ายมอบขลุ่ยเหล็กเลาหนึ่งที่พกติดตัวไว้มาวางเป็นเงินมัดจำด้วย แต่ข้าไม่กล้ารับ เขาก็เลยบอกที่อยู่ที่จะรอรับข่าวจากข้า เวลานี้ก็น่าจะยังรอฟังข่าวจากข้าอยู่”