เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 176
ตอนที่ 176 ข้อเสนอ
เมื่อหลงเฉินไปถึงหน้าบ้าน เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าประตู เป็นหญิงสาว.. แต่กลับมิใช่หญิงสาวที่เขาคาดหวังว่าจะได้พบเจอ
หลงเฉินจ้องมองหญิงสาวผู้นั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงเข้าไปหานาง..
ระหว่างที่หญิงสาวนางนั้นกําลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูบ้านไหล่ของนางก็ถูกใครบางคนสะกิดไว้ และเมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าเป็นหลงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง
“แม่นางเมิ่ง.. มิทราบว่าเจ้ามีธุระอันใดงั้นรึ?”
หลงเฉินจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยถาม หญิงสาวผู้นี้ก็คือคนที่หลงเฉินกับองค์หญิงหมิงผู้รับประทานอาหารร่วมกันในคืนวันหนึ่ง และชื่อของนางก็คือเมิง
“อ่อ.. ย่อมต้องมีแน่ ข้ามาพบเจ้าที่นี่ก็เพราะมีเรื่องที่จะปรึกษาหารือด้วยว่าแต่.. แมวน้อยที่เจ้าอุ้มอยู่นั้นน่าสนใจไม่น้อยที่เดียวข้ามเคยพบเห็นแมวรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน” เมิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด
“ข้าพบมันอยู่ในป่า และได้ตั้งชื่อให้กับมันว่าเจ้าหิมะน้อย แม้มันจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็น่ารักมากทีเดียว!” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ ในขณะที่สายตาจ้องมองแมวสวรรค์จันทราในอ้อมแขนอย่างรักใคร่
“เชิญเข้าไปในบ้านก่อนสิจะได้นั่งสนทนากันได้สะดวก” หลงเฉินเอ่ยชวนพร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูบ้าน
แต่หลงเฉินเคาะประตูบ้านอยู่นานกลับไม่มีเสียงตอบรับ และมิมีผู้ใดมาเปิดประตูให้..
“นี่นางไม่อยู่บ้านงั้นรึ?”
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ จากนั้นจึงหยิบกุญแจของตนเออกมาไขประตู และเดินเข้าไปด้านในโดยมีเพิ่งเดิน ตามเข้าไปติดๆ หลงเฉินให้เพิ่งรออยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่สักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะกลับออกมา..”
“อืมม..” เมิ่งพยักหน้าพร้อมกับเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้
หลงเฉินเดินออกจากห้องรับแขกไปที่ห้องนอนขององค์หญิงหมิงยู่ทันทีจากนั้นจึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนอนของนาง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับเช่นเคย หลงเฉินจึงลองผลักประตูเข้าไป และพบว่าประตูห้องไม่ได้ลั่นกลอนไว้
ประตูห้องนอนของหลู่หมิงยู่เปิดออกอย่างง่ายดายหลงเฉินเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด..
“อ่อ.. แท้ที่จริงเจ้าก็ฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่หรอก..” หลงเฉินพึมพําออกมาพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะค่อยๆปิดประตูห้อง และเดินออกมาอย่างเงียบๆ
หลงเฉินเดินกลับไปที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าท่าทางที่ผ่อนคลายกว่าเดิม และเพิ่งก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมในขณะที่เขาเดินเข้าไป
“สีหน้าของเจ้าดูผ่อนคลายขึ้นมาก..” เพิ่งออกความเห็นเมื่อหลงเฉินเดินกลับเข้ามาในห้อง
“เอาล่ะ.. เจ้ามีธุระอันใดกับข้าก็ว่ามาได้เลย!” หลงเฉินเอ่ยบอกเพิ่งให้พูดเรื่องของตนแทน
“ก็เรื่องที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า?” เพิ่งเอ่ยตอบ
“เรื่องอะไรกัน?! ข้าจําไม่ได้แล้ว..” หลงเฉินเอ่ยถามกลับไปทันที
“ก็เรื่องการท่องเที่ยวผจญภัยอย่างไรเล่า..” เพิ่งเอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“อืมม.. น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวเอาล่ะ.. เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ข้าฟังหน่อย!” หลงเฉินร้องบอกเพิ่งด้วยสีหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที
“พวกเราค้นพบสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งคาดว่าภายในจะต้องมีเครื่องลาง และสมบัติล้ําค่าอยู่มากมายเป็นแน่ พวกเราอยากจะชวนเจ้าไปร่วมสํารวจกับเราด้วย..” เมิ่งเอ่ยบอกหลงเฉินทันที
“บอกเหตุผลข้ามาตามตรง..” หลงเฉินเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“เหตุผลอันใดกัน?” เมิ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“ก็เหตุผลที่ว่า.. เหตุใดเจ้าจึงนําเรื่องที่เจ้ามาหาขุมทรัพย์นี้มาบอกแก่คนแปลกหน้าเช่นข้า มิหนําซ้ํายังชักชวนข้าไปร่วมค้นหาเครื่องลาง และสมบัติล้ําค่าเหล่านั้นด้วยน่ะสิ..” หลงเฉินอธิบาย
เพิ่งจ้องมองหลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้กับหลงเฉินฟัง..
“เมื่อราวสิบกว่าวันก่อนที่เจ้ากับพวกข้าจะได้พบเจอกันนั้น พวกเราได้พบแผนที่ฉบับหนึ่งเข้า ในแผนที่ฉบับ นั้นระบุว่าที่นั่นเป็นสุสานของผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะท่านหนึ่ง และเป็นที่แน่ชัดว่าผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะผู้นั้นอยู่ในอาณาจักรที่เหนือกว่าอาณาจักรราชันสวรรค์ พวกเราทั้งสามคนต่างก็ตื่นเต้น และอยากที่จะไปสํารวจที่นั่นมากจึงได้ออกเดินทางจากสํานักไปตามแผนที่..”
“พวกเราใช้ข้ออ้างว่าต้องการจะเดินทางไปเที่ยวบ้านเกิดของหลิง แต่ได้เดินทางมาที่เมืองนี้ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ซึ่งระบุไว้ในแผนที่ฉบับนี้มากที่สุด..” เพิ่งอธิบายพร้อมกับจ้องมองหลงเฉินแน่นิ่ง
“แล้วสถานที่นั้นอยู่ที่ใด?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“บนเขาที่อยู่นอกเมืองสายฟ้า!” เพิ่งเอ่ยตอบพร้อมกับหันมองไปทางประตู
“หืมม?” หลงเฉินทําเสียงอยู่ในลําคอ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเมื่อคิดว่า ก่อนหน้านี้เขาอยู่ใกล้กับสุสานที่ว่านั่นมากทีเดียว
“แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลที่เจ้านําเรื่องนี้มาบอกกับข้า ข้าคงไม่คิดว่าเจ้าจะตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกเห็น และเจ้าเองก็ดูไม่เหมือนคนใจบุญที่ต้องการจะแบ่งปันเช่นกัน..” หลงเฉินเอ่ยถามกลับไปตรงๆ
“เอ่อ.. เพราะเพียงแค่พวกเราสามคน ไม่อาจข้าไปในสุสานนั่นได้น่ะสิ พวกเราทั้งหมดต่างก็มิรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่เมื่อไปถึงจึงได้รู้ว่าการจะเข้าไปในสุสานแห่งนี้ จําเป็นต้องมีคนสี่คนขึ้นไปหรือมากกว่านั้นก็ยิ่งดี แต่เวลานี้ พวกเรามีกันแค่สามคนเท่านั้น..” เมิงอธิบายให้หลงเฉินฟัง
“เจ้าสามารถชักชวนผู้ใดก็ได้นี่ แล้วเหตุใดต้องเป็นข้าด้วยเล่า? คงไม่ใช่เพียงเพราะแค่เหตุผลที่ข้าบอกกับ เจ้าว่าข้าชื่นชอบการผจญภัยหรอกนะ? อะไรทําให้เจ้าเชื่อใจข้า? หากเจ้าเลือกผู้ที่อ่อนแอกว่าเจ้าโอกาสที่คนผู้นั้นจะหักหลังพวกเจ้าก็มีน้อยมาก เพราะเขาอาจถูกพวกเจ้าสังหารตายได้อย่างง่ายดาย..” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้าขบขัน
“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิดนัก.. คนที่อ่อนแอกว่าพวกเราหากคิดหักหลังย่อมถูกพวกเราสังหารตายได้ง่ายๆ แต่คนเหล่านี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน” เพิ่งส่ายหน้าเป็นการบ่งบอกว่านางคิดต่างจากหลงเฉิน
“ข้อเสียอะไรงั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เจ้าลองใคร่ครวญดูสิ.. ในเมื่อคนที่เข้าไปต้องมีไม่น้อยกว่าสี่คน…ในยามที่จะออกมา ย่อมต้องออกมาอย่างน้อยสีคนด้วยไม่ใช่รี? แต่จําเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้นหรือไม่พวกเราเองก็ไม่มั่นใจ แต่ก็ไม่ต้องการที่จะเสี่ยงเช่นกัน และพวกเราก็ไม่ต้องการที่จะถูกขังไว้ด้านในเพียงเพราะคนที่สี่อ่อนแอ และตายไปก่อน..”
“สหายของเจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่น้อย…หากนางไปพร้อมกับเจ้าด้วยต่อให้คนใดคนหนึ่งในกลุ่มของข้าต้องตายไป อย่างน้อยพวกเจ้าก็จะยังเหลืออีกสี่คน และสามารถออกมาจากสุสานนั่นได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี” เพิ่งอธิบายให้หลงเฉินฟัง
“แม้จะฟังดูเป็นแผนที่เข้าท่าไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้นมิใช่รึ..” หลงเฉินเอ่ยบอกความคิดเห็นของตน
“เหตุใดเจ้าจึงไม่กลับไปที่สํานักมหาอสุนีบาตของเจ้า แล้วชักชวนคนในสํานักมาช่วยแทนเล่า? ในสํานักของเจ้าย่อมต้องมียอดฝีมือแข็งแกร่งอยู่มากมาย และเจ้ายังสามารถเลือกคนที่เจ้าไว้ใจได้อีกด้วย..” หลงเฉิน เอ่ยถาม
“พวกเราไม่มีวลามากมายถึงเพียงนั้น การเดินทางกลับไปกลับมาเช่นนี้ พวกเราจะต้องถูกสงสัย อีกอย่างพวกเราไม่สามารถทิ้งสุสานไปนานเช่นนั้นได้ หาไม่แล้วผู้อื่นอาจมาพบเข้าก่อนก็เป็นได้..” เพิ่งอธิบายต่อ
“แล้วหากข้าสองคน…หักหลังพวกเจ้าเล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามยิ้มๆ
“สมบัติทั้งหมดจะถูกแบ่งเป็นห้าส่วนเท่าๆกัน และข้าเชื่อว่านี่เป็นสัดส่วนที่ยุติธรรมที่สุด อีกอย่าง…ข้าเองก็ ไว้ใจเจ้า และเชื่อว่าเจ้าจะไม่หักหลังพวกเราเป็นแน่!” เมิ่งเอ่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“แม้เหตุผลของนางจะฟังดูเข้าที และสีหน้าท่าทางของนางก็ดูเหมือนมิได้กําลังโกหก แต่…ขากลับมีความรู้สึกประหลาด มันเป็นความรู้สึกที่บ่งบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้องนัก ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายๆกับความรู้สึกที่ข้ามีต่อหลงซู ในวันที่มันชวนข้าไปดื่มชาที่ห้องก่อนที่มันจะทรยศหักหลังข้า..
“แต่ครั้งนี้ ข้ามได้อ่อนแอดังเช่นครั้งนั้น!”
หลงเฉินจ้องมองเพิ่งยิ้มๆ แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่นั้น ก็มิได้เปิดเผยออกมาทางสีหน้าให้เพิ่งได้ล่วงรู้..
“เอ่อ…เจ้าคิดเช่นใดกับข้อเสนอของข้า?” เมิ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลงเฉิน
“ข้าเองค่อนข้างเห็นด้วย แต่ต้องรอถามสหายของข้าเสียก่อน..” หลงเฉินตอบเพิ่งกลับไป
“นี่เจ้าต้องรอถามคนรักของเจ้าก่อนงั้นรึ?” เมิ่งเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“คงต้องเป็นเช่นนั้น เอาล่ะ…พรุ่งนี้ข้าจะให้คําตอบกับเจ้าอีกที ไม่ทราบว่าข้าจะพบกับเจ้าได้อย่างไร?” หลงเฉินเอนกายพิงเก้าอี้พร้อมกับเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร.. พรุ่งนี้ข้าจะมาพบเจ้าที่นี่อีกครั้ง หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองจะตอบตกลง เอาล่ะ.. ข้าคงต้องขอตัว แล้วข้ายังต้องกลับไปเตรียมตัวอีกมาก” เพิ่งเอ่ยบอกหลงเฉิน พร้อมกับลุกขึ้นยืน
“เชิญตามสบาย..”
หลงเฉินเอ่ยตอบในขณะที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่แล้วสีหน้าของนางก็กลับเป็นปกติโดยเร็ว รอยยิ้มปรากฏขึ้นดังเดิมจากนั้นนางก็ได้เดินจากไป
หลงเฉินหลับตาลงและกําลังครุ่นคิดกับหลายๆเรื่อง…
“เมิ่ง…หลิง…สํานักมหาอสุนีบาต…สุสานผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง…ขุมทรัพย์.. ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งสิ้น!” หลงเฉินพึมพําออกมาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลงเฉินลุกขึ้นยืน และรีบเดินกลับไปที่ห้องนอนของตนเองทันทีระหว่างทางที่ผ่านห้องของหลู่หมิงยู่นั้น หลงเฉินก็ได้เปิดประตูเข้าไปดูอีกครั้ง และพบว่านางยังคงดําดิ่งอยู่กับการฝึกวรยุทธบ่มเพาะเขาจึงจากไปอย่าง เงียบๆ
หลงเฉินเดินเข้าไปในห้องนอน และเอนกายลงบนเตียง พร้อมกับวางเจ้าแมวน้อยลงข้างกายเจ้าหิมะน้อย นอนหลับอยู่ข้างกายหลงเฉินที่หลับไหลไปเช่นกัน
หลงเฉินนอนหลับไปหนึ่งคืนเต็มๆ และตื่นขึ้นมาในเช้าของอรุณวันใหม่..
หลงเฉินนําหม้อหลอมมังกรเทวะซึ่งอาจารย์คู่แห่งหอหลอมโอสถสาขาเมืองครามเทามอบให้ออกมา..