หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 29
“นายท่านเพิ่งส่งจดหมายกลับมา” มาถึงห้องโถง หลังจากลงนั่งกันเรียบร้อยนายหญิงใหญ่ก็มองทุกคนอย่างพินิจพิจารณารอบหนึ่ง “โหรหลวงบอกอ้ายเอ๋อร์ตายตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าพิธีสวมหมวก ไม่นับเป็นทุกข์ใหญ่ ไม่ส่งผลกระทบต่อการออกเรือนของซูเอ๋อร์ เพียงแต่กำหนดการแต่งงานต้องอยู่ภายในช่วงเวลาหนึ่งเดือน ฝ่าบาททรงกำหนด…” มองไปที่ต่งซู “กำหนดการแต่งงานของซูเอ๋อร์คือวันที่สิบสองเดือนสาม”
“อะไรนะ!” พูดยังไม่ทันจบคำ ต่งซูก็ร้องเสียงแหลมขึ้นมา “ท่านแม่! ต่อให้ตายลูกก็ไม่แต่ง!” ทุกคนยังไม่ทันมีอาการตอบสนอง ต่งซูก็คุกเข่าตึงลงไปแล้ว หยาดน้ำตาร่วงลงมาดุจไข่มุก “ท่านแม่ ตั้งแต่เล็กพี่สี่ก็รักเอ็นดูลูก เวลานี้กระดูกเขายังไม่ทันเย็น ลูกจะสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดได้อย่างไร ลูก…ลูก…สาบานชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งงาน จะอยู่กับท่านแม่ ปรนนิบัติท่านแม่ไปชั่วชีวิต”
นายหญิงใหญ่หน้าซีดเผือด ดุจถูกมีดคว้านหัวใจ ใช่ว่านางยินดีจะแต่งบุตรสาวออกไป ทั้งที่บุตรชายเพิ่งจากไปไม่ถึงเดือนเช่นนี้
ทว่าพระราชโองการยากจะฝ่าฝืน ถึงจะมีความคับแค้นอยู่เต็มอก แต่นางจะทำอย่างไรได้!
ชีวิตนี้ของนางมีเพียงบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายสองคนล้วนไม่อยู่แล้ว เวลานี้บุตรสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็จะถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยให้กับท่านแม่ทัพใหญ่ที่กำลังจะยกทัพไปตีทางตะวันออก ถ้าเป็นไปได้นางก็อยากจะบุกไปท้องพระโรง ไปต่อว่าต่อขานฮ่องเต้สักครั้ง รั้งตัวบุตรสาวผู้นี้ไว้อย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด
เพียงแต่จะล่วงละเมิดธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างกษัตริย์กับขุนนางได้อย่างไร
ฟันขาวขบกันแน่นแทบจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พักใหญ่นายหญิงใหญ่จึงสงบอารมณ์ลงได้
“ซูเอ๋อร์อย่าพูดจาเหลวไหล นับแต่โบราณ บุรุษเมื่อเติบใหญ่ต้องแต่งงาน สตรีเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องออกเรือน ไม่มีบุตรสาวที่ไหนเฝ้าอยู่บ้านเดิมไปชั่วชีวิต ในใจของเจ้านึกถึงข้าก็พอแล้ว มีพวกพี่สะใภ้ของเจ้าอยู่ ไม่ต้องให้เจ้ามาคอยอยู่ดูแล” น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่เริ่มเจือสะอื้น “แม่ทัพสวินผู้นั้น…ก็เป็นผู้บัญชาการทหารสิบมณฑล เป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลทั้งในราชสำนักและในหมู่ราษฎร เจ้าแต่งไปแล้ว…ก็ไม่เสียเปรียบ”
“ไม่! ลูกไม่แต่ง ถึงตายก็ไม่แต่ง!” ต่งซูกรีดร้องพลางส่ายศีรษะ “ถ้าท่านแม่บีบบังคับลูก ลูกยอมตายต่อหน้าท่าน!”
ต่งซูพูดพลางกัดฟันแน่น ลุกพรวดขึ้นมาพุ่งชนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่ ภาพเบื้องหน้านายหญิงใหญ่พลันมืดมิด เกือบจะล้มคว่ำลงไป สี่เหมยกับอี๋ไท่ใหญ่คว้าไว้ได้ทันพลางกรีดร้องขึ้นมา
ในห้องโถงโกลาหลอลหม่านขึ้นมาทันที เสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้โวยวาย เสียงเก้าอี้กระแทกถูกกัน เสียงชุดชาตกแตกผสมปนเปดังไปไกล
แม้แต่หลวนอวิ๋นชูก็ยืนขึ้นมาแล้ว มองต่งซูด้วยความตื่นตระหนกประหลาดใจ แต่ก็ยับยั้งไม่ทัน ขณะกำลังทอดถอนใจอยู่นั้น เพียงรู้สึกภาพเบื้องหน้าพร่าพราย เหยาหลันก็เข้าไปขวางอยู่ที่นั่นแล้ว ศีรษะของต่งซูชนถูกหน้าอกของนาง เหยาหลันเพียงซวนเซเล็กน้อย แล้วคว้าร่างต่งซูมากอดเอาไว้ แม้รูปร่างจะเตี้ยเล็กกว่าต่งซู แต่ไม่ว่าต่งซูจะดิ้นรนอย่างไรก็ถูกกอดไว้แน่นไม่อาจสลัดหลุดได้
หลวนอวิ๋นชูสะบัดหัวแล้วสะบัดหัวอีก…หรือว่าจะตาลาย
นางที่เห็นว่าประสาทสัมผัสทั้งหกของตนเฉียบไวเป็นพิเศษ ถึงกับเห็นไม่ชัดว่าเหยาหลันที่นั่งอยู่ด้วยกันกับตน ชั่วพริบตาเดียวไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าได้อย่างไร ตนเองก็เพิ่งจะยืนขึ้นมา ระยะห่างหลายจั้งเช่นนี้นางพุ่งไปได้อย่างไร
หลวนอวิ๋นชูมองระยะห่างระหว่างตนเองกับโต๊ะสี่เหลี่ยม แล้วลงความเห็นว่าตนทำไม่ได้แน่นอน
จะอย่างไรก็ถูกทำให้ตกใจ หากจะตาลายก็เป็นไปได้ หลวนอวิ๋นชูมองเหยาหลันที่สุขุมไม่สะทกสะท้าน แล้วก็มองความอลหม่านในห้องโถง นางก็แอบครุ่นคิดกับตนเอง
เหยาหลันผู้นี้จัดการเรื่องราวไม่ใช่มีความคิดเฉียบไวแบบธรรมดาทั่วไป เกรงว่าในจวนแห่งนี้คงไม่มีคนที่สองแล้ว
เห็นในที่สุดต่งซูก็สงบนิ่งลง เหยาหลันระบายลมหายใจออกมา จับนางนั่งลงบนเก้าอี้
“น้องสาวอย่าคิดไม่ตกเช่นนี้เป็นอันขาด จะให้เจ้าออกเรือน ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของนายหญิงใหญ่ เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แม้แต่นายท่านยังไม่อาจจัดการได้ เจ้าไม่เห็นนายหญิงใหญ่ที่เสียใจยิ่งกว่าเจ้าหรือ” หันไปมองนายหญิงใหญ่ เสียงของเหยาหลันดังขึ้น “หรือเจ้าคิดจะขัดขืนพระราชโองการจริง ให้พวกเราทั้งบ้านหลายร้อยคนตายเป็นเพื่อนเจ้า!”
นายหญิงใหญ่เพิ่งจะผ่อนคลายได้สูดลมหายใจ พอได้ยินเหยาหลันบอกให้คนทั้งบ้านตายเป็นเพื่อนก็น้ำตาร่วงดุจสายฝนอย่างห้ามไม่อยู่
ทุกคนเห็นแล้วก็แอบเศร้าใจ ต่างไม่อยากจะเชื่อ จวนกั๋วกงที่มีอำนาจมากเพียงนี้ก็ยังเจอเรื่องถูกบีบบังคับให้แต่งงาน ถึงกับลืมปลอบโยน พากันหลั่งน้ำตาตามไปด้วย
“สวรรค์! ข้าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ บุตรชายที่ดีสองคนก็พากันจากไปก่อนคนหลังคน เหลือบุตรสาวอยู่เพียงคนเดียว มาบัดนี้ก็จะเป็นจะตายขึ้นมาอีก ทิ้งข้าคนอาภัพผู้นี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร” นายหญิงใหญ่ดิ้นรนจะยืนขึ้นมา มือชี้ไปที่สี่เหมย “ในเมื่อซูเอ๋อร์คิดจะตาย สี่เหมยไปหาผ้าแพรขาวมาผืนหนึ่ง เราสองแม่ลูกมาผูกคอตายด้วยกันให้สิ้นเรื่องเถอะ!”
ไหนเลยจะกล้าไปหาผ้าแพรขาวมาจริง สี่เหมยเพียงปลอบโยนอยู่ข้างๆ ทว่าไม่ปลอบยังดีเสียกว่า พอปลอบขึ้นมานายหญิงใหญ่พลันนึกไปถึงต่งอ้ายที่เพิ่งจากไป รู้สึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมา เกิดความคิดอยากจะตายจริงๆ เอาแต่บอกให้สี่เหมย สี่จู๋ไปหายาพิษ หาผ้าแพรขาวมา นางจะตามบุตรชายทั้งสองคนไป จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ไม่เคยเห็นนายหญิงใหญ่ที่แต่ไรมาเข้มแข็งเป็นเช่นนี้มาก่อน ต่งซูลืมร้องไห้ไปแล้ว ได้แต่มองนายหญิงใหญ่อย่างทึ่มทื่อ เหยาหลันฉวยโอกาสนี้เตือนสติ
“คุณหนูใหญ่ของข้า เจ้าก็ให้ทุกคนห่วงน้อยลงบ้างเถิด พระราชโองการของฝ่าบาท ใครกล้าฝ่าฝืน เจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘กษัตริย์สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย’ หรือ อย่าว่าแต่จะให้เจ้าแต่งงาน ต่อให้ต้องการชีวิตของพวกเราทั้งบ้าน เราก็ไม่กล้าบอกว่าไม่! ต้องยื่นคอไปให้เขาตัดแต่โดยดี เจ้าก็ได้แต่กดดันนายหญิงใหญ่อยู่ที่นี่ ไยไม่รู้ว่าจิตใจของนายหญิงใหญ่ทุกข์มากกว่าเจ้าไม่รู้กี่เท่า”
พูดมาถึงตรงนี้ เห็นต่งซูยังอึ้งตะลึงอยู่ เหยาหลันจึงดึงนางขึ้นมาบอก
“น้องซู ดูที่เจ้ากดดันนายหญิงใหญ่สิ ยังไม่รีบไปขอโทษอีก” ดึงต่งซูไปถึงเบื้องหน้านายหญิงใหญ่ “นายหญิงใหญ่ น้องซูอายุยังน้อยไม่รู้ความ คิดไม่ตกไปชั่วครู่ชั่วขณะ ท่านดู นางรู้ตัวว่าผิด มาขอโทษท่านแล้ว นายหญิงใหญ่โปรดอย่าเสียใจไปเลย ถ้าเสียสุขภาพไปจะทำให้น้องซูถึงแต่งไปแล้วก็ไม่สบายใจ”
เหยาหลันพูดจบก็หันไปขยิบตาให้ต่งซู
นายหญิงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองต่งซูที่ถูกดึงตัวมาและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างดื้อรั้น ฟันขาวก็ขบเข้าหากันแน่น
“เจ้าก็ไม่ต้องมาขอโทษข้า อยากตายเจ้าก็ไปตาย ถึงอย่างไรข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ไปอยู่เป็นเพื่อนอ้ายเอ๋อร์ด้วยกันเสียเลย เขาจะได้ไม่ต้องอยู่ในยมโลกอย่างโดดเดี่ยว”
“ท่านแม่ ลูกแต่ง ลูกยอมแต่งแล้ว ขอร้องท่านอย่าโกรธลูกอีกเลย!” ต่งซูทิ้งร่างลงคุกเข่ากับพื้น คลานเข่าไปครึ่งก้าว โถมตัวเข้าหานายหญิงใหญ่ “ลูกจะเชื่อฟังท่าน ลูกแต่ง ลูก…แต่ง!”
“ซูเอ๋อร์…ใช่ว่าข้าอยากให้เจ้าแต่งออกไป โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่จะยกทัพไปตะวันออกหลังจากเจ้าแต่งงาน คุณชายสวินผู้นั้นต้องติดตามบิดาไปออกรบ พอข้าได้ยินข่าวนี้หัวใจก็แหลกสลายแล้ว” คว้าตัวต่งซูมากอดไว้ในอ้อมอก มือที่สั่นของนายหญิงใหญ่ลูบไล้ไปตามลำตัวของนาง “ข้าเหลือเจ้าที่เป็นบุตรสาวอยู่เพียงคนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปยังจะมีความหมายอะไร ขอเพียงมีหนทางอื่น จะยอมให้เจ้ารีบร้อนแต่งออกไปเช่นนี้หรือ”
พอได้ยินว่าหลังแต่งงานสวินเหลียนต้องไปออกรบทันที ต่งซูไม่ได้รู้สึกหัวใจแตกสลายเช่นนายหญิงใหญ่ กลับสุขุมเยือกเย็นลงมา ส่วนลึกในดวงตามีแววปีติยินดีพาดผ่านจางๆ นางเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของนายหญิงใหญ่ ร้องเรียกเสียงเบา
“ท่านแม่…”
“เจ้าไม่เหมือนพี่ชายหลายคนของเจ้า เจ้าชอบการขีดเขียนแต่งบทกวี ข้าคิดมาโดยตลอดว่าจะหาคู่ครองที่มีความปราดเปรื่องเหนือผู้คน ถึงได้ไม่รีบร้อนหมั้นหมายให้เจ้า คิดไม่ถึงว่า…”
“ล้วนเป็นลูกที่ไม่รู้ประสา ท่านแม่อย่าได้เสียใจไปเลย” ต่งซูยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนายหญิงใหญ่ “ท่านร้องไห้จนเสียสุขภาพ ลูกแต่งไปแล้วก็ไม่สบายใจ”
เห็นบุตรสาวเอาใจใส่เช่นนี้ นายหญิงใหญ่ก็ยิ่งน้ำตาหลั่งรินดุจน้ำพุ
“นายหญิงใหญ่ น้องซูจะแต่งงานเป็นเรื่องมงคล ท่านอย่าเอาแต่เสียใจ จะทำให้ไม่เป็นมงคล…” เห็นต่งซูยอมแต่งแล้ว เหยาหลันก็หันไปแสดงท่าทีให้สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยเข้ามาเก็บกวาด ก่อนเดินเข้าไปเช็ดน้ำตาให้นายหญิงใหญ่ด้วยตนเอง “วันดีกำหนดไว้วันที่สิบสองเดือนหน้า วันนี้วันที่ยี่สิบสี่แล้ว ยังเหลือเวลาสิบเจ็ดสิบแปดวัน ต้องเตรียมการเรื่องสินเดิมของเจ้าสาว ข้าวของขนาดใหญ่ตั้งแต่เตียงและที่หลับที่นอน ขนาดเล็กตั้งแต่ไม้พันด้าย ไนปั่นด้าย ทุกอย่างล้วนต้องวางแผนจัดเตรียมอย่างตั้งอกตั้งใจ ตามความเห็นของสะใภ้ ต้องรีบเตรียมการอย่างเร่งด่วนแล้ว”
พอได้ยินคำพูดนี้นายหญิงใหญ่ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่เรียกทุกคนมาในวันนี้ พยักหน้าแล้วผลักต่งซูออก
ล้างหน้าล้างตาหวีผมใหม่นายหญิงใหญ่ก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม รับถ้วยชาที่สี่จู๋ยื่นส่งให้ จิบคำหนึ่งให้ชุ่มคอแล้วบอก
“รู้เรื่องนี้กะทันหัน นายท่านไปจวนแม่ทัพตามคำเชิญแล้ว เพียงส่งจดหมายกลับมาให้ร่างรายละเอียดสินเดิมเจ้าสาวก่อน รอเขากลับมากำหนดเป็นที่แน่นอน สองวันนี้ก็ลงมือซื้อหาจัดเตรียม ที่จำเป็นต้องไปซื้อหาจัดเตรียมนอกจวนก็มอบให้เขากับเหรินเอ๋อร์ สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็ให้เร่งมือทำ”
ฟังมาถึงตรงนี้ เหยาหลันก็เอ่ยแทรกขึ้น
“แต่ไรมาพวกมงกุฎเจ้าสาว ถุงเท้า รองเท้า งานถักงานปักต่างๆ เหล่านั้นในจวนจะทำกันเอง ตามความเห็นของสะใภ้ เกรงว่าคงทำไม่ทันแล้ว นายหญิงใหญ่ไม่สู้ทำเช่นนี้ พวกงานชิ้นใหญ่ที่เร่งมือทำไม่ทันเหล่านั้นก็กำหนดให้แน่นอนเสียแต่เนิ่นๆ แล้วสั่งทำจากข้างนอกทั้งหมด เพียงเลือกพวกหมอน ผ้าเช็ดหน้าที่ข้างนอกทำงานไม่ละเอียดมากพอเอามาทำเองในจวน ทุกเรือนก็ต้องวางงานอื่นในมือลงก่อน มาเร่งทำสินเดิมเจ้าสาวให้น้องซูก่อน”
“เช่นนั้นก็ทำตามที่หลันเอ๋อร์พูดมาแล้วกัน” นายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ “ที่ข้าร้อนใจไม่ใช่เรื่องนี้ พวกฟูกที่นอนม่านมุ้งต่างๆ ยังจัดเตรียมไม่ยาก แต่พวกเครื่องประดับเพชรพลอยไข่มุก เครื่องเรือนไม้ ขนสัตว์ ไม้กระถางล้วนไม่อาจซื้อหาได้ในเมืองหลวนเฉิง ไม่พูดถึงว่าเครื่องประดับเพชรพลอยไข่มุกสั่งทำไม่ทัน ขนสัตว์ก็ต้องซื้อหาจากแคว้นหลี ยังมีเครื่องเรือนไม้ ไม้ที่ดีหน่อยอย่างไม้จันทน์ม่วง ไม้หวงฮวาหลี ไม้เถี่ยหลี* ไม่ว่าชนิดใดก็ต้องไปทางใต้ ไปกลับอย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ยังต้องใช้เวลาทำอีก จะทำอย่างไรดี”
“นายหญิงใหญ่ก็อย่ากลัดกลุ้มไปเลย ไปซื้อที่ทางใต้ย่อมไม่ทันแน่ ดีที่ตอนคุณชายสี่แต่งงาน ในจวนซื้อหาไว้มาก ในคลังยังเหลืออยู่ไม่น้อย” เห็นนายหญิงใหญ่หัวคิ้วขมวดมุ่น เหยาหลันก็ลุกขึ้นมารินน้ำชาให้นางด้วยตนเอง “หลายวันก่อนคุณชายสามเห็นแล้วคิดจะเปลี่ยนเครื่องเรือนในห้องของเขา แต่ข้าห่วงว่างานแต่งของน้องซูจะต้องจัดเตรียมอย่างฉุกละหุกจึงไม่ได้รับปาก นี่ไม่ใช่ได้ใช้งานพอดีหรือ เพียงแต่ต้องเร่งมือทำในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ คงต้องใช้เงินมากเป็นสองเท่า จ้างคนมากหน่อยจึงจะได้”
“ยังคงเป็นหลันเอ๋อร์ที่ละเอียดรอบคอบ ดีที่มีเจ้าคอยช่วยเหลือข้า” รับชามาดื่มคำหนึ่ง นายหญิงใหญ่ผงกศีรษะด้วยความปลื้มปีติยินดี “เงินเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญก็คือซูเอ๋อร์และบ้านสามีของนางพึงพอใจก็พอ วันหน้าจะได้ไม่ถูกคนในบ้านสามีข่มเหงรังแก”
พูดแล้วนายหญิงใหญ่ก็หันหน้ามา ชายตาไปเห็นแววตาไม่ชอบใจของอี๋ไท่ใหญ่ที่หลบเลี่ยงไม่ทัน สีหน้านางพลันเคร่งขรึมลง และถือโอกาสกวาดตามองอี๋ไท่ไท่หลายคนพลางเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าก็ไม่ต้องไม่พอใจ ฉีเอ๋อร์และฉินเอ๋อร์ออกเรือน ข้าก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างขาดตกบกพร่อง สินเดิมของพวกนางในหมู่สะใภ้ด้วยกันก็จัดอยู่ในระดับสูงสุด พวกเจ้าก็เห็นแล้ว มีพวกนางคนใดที่อยู่บ้านสามีถูกรังแกกดขี่บ้าง ไม่ใช่ล้วนพูดคำไหนคำนั้นหรือ จวนสกุลสวินแห่งนี้ไม่เหมือนที่อื่น แม่ทัพสวินปกครองกองทัพอยู่ข้างนอก บัญชาการทหารสิบมณฑล พวกเจ้าไม่เคยเห็น ทุกเทศกาลงานประจำปีที่ปากประตูจวนสกุลสวินลำพังเกี้ยวกับรถม้าก็เรียงเป็นแถวยาวไปหลายหลี่ ล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญจากมณฑลต่างๆ มามอบบรรณาการ ของประหลาดล้ำค่าจากที่ต่างๆ มีอะไรบ้างไม่เคยเห็น ถ้าสินเดิมของซูเอ๋อร์ทำตามอย่างพี่สาวสองคนของนาง เกรงว่ายังไม่ทันส่งไปถึงปากประตูก็คงถูกโยนออกมาแล้ว”
พูดพลางนายหญิงใหญ่ก็ชี้ไปที่ต่งฮว่า “สินเดิมเจ้าสาวนี้ ไม่ใช่เพื่ออวดความมั่งมี สิ่งสำคัญคือต้องเหมาะสมคู่ควรกับครอบครัวทางฝ่ายชาย อย่าให้ทางบ้านสามีดูแคลน พวกเจ้ารอดูไป วันหน้าสินเดิมของฮว่าเอ๋อร์ ข้าก็จะจัดเตรียมตามฐานะของครอบครัวฝ่ายชาย ถ้าฮว่าเอ๋อร์แต่งไปครอบครัวที่สูงส่งกว่าแม่ทัพใหญ่ สินเดิมที่ข้าจะจัดเตรียมย่อมต้องมากกว่าของซูเอ๋อร์”
ในบรรดาบุตรสาวทั้งสี่คนของต่งกั๋วกง ต่งฉีบุตรสาวคนโตเกิดจากอี๋ไท่ใหญ่ สามปีก่อนแต่งงานไปกับบุตรชายของจงคุนขุนนางขั้นสี่ผู้มีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีสำนักราชยาน ต่งฉินบุตรสาวคนรองเกิดจากอี๋ไท่รองที่ตายไปแล้ว ออกเรือนไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ครอบครัวสามีแม้จะเรืองอำนาจ แต่กลับไม่ได้อยู่ในเมืองหลวนเฉิง คุณหนูที่เกิดจากอนุทั้งสองออกเรือนไปก่อนหลังกัน นายหญิงใหญ่เพียงจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวตามปกติธรรมดา มาบัดนี้คุณหนูสามที่เกิดจากภรรยาเอกจะออกเรือน นายหญิงใหญ่จัดเตรียมอย่างใหญ่โตไม่พูดถึง กระทั่งขนสัตว์จากแคว้นหลีก็ยังจัดเตรียม
ขนสัตว์เป็นสินค้าพิเศษเฉพาะของแคว้นหลี พบเห็นน้อยมากในแคว้นหลวน โดยทั่วไปจะใช้เป็นเครื่องบรรณาการของราชสำนัก นานวันเข้าย่อมกลายเป็นสิ่งของที่บ่งบอกฐานะ ทางใต้แม้จะไม่เหมาะสมที่จะใช้ แต่กลับมีราคาแพงจนน่าตกใจ ได้ยินว่าขนสัตว์ผืนหนึ่งที่พอซื้อหาได้ไม่ใช่ราคาเป็นพันตำลึงก็ต้องเป็นหมื่นตำลึง นับว่าเอาติดตัวไปบ้านฝ่ายชายให้แมลงกัดแทะเปล่าๆ อี๋ไท่ไท่หลายคนย่อมเห็นแล้วอิจฉาตาร้อน
เห็นนายหญิงใหญ่พูดความในใจของพวกนางออกมาอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ไหนเลยจะกล้ายอมรับ พวกอี๋ไท่ไท่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามิกล้า ทว่าในใจกลับไม่ชอบใจอย่างมาก แต่ก็จำต้องเค้นรอยยิ้มออกมาเต็มหน้า พยายามช่วยจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวของต่งซูอย่างเต็มที่ ถึงขนาดทุ่มเทมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพียงเพราะกลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดี แต่ผลกลับกลายเป็นถูกตราหน้าว่า ‘ริษยา’
เห็นนายหญิงใหญ่เพียงพูดไม่กี่คำก็จัดการอี๋ไท่ไท่หลายคนที่ไม่ยินยอมพร้อมใจจนเรียบร้อย เหยาหลันมุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มหยันจางๆ แล้วกล่าวต่อไป
“เครื่องประดับเพชรพลอยไข่มุกก็จัดการไม่ยาก ร้านจำหน่ายเพชรพลอยใหญ่หลายร้านในเมืองหลวนเฉิงล้วนเป็นร้านที่ติดต่อกับเรามานาน ประเดี๋ยวสั่งให้พ่อบ้านนำคำพูดไปบอก คุณหนูสามในจวนเราจะจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาว ให้พวกเขาเอาตัวอย่างเข้ามาให้ดูพรุ่งนี้เช้า ให้น้องซูเลือก เมื่อเลือกได้แล้วเพียงใช้เงินมากหน่อย ให้พวกเขาเร่งมือทำออกมา คิดว่าน่าจะทำออกมาทัน อืม ส่วนขนสัตว์…สะใภ้มีบุคคลที่เหมาะสมอยู่คนหนึ่ง ต้องทำสำเร็จแน่” หัวข้อเรื่องเปลี่ยนไป เหยาหลันมองนายหญิงใหญ่ “สะใภ้เพียงกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้วนายหญิงใหญ่จะไม่ชอบใจ”
“ข้าชอบไม่ชอบอะไร ขอเพียงทำให้ซูเอ๋อร์พอใจได้ก็พอ”
“เช่นนั้น…สะใภ้พูดออกมาแล้ว นายหญิงใหญ่ห้ามโกรธเป็นอันขาด” เหยาหลันหัวเราะพลางบอก “ถ้าท่านเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ให้แล้วกันไป ถ้าเห็นว่าเหมาะสมก็ให้นายท่านไปหาเขาแล้วกัน”
“อย่าเอาแต่ยักท่า เจ้ารีบบอกมาว่าผู้ใดสามารถทำเรื่องนี้สำเร็จ จะได้ไปหาเขา!”
“คนผู้นั้นก็คือคุณชายเจียงที่อยู่ในจวนของเรา” เหยาหลันแววตาเป็นประกาย ทำเป็นมองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ “สะใภ้พบว่าคุณชายเจียงผู้นี้แม้จะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ แต่ก็มีความสามารถอยู่บ้าง เขารู้จักพ่อค้าใหญ่ของแคว้นหลีจำนวนมาก เรื่องที่คนทั่วไปทำไม่ได้ ถ้าเป็นเขา สิบเรื่องมีแปดเก้าเรื่องที่ทำสำเร็จ…ท่านดูของแปลกและประณีตในเรือนคุณชายสามและคุณชายสี่เหล่านั้น มีชิ้นไหนบ้างไม่ใช่เขาเสาะหามา”
เอ่ยถึง ‘เจียงเสียน’ พานหมิ่นก็นึกถึงสตรีที่มีอยู่เต็มเรือนชิ่นย่วน มีจำนวนครึ่งหนึ่งที่เป็นผลงานของเขา นางฟันขบกันดังกรอด หน้าบึ้งตึง แค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาทางจมูกทีหนึ่ง
ต่งซูกลับแตกต่างจากทุกคน แววตาสาดประกายวิบวับขึ้นมา ช้อนตาขึ้นมาก็เห็นสายตามีเลศนัยอ่านไม่ออกของเหยาหลัน พอมองตามสายตาของนางไป ก็เห็นหลวนอวิ๋นชูนั่งตัวตรงสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่ที่นั่น จึงแอบด่าออกมาคำหนึ่ง “แสร้งทำเป็นสุภาพเรียบร้อย!”
จากนั้นก็หันไปทางนายหญิงใหญ่ เห็นผู้เป็นมารดามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเอือมระอา ต่งซูสีหน้าหม่นเศร้า กลอกตาไปมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ท่านแม่ ซูเอ๋อร์ชอบเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์ โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่าหนังจิ้งจอกเงิน ขาวดุจหิมะ ทั้งเบาทั้งอบอุ่น ซูเอ๋อร์เคยเห็นกุ้ยเฟย* ในวังหลวงสวมใส่ เวลาลูบนุ่มมือเป็นพิเศษ”
“ทางใต้เดิมทีก็ไม่หนาว” เห็นมีคนสนับสนุนพานหมิ่นก็พูดอย่างมีเลศนัย “สวมของสิ่งนั้นไม่กลัวอับจนผื่นขึ้นหรือ!”
* ไม้เถี่ยหลี หรือต้นบุนนาค (Mesua ferrea) เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ใบยาวรี ปลายใบเรียวแหลม ดอกสีขาวคล้ายสารภีแต่ใหญ่กว่า มีกลิ่นหอม ใช้ทำยาได้และใช้ทำเครื่องเรือน
* เฟย แปลว่าชายา คือภรรยาเจ้า ในตำหนักในของจีนมีศักดิ์รองจากฮองเฮา (อัครมเหสี) และกุ้ยเฟย (อัครชายา) บางสมัยอาจมีเฟยชั้นพิเศษ 4 ตำแหน่งเรียกว่าสี่ราชชายา ลำดับศักดิ์สูงกว่าเฟยทั่วไป คือกุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย และเสียนเฟย